Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1427 อยู่หรือไป
“เล่าให้ละเอียดกว่านี้หน่อยได้ไหม?” โรแลนด์ไล่ถาม
“ไม่มีอะไรให้พูดแล้ว” เห็นได้ชัดว่าไซเลนท์ดิสแดสเตอร์ค่อนข้างระมัดระวังราชาของมนุษย์ “พวกเจ้ารู้เกี่ยวกับอาณาจักรซีสกายน้อยมาก ต่อให้พูดไปก็ฟังไม่เข้าใจ”
“เมื่อก่อนอาจจะเป็นเช่นนั้น แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกันแล้ว ดินแดนตะวันตกของอาณาจักรเกรย์คาสเซิลกำลังถูกอสูรสยองโจมตี และในนั้นก็มีพวกอาณารจักรซีสกายด้วย” โรแลนด์ไม่ได้สนใจน้ำเสียงของมัน หากแต่เล่าเรื่องสัตว์ประหลาดโครงกระดูกที่ปีนขึ้นมาบนแผ่นดินอย่างจริงจัง “นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราเป็นมันอยู่บนพื้นที่นอกทะเล”
“บอกสิ่งที่เขาอยากรู้ไปเถอะ” วัลคีรีย์เองก็พูดด้วยน้ำเสียงน้ำนวล “ยังไงซะมันก็ดีกว่าปล่อยให้ชิ้นส่วนสืบทอดของมนุษย์ไปอยู่ในมือของพวกอาณาจักรซีสกาย”
“ในเมื่อเจ้าพูดแบบนี้…” เซโรเชสพยักหน้าอย่างจนปัญญา “ฟังให้ดี มนุษย์ สิ่งที่เจ้าเห็นนั้นคือรังแม่ พวกมันเป็นหัวใจสำคัญบนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ของอาณาจักรซีสกาย ความสามารถในการต่อสู้ของรังแม่นั้นไม่แข็งแกร่ง แต่มันสามารถควบคุมลูกน้องจำนวนมากให้สู้เพื่อมันได้….”
“เหมือนกับหัวสมอง…”
“จะเรียกแบบนั้นก็ได้ แต่ครั้งหน้าอย่าพูดแทรกข้าอีก” ไซเลนท์พูดอย่างหงุดหงิด “สิ่งมีชีวิตชนิดนี้เก่าแก่กว่าที่เจ้าคิดเอาไว้มาก บางทีตอนที่โลกนี้ถือกำเนิดขึ้นมา พวกมันก็อาจจะอยู่บนโลกนี้แล้วก็ได้ — แต่เวลาอันยาวนานส่งผลกระทบต่อพวกมันน้อยมาก การเปลี่ยนแปลงทางรูปร่างและความสามารถของมันมีความคงที่อย่างมาก จนกระทั่งช่วงไม่กี่เดือนมานี้…”
หลังอธิบายอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดโรแลนด์ก็เข้าใจถึงสาเหตุของพฤติกรรมแปลกๆ ของอาณาจักรซีสกายแล้ว
จากที่ปีศาจเล่ามา พวกอาณาจักรซีสกายก็วิวัฒนาการได้เหมือนกัน แต่การวิวัฒนาการทางความสามารถของพวกมันแตกต่างไปจากปกติ การเปลี่ยนแปลงทุกครั้งของอาณาจักรซีสกายจะแผ่กระจายไปทั่วทั้งเผ่าพันธุ์ อย่างเช่นถ้ารังวิวัฒนาการ รังทุกตัวในเผ่าพันธุ์ก็จะวิวัฒนาการตามไปด้วย จะไม่มีความแตกต่างระหว่างรังด้วยกัน ซึ่งไม่เหมือนกับพวกมนุษย์หรือปีศาจที่แต่ละคนหรือแต่ละตัวจะเป็นอิสระต่อกัน น่าจะเป็นเพราะเหตุนี้ การวิวัฒนาการของพวกมันจึงช้าอย่างมาก ประมาณหลายร้อยปีถึงจะสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างของพวกมันได้
แต่การเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วงนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าความคิดนี้ผิดอย่างมหันต์ ไม่มีใครรู้ว่าในช่วงเวลาไม่กี่เดือนนี้ อาณาจักรซีสกายเกิดการเปลี่ยนแปลงไปแล้วกี่ครั้ง สิ่งเดียวที่สามารถมั่นใจได้ก็คือความแข็งแกร่งของพวกมันเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ อย่างเช่นอสูรมีดที่ก่อนหน้านี้เป็นเพียงผู้ช่วยที่รังแม่ใช้ในการล่าอาหาร ขอเพียงถูกระบุตำแหน่งได้ แม้แต่ปีศาจคุ้มคลั่งก็ยังฉีกพวกมันเป็นชิ้นๆ ได้ แต่ตอนนี้ร่างกายของพวกมันไม่เพียงแต่จะขยายใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่า แต่ทั้งพละกำลัง ความอดทนและความเร็วในการตอบสนองก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างมากด้วย เคียวที่เต็มไปด้วยพลังเวทมนตร์ของพวกมันถึงขนาดทำร้ายปีศาจระดับสูงได้
ถึงแม้ในการสู้กันซึ่งๆ หน้า ผู้ยกระดับระดับสูงจะสามารถฆ่าอสูรมีดตัวหนึ่งได้สบายๆ แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าการวิวัฒนาการของอาณาจักรซีสกายนั้นเป็นแบบกระจายทั้งเผ่าพันธุ์
มันก็เหมือนกับตอนที่แม่มดตื่นรู้กลายเป็นสุดยอดอมนุษย์แล้วแม่มดคนอื่นๆ ก็พากันกลายเป็นสุดยอดอมนุษย์เหมือนกัน — ขอเพียงมีจำนวนมากพอ การเปลี่ยนแปลงทางจำนวนก็จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางคุณภาพได้
แนวป้องกันที่ปีศาจฝืนรักษาเอาไว้ไม่สามารถป้องกันการรุกรานจากอาณาจักรซีสกายได้อีก ศัตรูจำนวนนับไม่ถ้วนปีนขึ้นมาจากทะเลถาโถมเข้ามายังสนามรบเหมือนกับสายน้ำหลาด จักรพรรดิจึงจำเป็นต้องตัดสินใจทิ้งแบล็คสโตนไป
สำหรับโรแลนด์แล้วนี่ไม่ใช่ข่าวดีเลย
ถ้าปีศาจไม่สามารถรักษาดินแดนของมันเอาไว้ได้ อย่างนั้นมนุษย์ก็จะต้องเจอกับความกดดันระลอกใหม่ เรื่องที่พื้นที่ทางตะวันตกถูกโจมตีนั้นเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
“มนุษย์ ข้าแนะนำให้เจ้ารีบส่งชิ้นส่วนสืบทอดมาจะดีกว่า” สุดท้ายไซเลนท์ก็พูดว่า “ด้วยกำลังของพวกเจ้าในตอนนี้นั้นยากที่จะรับมือกองทัพของอาณาจักรซีสกายได้ วัลคีรีย์พูดถูก การถูกอาณาจักรซีสกายยึดเอาชิ้นส่วนไปคือสิ่งที่พวกข้าไม่อาจยอมรับได้”
“ข้าเองก็ไม่คิดที่จะส่งชิ้นส่วนให้พวกมัน” โรแลนด์ยักไหล่ “นอกจากนี้…พวกเจ้าไม่คิดว่าช่วงเวลาในการวิวัฒนาการของพวกมันค่อนข้างบังเอิญไปหน่อยเหรอ?”
“โอ้?” วัลคีรีย์ยกขาขึ้นมานั่งไขว่ห้าง “ไหนลองว่ามาซิ”
“แบล็คสโตนสู้อยู่กับอาณาจักรซีสกายมาตลอด ดังนั้นช่วงเวลาที่พวกเจ้าสังเกตเห็นถึงการวิวัฒนาการไปอย่างผิดปกติของพวกมันจึงไม่น่าจะคลาดเคลื่อนเท่าไร ซึ่งเมื่อ 3 – 4 เดือนก่อนหน้านี้ก็เป็นช่วงที่เทวทูตโจมตีซีโร่พอดี”
“เจ้าสงสัยว่าการวัฒนาการขึ้นอย่างมากของอาณาจักรซีสกายนั้นเกี่ยวข้องกับพระเจ้า?”
“แค่เดาเท่านั้น” โรแลนด์พูดเบาๆ อย่างไม่มั่นใจ “แต่มีจุดหนึ่งที่ข้าสนใจมาก…พวกเจ้าเคยติดต่อกับอาณาจักรซีสกายไหม?”
สีหน้าของวัลคีรีย์ค่อยๆ คร่ำเคร่งขึ้นมาทันที
“ข้าคิดว่าน่าจะไม่เคยใช่ไหมล่ะ? แต่ผู้เข้าร่วมสงครามแห่งโชคชะตาเผ่าพันธุ์อื่นๆ คล้ายว่าจะเคยติดต่อหากันและกันอยู่” โรแลนด์ค่อยๆ พูด มนุษย์กับปีศาจนั้นไม่จำเป็นต้องพูดถึงแล้ว ในช่วงที่มีสำนักซีคลาวด์อยู่นั้นถึงขนาดเคยอยู่อาศัยร่วมกันด้วยซ้ำ ส่วนอารยธรรมใต้ดินที่ถูกทำลายไปแล้วก็เคย ‘ติดต่อ’ กับสมาพันธ์แม่มดก่อนที่จะถูกทำลาย นี่จึงทำให้เกิดแผนการนักรบอาณาสิทธิ์ขึ้นหลังจากนั้น เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายก็น่าจะมีประสบการณ์ที่ไม่ต่างกันเท่าไรนัก ในจุดนี้จะเห็นได้จากสีหน้าของไนท์แมร์
มีเพียงอาณาจักรซีสกายเท่านั้นที่ไม่เคยติดต่อ
ในประวัติศาสตร์ไม่มีบันทึกเกี่ยวกับพวกมัน ถ้าบอกว่ามนุษย์ไม่รู้เรื่องเพราะว่ามนุษย์แทบจะไม่เคยย่างเท้าเข้าไปยังส่วนลึกของทะเล อย่างนั้นถ้าแม้แต่ปีศาจก็ยังไม่เคยติดต่อกับพวกมันก็ถือว่าแปลกประหลาดอย่างมาก
เพราะการสื่อสารคือคุณลักษณะทั่วๆ ไปที่เหมือนกันของอารยธรรม ต่อให้ทั้งสองฝ่ายจะเป็นศัตรูกันก็ตาม
ตอนนี้ดูแล้วเหมือนอาณาจักรซีสกายจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่ซุ่มอยู่เงียบๆ นอกเหนือจากสามเผ่าพันธุ์ที่เหลือ
หากคิดตามแนวคิดที่ว่านี้ เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการวิวัฒนาการของอาณาจักรซีสกายก็ค่อนข้างน่าขนลุกทีเดียว
“เจ้าคิดจะทำยังไงต่อ?” วัลคีรีย์ถาม
“ไปยังบอทธ่อมเลสแลนด์ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินแก้” โรแลนด์มองไปทางทั้งสองคน “ข้าอยากจะให้พวกเจ้าหยุดการโจมตีทั้งหมด แล้วเอากำลังทั้งหมดไปรับมืออาณาจักรซีสกาย”
“เป็นไปไม่ได้” ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์พูดปฏิเสธเขาขึ้นมาตรงๆ “เพราะว่าเรื่องพระเจ้ากับเรื่องหลอกลวงของสงครามแห่งโชคชะตาอะไรนั่นเป็นเพียงคำพูดของเจ้าเพียงด้านเดียว อีกทั้งตอนนี้แม่ทัพของกองทัพตะวันตกกลายเป็นเดอะแมสก์แล้ว แถมร่างซิมไบออนท์ยังอยู่ในการควบคุมของมันด้วย ยิ่งไปกว่านั้น…”
“ยิ่งไปกว่านั้นอะไร?”
เซโรเชสไม่ได้ตอบออกมา หากแต่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ข้าอยากจะคุยกับวัลคีรีย์ตามลำพัง”
“เฮ้อ…” โรแลนด์ถอนใจออกมาเบาๆ “ก็ได้ แต่อย่าลืมเวลาล่ะ”
…..
ไซแลนท์เดินออกมานอกห้องโดยมีวัลคีรีย์เดินนำ ทั้งคู่เดินไปตามระเบียงของตึกถงจึไปยังอีกด้านหนึ่ง
ภายใต้มุมมองนี้ เมืองแห่งหนึ่งที่มีขนาดใหญ่จนยากจะบรรยายได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าเซโรเชส ตึกสูงสีเทาที่เป็นทรงสี่เหลี่ยมเหล่านั้นตั้งสลับเรียงราย เทียบกับหอคอยแห่งการให้กำเนิดแล้วดูยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน แต่จำนวนกลับมีมากกว่าหลายเท่า พวกมันทั้งเรียงไปทางถนนที่ตัดสลับกันไปมา ดูแล้วเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ต่อให้เป็นพระผู้สร้างก็ไม่มีทางที่จะรองรับสิ่งก่อสร้างจำนวนมากขนาดนี้ได้
ความรู้สึกที่กระแทกขึ้นมาอย่างรุนแรงทำให้มันหายใจติดขัด
ตอนที่เหลือบมองผ่านหน้าต่างก่อนหน้านี้ก็ทำให้เซโรเชสตกตะลึงอย่างมากแล้ว แต่ภาพที่มันเห็นหลังจากที่เดินออกมาจากในห้องนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่มันจินตนการเอาไว้มาก
สิ่งที่ทำให้ยิ่งรู้สึกน่าเหลือเชื่อก็คือคนจำนวนมากที่เดินไปเดินมาอยู่ในเมือง พวกเขาดูแล้วไม่เหมือนคนที่มีเวทมนตร์ที่ถูกดูดเข้ามาที่นี่ แล้วก็ไม่เหมือนสิ่งที่ดินแดนแห่งจิตสำนึกสร้างขึ้นมา — นี่คือจุดที่แตกต่างกันมากที่สุดระหว่างที่นี่กับหอเจ้าชีวิต
มิน่ามนุษย์คนนั้นถึงเรียกที่นี่ว่า ‘โลก’
“แค่นี่พอแล้ว” วัลคีรีย์หยุดฝีเท้า
เสียงนี้ดังแทรกความคิดของไซเลนท์ขึ้นมา มันบังคับตัวเองรวบรวมสมาชิกขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะพูดว่า “ในห้องยังมีผู้ที่มีพลังเวทมนตร์คนอื่นอยู่อีก!”
“ข้ารู้ นั่นมันแม่มด” วัลคีรีย์พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“….” การตอบสนองนี้เหนือความคาดหมายของเซโรเชส “เจ้ารู้…อยู่แต่แรกแล้ว?”
“ในช่วงเวลาที่รอเจ้าอยู่นี่ ข้ายังเคยคุยกับพวกนางด้วย — ถึงแม้พวกนางจะยังไม่ชอบข้าก็ตาม” ไนท์แมร์พยักหน้าแล้วพูดว่า “เป้าหมายหลักของแม่มดคือปกป้องโรแลนด์ แต่ความจริงแล้วเขาไม่ต้องการการปกป้อง ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อความสบายใจของทุกคนเท่านั้น”
ต่อให้เป็นสุดยอดอมนุษย์ก็ไม่มีทางที่จะทำตัวสบายๆ แบบนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าราชาได้ แล้วนับประสาอะไรกับมนุษย์ตัวผู้ธรรมดาคนหนึ่งล่ะ? ไซเลนท์พบว่าระดับความน่าตกตะลึงของเรื่องนี้ไม่ได้เป็นรองเรื่องที่บอกว่าสงครามแห่งโชคชะตาเป็นเรื่องหลอกลวงเลย
“ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่ายังไงล่ะ ถ้ามันจัดการได้ง่ายขนาดนั้นจริงๆ ข้าคงจะลงมือไปนานแล้ว” วัลคีรีย์ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อพูดถึงตรงนี้ เหมือนรู้สึกถอนใจออกมานิดหน่อย “แน่นอน…นั่นล้วนแต่เป็นความคิดในตอนแรกทั้งนั้น”
“แม่มดไม่ได้ตามพวกเรามา” เซโรเชสคว้ามือของไนท์แมร์ขึ้นมา “บอกข้า ข้าต้องทำยังไงถึงจะพาเจ้าออกไปจากโลกแห่งจิตสำนึกได้”
วัลคีรีย์มองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหัวขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้าไม่สังเกตเห็นเหรอ? ข้าไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้แล้ว”
“ไม่ ในเมื่อข้าเข้ามาได้ เจ้าก็ต้องออกไปได้สิ ใช่แล้ว! ถ้าข้าเอาร่างกายของเจ้ามาด้วย—“
ไนท์แมร์ยื่นมือออกมาสางผมตรงหน้าผากตัวเอง การเคลื่อนไหวนี้ทำเอาไซเลนท์ลืมตาโตขึ้นมาทันที
“ท่านวัลคีรีย์…หินเวทมนตร์ของท่าน…”
“ข้าไม่เหมือนกับเจ้า แล้วก็ไม่เหมือนกับแม่มดเหล่านั้น” ครั้งนี้วัลคีรีย์ไม่ได้แก้ไขคำเรียกของอีกฝ่าย “เผ่าพันธุ์ของเราถ้าสูญเสียหินเวทมนตร์ไป ผลลัพธ์เดียวก็คือมีแต่ตายเท่านั้น แต่นี่ข้ายังไม่ตาย นี่น่าจะเกี่ยวกับวิธีการเข้ามาในโลกแห่งความฝันของข้าที่ไม่เหมือนปกติ ตอนนี้ข้าได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้แล้ว เกรงว่าคงไม่สามารถออกไปกับเจ้าได้”
…………………………………………………………………..