Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1437 แสงจากในความมืด
‘ไม่ หยุดนะ!’
เซลีนตะโกนออกไปด้วยความตกใจและความหวาดกลัว!
ทันทีที่หยุดการหมุนเวียนของพลังเวทมนตร์ พระผู้สร้างก็จะกลายเป็นเหมือนภูเขาที่ไม่มีแรงลอยตัว
‘นี่คือความสามารถของข้า’ นาซเพลพูดอย่างมั่นใจ ‘ถึงแม้ที่นี่จะไม่มีร่างกายของข้า แต่ด้วยเครือข่ายอันนี้ทำให้ข้าสามารถควบคุมแกนพลังเวทมนตร์จากระยะไกลได้ มันไม่ได้มีอยู่แบบนี้ตั้งแต่แรก หากแต่ค่อยๆ ถูกสร้างขึ้นมาหลังจากที่ข้าได้รับการสืบทอด มันไม่จำเป็นต้องมีพรสวรรค์ แล้วก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามตัวบุคคล ตอนนี้เครือข่ายอันนี้ย่อมไม่อาจเทียบโลกแห่งจิตสำนึกได้ แต่หลังจากนี้อีกหลายร้อยปีหรือหลายพันปีล่ะ? เพราะตัวข้าที่ทำลายการพันธนาการของร่างกายได้แล้ว สิ่งที่มีอยู่เยอะที่สุดก็คือเวลา’
“ครึกๆๆ….”
เมื่อแกนเวทมนตร์หยุดทำงาน ภายในพระผู้สร้างก็เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ทหารที่ประจำอยู่รอบๆ ลานยกระดับแม้แต่จะยืนอยู่นิ่งๆ ก็ยังทำได้ยาก หลายๆ คนถึงกับล้มลงไปกับพื้น
“ความสูงของพระผู้สร้างกำลังลดลง!” ไซเลนท์พูดเสียงเบาๆ
“บ้าเอ้ย เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?” เฮคซอดหันไปคำรามใส่เซลีน “เฮ้ แม่มด! รีบตอบข้า!”
‘เดอะแมสก์แทรกแซงการทำงานของแกนเวทมนตร์ พวกเราจำเป็นต้องตัดการเชื่อมต่อของมัน!’
เซลีนตะโกนติดต่อกันหลายครั้ง แต่กลับพบว่าอีกฝ่าย ‘ไม่ได้ยิน’ จิตสำนึกของตัวเอง เธอสามารถรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอกได้ แต่กลับสูญเสียความสามารถในการเชื่อมต่อกับโลกภายนอกไป เหมือนกับระหว่างทั้งสองฝั่งมีกำแพงใสๆ มากั้นเอาไว้อยู่
‘เจ้าอยู่ในร่างมาเธอร์ออฟโซล ตอนนี้ร่างเปลือกอันนั้นก็เป็นแค่ร่างเปล่าๆ เท่านั้น แล้วพวกนั้นมันจะไปได้ยินเสียงเตือนของเจ้าได้ยังไง?’ เดอะแมสก์พูดด้วยสีหน้าสนุก ‘ยิ่งไปกว่านั้นจะตัดการเชื่อมต่อมันไม่ใช่เรื่องง่าย…ในเผ่าพันธุ์ข้า สถานะของมาเธอร์ออฟโซลนั้นเป็นรองเพียงจักรพรรดิและอยู่ในระดับเดียวกับราชา นี่ไม่เพียงแต่จะสะท้อนให้เห็นถึงระดับของพลังเวทมนตร์ แต่ร่างกายของมันยังแข็งแกร่งอย่างมากด้วย แถมด้านบนยังมีละอองชีวิตจำนวนมากปกคลุมอยู่ การจะฆ่ามันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ยิ่งไปกว่านั้นถ้าไม่มีมาเธอร์ออฟโซล เจ้าจะควบคุมแกนพลังเวทมนตร์ได้ยังไง? ยังไงผลลัพธ์มันไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้’
‘เมืองแห่งนี้มีเผ่าพันธุ์ของเจ้าอยู่เป็นแสนๆ ตัว หรือว่าเจ้าคิดจะปล่อยให้พวกมันตายตามไปด้วย?’
‘ข้านึกไม่ถึงเลยว่าแม่มดในสมัยสมาพันธ์จะเกิดความเห็นใจต่อปีศาจด้วย’ นาซเพลพูดเสียดสี ‘อีกอย่างพวกมันก็เป็นแค่พวกทรยศที่ไปเข้ากับเฮคซอดเท่านั้น ถึงตายไปก็ไม่น่าเสียดาย แต่ร่างซิมไบออนท์พวกนั้นนี่สิ ถ้าต้องตายไปพร้อมกับพระผู้สร้างก็น่าเสียดายไปหน่อย แต่ขอเพียงมีเวลา ข้าก็สามารถสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้ ถ้าเจ้าอยากจะทำให้ข้าเปลี่ยนความคิดล่ะก็ ข้าว่าเจ้าน่าจะหาเหตุผลที่ดีกว่านี้มาพูดกล่อมข้านะ เพราะเวลาที่เหลือให้พวกแมลงที่อยู่ข้างนอกมันเหลืออยู่ไม่เท่าไรแล้ว’
เจ้าสัตว์ประหลาดนี่…มันรู้ได้ยังไงว่าเธอมาจากยุคสมัยสมาพันธ์? เซลีนรู้สึกแปลกใจ เพียงแต่ตอนนี้เธอไม่มีเวลาจะมาคิดถึงปัญหาเรื่องนี้แล้ว ‘สายแร่หินอาญาสิทธิ์ล่ะ! ถ้าแผ่นดินลอยฟ้าถูกทำลายที่นี่ เฮอร์มีสกับแผนดินตะวันตกของเกรย์คาสเซิลก็จะได้รับผลประทบไปด้วย เจ้าแน่ใจนะว่าจักรพรรดิจะไม่ลงโทษเจ้าเรื่องนี้?’
‘สกายลอร์ดเล่าซะละเอียดเลยนะเนี่ย…’ นาซเพลดูเหมือนไม่สนใจสิ่งที่เธอพูดเลยแม้แต่นิดเดียว ‘แต่การทำลายมนุษย์นั้นมีความสำคัญอย่างมาก จักรพรรดิจะต้องเข้าใจเจตนาของข้าอย่างแน่นอน เพราะในหมู่ราชามีผู้ทรยศ มันก็ต้องมีค่าตอบแทนนิดๆ หน่อยๆ บ้าง’
‘ค่าตอบแทนนิดหน่อย? สายแร่หินอาญาสิทธิ์เป็นฐานรากสำคัญที่หอหมอกแดงตอนใช้ไม่ใช่เหรอ? ถ้ามีหมอกแดงไม่พอ พวกเจ้าก็จะไม่สามารถอาศัยอยู่บนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ได้ แล้วพวกเจ้าจะไปป้องกันอาณาจักรซีสกายหลังจากนั้นได้ยังไง?’
‘เหตุผลนี้ดีกว่าเหตุผลก่อนหน้านี้’ เดอะแมสก์ไม่ได้ปฏิเสธ ‘แต่เจ้ามองข้ามไปสองเรื่อง หนึ่งคือร่างซิมไบออนท์นั้นพึ่งพาหมอกแดงน้อยกว่าร่างระดับต้นและร่างยกระดับระดับต้นมาก ต่อให้ทรัพยากรจะขาดแคลนแค่ไหน พวกมันก็ไม่มีทางเกิดความรู้สึกไม่พอใจอะไร จุดที่สองคือข้าเชื่อมั่นในพวกมนุษย์…’
‘เชื่อมั่น…หมายความว่ายังไง?’ เซลีนกัดฟันถาม
‘ก่อนหน้านี้ข้าเคยดูแคลนความสามารถของอุรูคไป มนุษย์นั้นพัฒนาในด้านพลังเวทมนตร์ค่อนข้างช้า แต่ในอีกด้านหนึ่งพวกเจ้ากลับพัฒนาไปอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ ข้าเชื่อมั่นว่าถ้าเอาชิ้นส่วนสืบทอดของพวกเจ้ามาแล้วรวมเข้ากับเทคโนโลยีของข้า การรับมือกับอาณาจักรซีสกายก็จะไม่ใช่เรื่องยาก พูดอีกอย่างก็คือต่อให้ไม่มีสายแร่หินอาญาสิทธิ์สองแห่งนี้ ข้าก็ยังสามารถเอาชนะสงครามแห่งโชคชะตาได้อยู่ดี’
‘……’ เซลีนรู้ว่าไม่ว่าจะพูดอะไร อีกฝ่ายก็ไม่มีทางเปลี่ยนความคิด —- มันแค่ต้องการปั่นหัวตัวเองมาตั้งแต่แรกแล้ว
เมื่อกับนักล่าที่กำลังเล่นกับเหยื่อของมัน
เมื่อไม่สามารถส่งข้อความออกไปได้ เธอก็ได้แต่ต้องหยุดหายนะครั้งนี้ด้วยตัวเองเท่านั้น!
‘ดูสิ ไม่เหลือเวลาแล้ว’ นาซเพลมองไปยังอีกฟากหนึ่ง — ในที่สุดพลังเวทมนตร์ที่คอยพยุงพระผู้สร้างเอาไว้ก็หายไปจนหมด จากตอนแรกที่ค่อยๆ เลื่อนลงก็กลายเป็นการดิ่งลงไปอย่างรวดเร็ว ภายใต้การเปลี่ยนแปลงนี้ ทหารไม่สามารถยืนอย่างมั่นคงได้อีกต่อไป พวกเขาได้แต่ต้องหมอบลงไปกับพื้น ‘ได้ยินว่าตอนที่วัตถุตกลงไปด้านล่าง คนที่ยืนอยู่ด้านบนจะลอยขึ้นมา ไม่รู้ว่าข้าจะได้เห็นภาพแบบนี้หรือไม่?’
ทำยังไงถึงจะทำให้แกนเวทมนตร์เคลื่อนไหวได้อีกครั้ง?
เซลีนพยายามรวบรวมสมาธิ เดอะแมสก์ไม่ได้อยู่บนพระผู้สร้าง มันเชื่อมต่อที่นี่ด้วย ‘เครือข่าย’ ของมัน อย่างนั้นถ้าไล่อีกฝ่ายออกไปได้ บางทีอาจจะทำให้แกนพลังเวทมนตร์กลับมาทำงานได้เป็นปกติอีกครั้ง!
เธอลองเอาหนวดสำหรับรับรู้แทงลงไปในแกนเวทมนตร์ทั้งสี่ แต่เธอกลับเจอกับการสะท้อนกลับอย่างรุนแรง!
มันคือภาพพายุหมุนที่มีความซับซ้อนอย่างมาก
พายุทุกลูกล้วนแต่เทียบเท่ากับแกนเวทมนตร์ตอนที่อยู่ในรูปแบบ ‘ทัณฑ์สวรรค์’ เลย อีกทั้งพายุทั้งสี่ยังส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน ทำให้กลายเป็นพายุหมุนเวทมนตร์ที่มีความรุนแรงอย่างมาก
แค่จัดการแกนเวทมนตร์อันเดียวยังต้องใช้เวลาตั้งนาน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการแก้ไขแกนเวทมนตร์ทั้งสี่พร้อมกันเลย!
‘นี่ต่างหากถึงจะเป็นศิลปะ…ใช่ไหมล่ะ?’ นาซเพลขยายภาพพายุใหญ่ขึ้น ก่อนจะกลายเป็นโครงสร้าง ‘ดาราจักร’ ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาบนศีรษะของทั้งสองในพริบตา พลังเวทมนตร์สอดประสานกันไปมาพร้อมกับส่องแสงแวววับ ‘เพื่อที่จะคำนวณมันออกมาแล้ว ข้าต้องใช้เวลาไปเกือบร้อยปี สมองสองในสามหรือสองในสี่ต้องถูกใช้ไปกับการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้อง ราชาส่วนใหญ่คิดว่าข้าเป็นตัวประหลาด…ช่างน่าขันเสียจริง ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงร่างกายของตัวเองและดูดซับสมองมาให้มากๆ แล้วข้าจะทำให้ทั้งหมดนี้กลายเป็นจริงได้อย่างไร?’
เมื่อเห็นภาพพายุเวทมนตร์ที่หมุนวนเหมือนระบบสุริยะ เซลีนพลันรู้สึกถึงความสิ้นหวังขึ้นมา
ขณะเดียวกันเธอยังสัมผัสได้ว่าเดอะแมสก์กำลังฉวยโอกาสในตอนที่เธอกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับแกนพลังเวทมนตร์ในการรุกล้ำเข้ามาในร่างกายของเธอ เพียงแต่ในเวลานี้เซลีนไม่มีความคิดต่อต้านใดๆ ทั้งสิ่ง ถ้าเธอไม่สามารถแก้ไขทุกอย่างได้ ความหวังของสมาพันธ์….รวมไปถึงมนุษย์ทั้งหมดจะพังทลายลง แล้วมันจะต่างอะไรกับการถูกคนอื่นยึดร่างกายไปล่ะ?
ต้องรีบคิดหาทาง!
ภายในหัวเธอมีภาพโรแลนด์ปรากฏขึ้นมา สร้างโอกาสในการมีชีวิตรอดจากความเป็นไม่ได้ นี่คือความหวังที่ชายคนนี้มอบให้กับแม่มดทาคิลาอีกครั้ง….แต่ไม่นานเธอก็ปฏิเสธความคิดนี้ไป เพราะ ‘เครือข่าย’ ของเดอะแมสก์กับโลกแห่งจิตสำนึกนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตัวเองไม่สามารถรับความช่วยเหลือของฝ่าบาทจากที่นี่ได้
ยังมีอะไรที่จะทำให้เธอวิเคราะห์วงแหวนดวงดาวนี้ได้อีก?
เมื่อคิดย้อนกลับไป ตอนที่เธอเปลี่ยนแกนพลังเวทมนตร์ให้กลายเป็นทัณฑ์สวรรค์ เธอทำอะไรไปบ้าง?
สายฟ้าสายหนึ่งพลันผ่าลงมาในหัวของเซลีน!
เธอก้มหน้ามองดู ‘ตาข่ายเครือข่าย’ ที่กำลังสองแส่งระยิบระยับอันนั้น — นั่นคือสิ่งที่ยืมเทคโนโลยีของอารยธรรมใต้ดินในการสร้างออกมา และจุดสีเทาที่กระจายอยู่ด้านนอกตาข่ายน่าจะเป็นแกนพลังเวทมนตร์ที่ยังไม่ถูกรวมเข้ามา
แกนพลังเวทมนตร์แบบนี้ เมืองเนเวอร์วินเทอร์ก็มีเหมือนกัน!
ในเมื่อเธอสามารถเชื่อมต่อเข้ากับศูนย์กลางการควบคุมของพระผู้สร้างผ่านทางแกนพลังเวทมนตร์ได้ อย่างนั้นแกนพลังเวทมนตร์อื่นๆ ก็น่าจะทำได้เหมือนกัน แต่แน่นอนว่าปัญหาที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องระยะทาง แต่เมื่อคิดย้อนกลับแล้ว บางทีเธออาจจะใช้ศูนย์กลางการควบคุมนี้ในการเชื่อมต่อกับแกนพลังเวทมนตร์อันอื่นได้
จากนั้นก็ให้พาซาร์กับอาลิเซียมาช่วยเธอ?
ไม่ พวกเธอช่วยอะไรไม่ได้…คนที่เธอจะฝากความหวังเอาไว้ได้มีเพียงแค่คนเดียว!
นั่นคือหนึ่งในสามผู้นำที่ช่วยเธอจัดการกับแกนคำนวณขนาดใหญ่
ท่านเอเลนอร์
ส่วนเอเลนอร์ที่รวมร่างเข้ากับร่างศูนย์กลางและสูญเสียจิตใจและความรู้สึกจะตอบสนองการเรียกของเธอได้หรือเปล่านั้น เซลีนไม่มีเวลามานั่งคิดแล้ว
ความคิดนี้เหมือนเป็นแสงลางๆ ที่ปรากฏขึ้นมาในความมืด ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร เธอก็ต้องลองคว้ามันดู!
เธอรวบรวมสมาธิอีกครั้ง แล้วเล็งเป้าหมายไปบนหินโอเบลิส—
ครั้งนี้ เธอไม่จำเป็นต้องทำการวิเคราะห์อะไรอีก เพียงแค่ใส่พลังเวทมนตร์จำนวนมากเข้าไปในนั้นก็พอ!
‘เจ้าคิดจะทำอะไร?’ นาซเพลด้านหนึ่งก็กำลังกลืนกินจิตสำนึกของเธอ อีกด้านหนึ่งก็พูดขึ้นมาอย่างไม่รีบร้อน ‘อยากจะขยายขอบเขตการแสดงผลของเครือข่ายอย่างนั้นเหรอ? เจ้าไม่เข้าใจ…ถ้าไม่มีมาเธอร์ออฟโซลหรือว่าร่างเปลือก จุดเชื่อมต่อเหล่านั้นก็ไม่สามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ แม้แต่จักรพรรดิเองก็ต้องหลอมรวมเข้ากับแกนพลังเวทมนตร์ก่อนถึงจะสามารถขับเคลื่อนพลังที่น่าตกตะลึงนี้ได้…’
‘งั้นเหรอ? แต่ว่าข้ารู้จักคนแบบนี้อยู่คนนึงพอดีเลย!’ เซลีนใช้แรงทั้งหมดที่มีทำให้จิตสำนึกของตัวเองกระจายออกไปตามเครือข่าย ‘ปรับรูปแบบแกนพลังเวทมนตร์ให้เป็นแบบสมดุล!’
ทันใดนั้นเอง เสาหินโอเบลิสพลันส่งเสียงร้องที่คนธรรมดาไม่มีวันรับรู้ได้ออกมา คลื่นพลังเวทมนตร์อันรุนแรงนี้ทำให้ตาข่ายเครือข่ายทั้งหมดเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างขึ้นมา ราวกับว่ามันพร้อมจะดับลงไปได้ทุกเมื่อ แต่กลับไปส่องสว่างเหมือนดวงดาวอยู่ทางตะวันตกแทน
……………………………………………………………….