Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1439 สามผู้นำคนสุดท้าย
เสียงคำรามที่ดังไปทั่วทั้งท้องฟ้าพลันเงียบลง
ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเหมือนเคลื่อนห่างออกจากพวกเธอทั้งสองคนไป
เมื่อเห็นผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า เซลีนเหมือนจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ — ถึงแม้ร่างกายนี้จะสูญเสียความสามารถในการหลั่งน้ำตาไปแล้ว เธออยากจะเข้าไปกอดอีกฝ่าย แต่พอยื่นหนวดไปได้ครึ่งทางก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อเห็นหนวดที่น่าเกลียดของตัวเอง
กลับกลายเป็นอีกฝ่ายที่เดินเข้ามา ก่อนจะประคองหนวดของเธอเอาไว้อย่างไม่ลังเล
‘ข้าไม่ใช่ว่าเพิ่งจะเคยเห็นร่างเปลือกเสียหน่อย เจ้าจะอายอะไร?’
ยังคงเป็นน้ำเสียงที่เป็นกันเองเหมือนเช่นเคย
น้ำเสียงและใบหน้าที่คุ้นเคยทำเอาเซลีนไม่อาจสะกดกลั้นอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ได้ เธอกางหนวดทั้งหมดออกก่อนจะกอดเอเลนอร์เอาไว้ในอ้อมอก
‘ตอนนี้เจ้าค่อยๆ เล่ามาให้ข้าฟังได้แล้วล่ะว่าเรื่องราวมันเป็นมายังไง’ อีกฝ่ายพูดยิ้มๆ
‘ท่านเอเลนอร์ ท่านพอจะบอกข้าก่อนได้ไหมว่าสถานการณ์ข้างนอกมันเป็นยังไงบ้าง?’ หลังสงบสติอารมณ์ได้ เซลีนก็คิดถึงคำสั่งที่ตัวเองได้รับมอบหมายขึ้นมา — พื้นที่จิตสำนึกนี้ยังอยู่ก็แสดงว่าพระผู้สร้างยังไม่ได้กระแทกลงไปที่พื้นเหมือนที่ศัตรูคิดเอาไว้ก่อนหน้านี้ แต่เธอยังคงอยากได้ยินว่าข้างนอกปลอดภัยดี
‘ถึงแม้จะยังตกลงไป แต่ความเร็วของมันก็น่าจะลดลงถึงระดับที่ไม่เป็นอันตรายก่อนที่จะตกลงไปกระแทกพื้น’ เมื่อพูดถึงตรงนี้ เอเลนอร์ก็ชะงักไปเล็กน้อย ‘จะว่าไปแล้ว เจ้าสิ่งนี้มันคือสิ่งที่ปีศาจสร้างขึ้นมาเหรอ?’ แล้วข้ายังเห็นแม่มดอาญาสิทธิ์อยู่ไม่น้อยด้วย — พวกเราสามารถบุกเข้ามาโจมตีเมืองของศัตรูได้แล้วเหรอ? อควาเรียสนาง…ทำสำเร็จแล้วเหรอ…’
ในที่สุดเซลีนก็รู้สึกสบายใจ ‘ข้าเกรงว่า…เรื่องนี้มันจะไม่เหมือนกับที่ท่านคิดเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าจะเล่าคงต้องใช้เวลานานเลยเจ้าค่ะ’
‘การสื่อสารทางจิตสำนึกเหมาะที่จะใช้คุยเรื่องยาวๆ’ เอเลนอร์ถอนหายใจ ‘มาสิ ข้าพร้อมแล้ว’
‘เจ้าค่ะ’ เซลีนพยักหนวดหลัก ‘อย่างนั้นข้าจะเริ่มตั้งแต่ที่ท่านรวมร่างเข้ากับร่างศูนย์กลางแล้วกันนะเจ้าคะ….’
….
ผ่านไปครู่ใหญ่เธอถึงจะหยุดการบรรยาย
‘…อย่างนี้นี่เอง’ ในตอนที่เอเลนอร์เอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง ในน้ำเสียงของเธอก็เต็มไปด้วยความรู้สึกทอดถอนใจ ‘สุดท้ายก็ไม่ใช่อควเรียสที่ชนะ แล้วก็ไม่ใช่นาตาย่าที่ชนะ หากแต่เป็นมนุษย์ที่ร่วมใจกันเป็นหนึ่งอีกครั้ง แต่ข้าสงสัยจริงๆ ว่าในหมู่คนธรรมดาจะมีคนแบบนี้จริงๆ เหรอ?’
‘พวกข้าก็ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะยอมรับในจุดนี้ได้เหมือนกันเจ้าค่ะ กลับกลายเป็นอกาธาที่ก่อนหน้านี้เคยรับสมัครคนธรรมดามาทำงานด้วยที่ปรับตัวได้ค่อนข้างเร็ว ถ้าไม่เป็นเพราะเธอ เกรงว่าคงอีกนานกว่าที่พวกข้าจะยอมรับในเรื่องนี้ได้’
‘ข้าจำชื่อนี้ได้’ เอเลนอร์กะพริบตา ‘ผู้ตื่นรู้อัจฉริยะที่อายุน้อยคนนั้น’
‘ท่านยังจำนางได้ด้วยเหรอเจ้าคะ’ เซลีนพูดอย่างแปลกใจ ‘แม่มดที่สามารถอยู่รอดมาถึงตอนนี้ได้ก็มีแค่นางเท่านั้นที่ยังอยู่ในรูปร่างเดิม’ เมื่อพูดถึงตรงนี้เธอก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเธอจึงถามขึ้นมาว่า ‘ท่านเอเลนอร์ ท่านพอจะจำเรื่องราวตอนที่ท่านอยู่ในร่างศูนย์กลางได้หรือเปล่าเจ้าคะ?’
อีกฝ่ายค่อยๆ ส่ายหน้า ‘ความจริงแล้ว ข้าเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครกันแน่ เอเลนอร์ชื่อนี้มันก็ไม่ถูกไปเสียทีเดียว เพราะว่าข้ายังมีเชรีล จัสมิน ซาลีส…แม่มดทุกคนที่รวมร่างเข้ากับร่างศูนย์กลางกลายมาเป็นตัวข้าในตอนนี้ ข้ายังจำเรื่องราวทั้งหมดก่อนที่จะรวมร่างได้ แต่ในตอนที่อยู่ในร่างศูนย์กลางกลับจำไม่ได้ ข้าไม่สามารถอธิบายความรู้ออกมาได้ มันทั้งสับสนแล้วก็วุ่นวาย มันไม่ใช่แค่การมองไม่เห็นหรือว่าไม่ได้ยิน เหมือนกับจิตสำนึกถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มีเพียงแค่เศษเสี้ยวเล็กๆ เท่านั้นที่ยังคงเป็นปกติอยู่’ เธอนิ่งเงียบไปเล็กน้อย ‘เอ่อ…ถ้าจะให้นึกจริงๆ เรื่องเดียวที่ข้าจำได้น่าจะเป็นเรื่องการคำนวณปัญหากับการวิเคราะห์แกนพลังเวทมนตร์นั่นแหละ’
‘อย่างนั้นท่านมาที่นี่ได้ยังไงเจ้าคะ?’ เซลีนถามอย่างแปลกใจ
‘ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน น่าจะเหมือนมองเห็นแสงสว่างที่พุ่งเข้าไปทำลายความวุ่นวาย ไม่ว่าจะยังไงก็ต้องวิ่งเข้าไปหามันล่ะมั้ง?’
อย่างนี้นี่เอง สำหรับตัวข้าในตอนนั้นแล้ว ท่านเองก็คือลำแสงที่อยู่ในความมืดอันนั้น….
เซลีนนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ถึงจะสามารถสะกดอารมณ์ที่พุ่งพล่านอยู่ในใจได้
เมื่อมาคิดๆ ดูแล้ว การที่ตัวเองสามารถเข้ามาที่นี่ได้อย่างราบรื่นจนผิดปกตินั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับร่างของมาเธอร์ออฟโซลที่นาซเพลได้ทำการปรับปรุงมาแล้ว เมื่อเทียบกับร่างศูนย์กลางของอารยธรรมใต้ดิน ร่างเปลือกอันนี้น่าจะเหมาะกับจิตสำนึกของพวกเธอมากกว่า นี่กลับเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะเมื่อดูจากศีรษะจำนวนมากที่เดอะแมสก์แสดงออกมา วิธีการ แสดงให้เห็นว่าวิธีการคิดของมันน่าจะมีความซับซ้อนหลากหลายเป็นอย่างมาก ถ้าไม่สามารถประสานจิตสำนึกเหล่านี้ได้ คนที่จะถูกกลืนกินเป็นคนแรกจะต้องเป็นตัวมันอย่างแน่นอน
และก็เป็นเพราะว่าร่างเปลือกทางนี้นั้นเหมาะกับท่านเอเลนอร์มากกว่า ในพริบตาที่ถูกพลังเวทมนตร์เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน เธอจึงถูก ‘ดึงดูด’ มาทางนี้
ในเมื่อเธอยังอยู่ ถึงแม้เครือข่ายจะหายไปแล้ว นั่นก็หมายความว่าร่างเปลือกที่อยู่ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ได้กลายเป็นร่างเปล่าใหม่อีกครั้ง ส่วนท่านเอเลนอร์ตอนนี้ก็มาอยู่ในร่างมาเธอร์ออฟโซลของปีศาจแทน
หลังจากเซลีนอธิบายการวิเคราะห์ของตัวเองออกมาคร่าวๆ อีกฝ่ายก็พยักหน้าชื่นชมเธอ ‘ข้าเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน คิดไม่ถึงว่าผ่านมานานขนาดนี้ พอลืมตาขึ้นก็กลายเป็นปีศาจซะแล้ว นี่มันค่อนข้างเหนือความคาดคิดไปหน่อย แต่เจ้าราชาปีศาจที่ชื่อเดอะแมสก์นั้นเปลี่ยนร่างนี่จนไม่เหลือเค้าเดิมเลยนะ กระทั่งความสามารถในการเคลื่อนไหวก็ไม่มีเหลือเลย เหมือนกับจงใจทำให้มันเป็นแบบนี้อย่างนั้นแหละ’
ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ก็หมายความว่าไม่สามารถเอาข้อมูลออกไปนอกทะเลสาบหมอกแดงได้ แล้วก็ย่อมไม่มีใครสังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านล่างของหินโอเบลิส ขอเพียงเสาหินยังคงผลิตหมอกแดงออกมาเรื่อยๆ มาเธอร์ออฟโซลก็จะปลอดภัย — การกระทำของเดอะแมสก์เรียกได้ว่าทำอยู่ในจุดอับสายตาของเผ่าพันธุ์ตัวเอง
‘ขอเพียงพวกเรารู้ว่าท่านเป็นใครก็พอเจ้าค่ะ ภาชนะมันจะเป็นอะไรนั้นไม่สำคัญ’ เซลีนโบกหนวดหลัก ในเสียงของเธอแฝงเอาไว้ด้วยความคาดหวังที่ไม่อาจสะกดเอาไว้ได้ ‘แม่มดคนอื่นๆ ก็ต้องคิดเช่นนี้เหมือนกันเจ้าค่ะ พวกนางถึงได้ทำให้ท่านปรากฏตัวออกมาอีกครั้งในร่างของสามผู้นำ เอาไว้กลับไปถึงเมืองเนเวอร์วินเทอร์แล้ว พวกพาซาร์จะต้องดีใจอย่างมากแน่เจ้าค่ะ!’
‘ข้าเองก็อยากเจอพวกนางเหมือนกัน’ เอเลนอร์มองไปยังอีกฟากหนึ่ง ‘แต่ว่าข้าไปไกลขนาดนั้นไม่ได้’
เซลีนตกตะลึงไปเล็กน้อย ‘ทำไมล่ะเจ้าคะ?’
‘หินอาญาสิทธิ์ที่อยู่ด้านล่างเสาหินโอเบลิสใกล้จะเหี่ยวแห้งลงแล้ว อีกไม่นานมันก็ใช้งานไม่ได้อีก ส่วนมาเธอร์ออฟโซลเองก็จะตายตามไป — ถึงจะพูดยังไงมัน สุดท้ายมันก็คือปีศาจ มันไม่มีทางที่จะเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระเหมือนอย่างร่างเปลือก’ เธอพูดอย่างสบายๆ ‘เรื่องสุดท้ายที่ข้าสามารถทำให้พวกเจ้าได้ก็คือการทำให้เมืองแห่งนี้ตกลงไปบนพื้นอย่างช้าๆ’
เซลีนตัวแข็งไปทันที
เธอพบว่าตัวเองลืมเรื่องที่สำคัญอย่างมากเรื่องหนึ่งไป การลอยขึ้นไปเหนือขีดจำกัดของพระผู้สร้างและการลดความเร็วลงนั้นล้วนแต่ต้องใช้พลังงานจากสายแร่หินอาญาสิทธิ์เป็นจำนวนมาก เมื่อครู่นี้ตอนที่เธอเร่งประสิทธิภาพการทำงานของเสาหินโอเบลิส แล้วใช้ ‘เครือข่าย’ เชื่อมต่อเข้ากับดินแดนตะวันตก มันก็ได้เผาผลาญพลังเวทมนตร์ที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดไปจนหมดแล้ว ไม่ว่าแผนการที่สองของเดอะแมสก์จะสำเร็จหรือไม่ นี่ก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
‘ไม่มีอะไรต้องเสียใจ’ เอเลนอร์ก้มหน้ามอง ‘ความพยายามของเจ้าทำให้ข้าได้เห็นโลกใบนี้อีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นมันยังแตกต่างไปจากเมื่อ 400 ปีก่อนด้วย ครั้งนี้มนุษย์เต็มไปด้วยความหวัง…นี่เป็นผลตอบแทนที่ดีมากแล้ว’
‘แต่ว่า…’
เอเลนอร์ยื่นมือออกมาหยุดคำพูดของเธอเอาไว้ ‘ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ถ้าข้าไม่ปรากฏตัวขึ้นมา ทุกอย่างก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่ถ้าข้ากลับมา ไม่แน่มันอาจจะนำพาปัญหาหลายๆ อย่างตามมาก็ได้ เผลอๆ อาจจะกลายเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี’
‘จะเป็นไปได้ยังไงเจ้าคะ?’ เซลีนโบกหนวดหลักพร้อมพูดแย้ง ‘ทุกคนมีแต่จะต้องตื่นเต้นดีใจที่ท่านกลับมาสิเจ้าคะ!’
‘เมื่อกี้เจ้าก็พูดใช่ไหมว่าตอนนี้แม่มดให้กษัตริย์ของมนุษย์คนหนึ่งมาเป็นผู้นำ? ถ้าเขารู้ว่าจู่ๆ ในกองทัพพันธมิตรมีสามผู้นำในยุคสมัยสมาพันธ์ปรากฏตัวขึ้นมา ภายในใจเขาจะรู้สึกอย่างไร? ทาคิลาจะฟังคำสั่งใคร ความเห็นตัวเองยังจะถือเป็นที่สุดอีกไหม…ต่อให้พวกเจ้าไม่คิดเช่นนั้น แต่ก็ไม่มีทางที่จะกำจัดความสงสัยนี้ไปได้ พอนานวันเข้ามันก็จะกลายเป็นรอยร้าวฉาน ปกติเจ้าซึ่งเป็นสมาชิกของสถาบันค้นคว้าศาสตร์ลึกลับมักจะง่วนอยู่แต่กับการศึกษาเกี่ยวกับเวทมนตร์ การที่เจ้าไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร — ดังนั้นวิธีที่เหมาะสมที่สุดก็คือรักษาสถานการณ์ในตอนนี้เอาไว้’
เซลีนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี
‘นับตั้งแต่ที่อควาเรียสกับนาตาย่าตายไป ข้าก็เข้าใจในเรื่องนี้’ เอเลนอร์ถอนหายใจออกมาเบาๆ ‘ข้าเป็นสุดยอดอมนุษย์ แต่กลับไม่ได้ผู้นำที่ดี สำหรับคนธรรมดาแล้ว การไม่มีปากมีเสียงบางทีอาจจะเป็นเรื่องนี้ แต่มันไม่เหมาะสำหรับคนที่จะเป็นผู้นำคน ในตอนที่สมาพันธ์กำลังเผชิญหน้ากับการแตกแยก ข้ากลับไม่ยอมทำการตัดสินใจออกมา แท้ที่จริงแล้วนี่ก็ถือเป็นการหลบหนีอย่างหนึ่ง’
‘ท่านเอเลนอร์…’
‘เจ้าไม่ต้องปลอบข้าหรอก ตอนนั้นไม่ว่าข้าจะสนับสนุนอควาเรียสหรือว่านาตาย่าก็จะทำให้สถานการณ์กลายเป็นสองต่อหนึ่ง แบบนั้นสมาพันธ์ก็อาจจะไม่ต้องเกิดความแตกแยก แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจที่จะส่งผลกระทบต่อชะตาชีวิตของเผ่าพันธุ์ สุดท้ายข้ากลับเลือกที่จะหนีมันจนทำให้สถานการณ์เลวร้ายจนไม่อาจกลับไปแก้ไขได้’ สายตาเธอดูสับสน เหมือนกับว่าเธอได้กลับไปอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดตอนนั้นอีกครั้ง ‘การรวมร่างกับร่างศูนย์กลางหลังจากนั้นเป็นการชดเชยเพียงอย่างเดียวที่ข้าจะทำได้ ตอนนี้หลังจากที่หลอมรวมความปรารถนาของทุกคนเข้าไว้ด้วยกันแล้วกลับมาคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้ง ข้าก็ยิ่งมั่นใจในการตัดสินใจของตัวเอง ข้าไม่ใช่คนที่เหมาะจะเป็นสามผู้นำ ต่อให้กลับไปได้ ข้าก็ไม่มีทางที่จะนำพวกเจ้าได้ดีกว่าเขา ดังนั้นผลลัพธ์ที่ออกมาแบบนี้นั้นถือว่าดีมากแล้ว…ก่อนที่เสาโอเบลิสจะพังทลายลง เจ้าอยู่คุยเป็นเพื่อนข้าอีกหน่อยแล้วกัน’
‘ท่านอยากจะคุยนานเท่าไรก็ได้เจ้าค่ะ’ เซลีนสูดหายใจ ‘แต่ถ้าข้าอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร หลังจากนี้ข้าจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน ไม่ว่ายังไง ข้าก็อยากให้ท่านได้ลองคุยกับฝ่าบาทโรแลนด์ด้วยตัวท่านเอง’
‘เซลีน’
‘บางทีท่านอาจจะพูดถูก แต่นั้นมันเป็นมุมมองของคนที่เป็นราชา’ เธอลู่หนวดหลักลงอย่างหนักแน่น ‘อย่างน้อยก็มีเรื่องหนึ่งที่เขาคล้ายกับท่านมาก ถ้าท่านบอกว่าตัวเองไม่เหมาะที่จะเป็นสามผู้นำ อย่างนั้นเขาก็เป็นราชาที่ดูไม่เหมือนราชามากที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอมาแล้วเจ้าค่ะ’
……………………………………………………………..