Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1443 เอเลนอร์
สิ่งที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงความคิดและท่าทีของราชาทั้งสองนั้นไม่ได้มีแต่พระผู้สร้างที่กลายเป็นเกาะเท่านั้น
นอกจากการปะทะเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นตรงตีนเขาเฮอร์มีสแล้ว การโจมตีของกองทัพตะวันตกก็หยุดลงเนื่องจากไม่มีแหล่งกำเนิดหมอกแดง
ถึงแม้จะยังมีปีศาจแมงมุมบางส่วนที่เคลื่อนไหวอยู่ในเทือกเขาสิ้นวิธี แต่ในตอนที่พลังเวทมนตร์ถูกใช้ไปจนหมด พวกมันก็จะหยุดเคลื่อนไหวไปตลอดกาล นี่ทำให้ภาระความกดดันของกองทัพที่หนึ่งที่ตั้งแนวป้องกันอยู่ทุกที่ลดลงไปได้ไม่น้อย ภูเขาเคจเมาเธ่นก็ไม่ใช่ ‘แนวป้องกันที่สำคัญ’ ทางเหนือที่จำเป็นต้องรักษาเอาไว้ให้ได้อีกต่อไป ในเวลาหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น ทหารหลายๆ หน่วยต่างทยอยถอนกำลังออกมาจากแนวหน้าเพื่อกลับมาช่วยเหลืออการรบทางด้านตะวันตกของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ สถานการณ์ที่เดิมอยู่ในความตึงเครียดพลันผ่อนคลายลง
กองหนุนจำนวนมากที่กลับมาช่วยเหลือทำให้สถานการณ์การรบของดินแดนตะวันตกเปลี่ยนไป หน่วยรถถังที่ตั้งขึ้นมาใหม่บุกทะลวงเข้าโจมตีพวกสัตว์อสูรแล้วเข้าล้อมพวกอสูรมีดที่พรางตัวได้เหมือนกับแหอย่างไรอย่างนั้น และในตอนที่สัตว์อสูรจำนวนมากมารวมตัวกัน พวกมันก็จะถูกอัศวินอากาศกระหน่ำโจมตีอย่างหนักหน่วง บังเกอร์ที่อยู่ตามจุดเชื่อมต่อของรางรถไฟที่ก่อนหน้านี้ถูกทิ้งเอาไว้ค่อยๆ ทยอยถูกชิงกลับมา ทั่วทุกที่เรียกได้ว่าเต็มไปด้วยส่วนซากศพของสัตว์ป่าที่กลายสภาพที่ถูกยิงตายด้วยอาวุธปืน — ถ้าไม่เป็นเพราะซากศพของพวกมันเน่าเปื่อยกลายเป็นน้ำสีดำอย่างรวดเร็ว เกรงว่าทั่วทั้งพื้นที่บุกเบิกคงเต็มตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่าแล้ว
ถึงแม้วัลคีรีย์จะเคยบอกเอาไว้ว่าสัตว์อสูรนั้นเป็นแค่เพียงลานวิวัฒนาการของอาณาจักรซีสกาย แล้วก็ทำประโยชน์ในการรบได้น้อยมาก ในขณะที่อันตรายที่แท้จริงนั้นรอคอยอยู่ด้านหลัง แต่การทำให้สถานการณ์กลับมามั่นคงเหมือนเดิมนั้นยังคงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดของเมืองเนเวอร์วินเทอร์อยู่ ในเมื่อแนวป้องกันทั้งหมดของปีศาจได้พังทลายลงแล้ว หลังจากนี้กองทัพจำนวนมหาศาลของอาณาจักรซีสกายจะต้องขึ้นมายังดินแดนรุ่งอรุณอย่างแน่นอน เช่นนี้แล้วกองทัพที่หนึ่งก็ยิ่งจำเป็นต้องรวมกำลังเข้าด้วยกัน ไม่ใช่กระจายกำลังออกไปทำศึกสองด้าน
ในขณะที่โรแลนด์รู้สึกโล่งใจกับสถานการณ์การรบกับปีศาจ เขาก็เริ่มทำการ ‘ช่วยเหลือ’ เอเลนอร์ออกมา
ถึงแม้การปลูกถ่ายหอคอยแห่งการให้กำเนิดหรือก็คือเสาโอเบลิสจะเป็นเรื่องที่เดอะแมสก์รับผิดชอบดูแลมาโดยตลอด แต่ในช่วงเวลาหลายปีมานี้ ราชาทั้งสามตัวก็พอจะรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง
ส่วนที่เป็นหัวใจสำคัญของการช่วยเหลือครั้งนี้ย่อมต้องเป็นการปรับเปลี่ยนตัวมาเธอร์ออฟโซลเพื่อทำให้มันสามารถเชื่อมต่อกลายเป็นหนึ่งเดียวกับสายแร่แห่งใหม่ได้ เทคโนโลยีนี้มีเพียงแค่เดอะแมสก์กับปีศาจระดับสูงที่ติดตามมันเท่านั้นที่รู้ แต่ร่างมาเธอร์ออฟโซลที่เอเลนอร์ได้มานั้นเป็นผลงานที่สำเร็จเรียบร้อยแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงสามารถข้ามขั้นตอนในส่วนนี้ไปได้
อันดับต่อมาคือร่างของมาเธอร์ออฟโซลต้องมีขนาดที่ใหญ่และแข็งแรงมากพอถึงจะสามารถฟื้นตัวขึ้นมาหลังจากทำการปลูกถ่ายได้ ในจุดนี้สามารถเข้าใจได้ง่ายมาก การปลูกถ่ายนั้นจะสร้างความเสียหายภายในอย่างรุนแรงให้แก่ร่างแม่อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งเหมือนกับต้นไม้ ตอนนี้ร่างมาเธอร์ออฟโซลนั้นคือเอเลนอร์ สิ่งที่เขาทำได้ก็มีแค่เชื่อมั่นในตัวอีกฝ่ายเท่านั้น
เรื่องสุดท้ายคือร่างมาเธอร์ออฟโซลจำเป็นต้องอยู่ในหมอกแดงตลอดกระบวนการช่วยเหลือ พูดอีกอย่างก็คือก่อนที่เสาหินโอเบลิสจะเริ่มเปลี่ยนเป็นหมอกแดงใหม่อีกครั้ง มันจำเป็นต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยหมอกแดง
สำหรับปฏิบัติการช่วยเหลือในครั้งนี้แล้ว นี่คือจุดที่ยากที่สุด
ที่โชคดีก็คือเฮคซอดจะเข้าร่วมในปฏิบัติการครั้งนี้ด้วย — ไม่บอกก็คงจะรู้ว่าประตูมิติของมันมีความสำคัญต่อการขนส่งแค่ไหน ในปฏิบัติการครั้งนี้มันสามารถแสดงประสิทธิภาพออกมาเหนือกว่าที่คิดเอาไว้มาก
หลังกำหนดแผนการเรียบร้อย หน่วยที่เริ่มปฏิบัติการเป็นหน่วยแรกก็คือกองอุตสาหกรรม
การจะเอาเอเลนอร์ที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ออกมาจากทะเลสาบหมอกแดงนั้นจำเป็นต้องรู้ตำแหน่งที่แน่ชัดของเธอก่อน ภายในพระผู้สร้างนั้นคือพื้นที่หวงห้ามที่แม่มดไม่สามารถย่างกรายเข้าไปได้ ชุดดำน้ำของริคส์สามารถแสดงประสิทธิภาพออกมาได้อย่างคาดไม่ถึง
ด้วยเชือกที่ถูกขยายจนยาว ชาวทะเลทรายที่สวมชุดดำน้ำสิบกว่ากลุ่มเดินลัดเลาะเสาหินจำนวนมากเข้าไปในทะเลสาบหมอกแดง ก่อนที่สุดท้ายจะยืนยันตำแหน่งของเอเลนอร์ได้ที่ระดับความลึก 150 เมตร คนที่เป็นหัวหน้าทีมคือชายคนหนึ่งที่ชื่อซิมบาดี้
หลังจากนั้นก็เป็นการใช้แรงงานคนในการค่อยๆ แกะเอาร่างแม่ออกมาจากเสาโอเบลิส แล้วก็ใช้เชือกมัดมันเอาไว้ ในเวลาปกติ มาเธอร์ออฟโซลนั้นมีกำลังมากกว่าร่างเปลือก แถมยังเชื่อมต่อกับด้านล่างของเสาโอเบลิสอย่างแน่นหนา แทบจะไม่มีทางแยกมันออกมาจากเสาหินได้เลย แต่การตายของเสาโอเบลิสกลับทำให้สามารถแยกมันออกมาจากเสาหินได้ ต่อให้พวกเขาไม่ทำอะไร ตัวเสาหินโอเบลิสก็จะค่อยๆ ผุพังจนสุดท้ายกลายเป็นเศษหิน
ในตอนที่ร่างแม่ถูกดึงขึ้นมาถึงผิวทะเลสาบหมอกแดง สกายลอร์ดก็เปิดประตูมิติขึ้นที่ด้านล่างแล้วส่งเอเลนอร์เข้าไปในกล่องเหล็กที่จัดทำขึ้นมาเป็นพิเศษ สิ่งที่ถูกใส่เข้าไปในกล่องเหล็กพร้อมกับเธอย่อมต้องมีหมอกแดงจำนวนมากด้วย
หลังขั้นตอนนี้เสร็จเรียบร้อย ทุกคนก็โล่งใจขึ้นมา
งานหลังจากนั้นมีความง่ายขึ้นมาก
หน่วยรถบรรทุกไอน้ำที่ฟาร์รีน่ารับผิดชอบรับหน้าที่ขนส่ง นอกจากกล่องเหล็กแล้ว สิ่งที่รถบรรทุกต้องขนยังมีถังเก็บหมอกแดงอีกเป็นจำนวนมาก — พวกมันเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องใช้เลี้ยงร่างมาเธอร์ออฟโซล แล้วก็เป็นหมอกแดงสำรองให้สกายลอร์ดได้ใช้ระหว่างทาง ด้วยประตูมิติของเฮคซอด หน่วยรถบรรทุกใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็สามารถเดินทางจากซีวินด์เชียร์มายังเมืองเนเวอร์วินเทอร์ได้
ถ้าไม่เป็นเพราะเฮคซอดดึงดันที่จะจากไป โรแลนด์ยังคิดจะแต่งตั้งมันให้เป็นหัวหน้าทีมขนส่งด้วยซ้ำ
ภายใต้การจับตามองอย่างระมัดระวังของแม่มดอาญาสิทธิ์ ลังเหล็กก็ถูกฟรานกลืนเข้าไป ก่อนจะถูกส่งไปยังชั้นล่างของถ้ำในเหมืองเนินทิศเหนือ
นี่หมายความว่าปฏิบัติการช่วยเหลือได้เสร็จสิ้นลงแล้ว — ภายใต้การประสานงานของสำนักบริหารกลาง คนจำนวนเกือบหมื่นคนจากหลายหน่วยงานและเผ่าพันธุ์อื่นได้ทำภารกิจขนส่งข้ามครึ่งอาณาจักรเกรย์คาสเซิลจนเสร็จเรียบร้อย
ในเวลานี้สิ่งที่โรแลนด์ทำได้ก็มีแค่รอเท่านั้น
….
ถ้ำเหมืองเนินทิศเหนือ เขตพื้นที่สายแร่หินอาญาสิทธิ์
พาซาร์ใช้หนวดม้วนถังหมอกแดงขึ้นมา ก่อนจะเทมันลงไปบนส่วนที่เป็นรากของสัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างน่าเกลียดตัวหนึ่ง — มันเป็นเหมือนก้อนดินที่มีหนวดงอกออกมาเต็มไปหมด บนหัวมีดวงตาประกอบคู่หนึ่งฝังเอาไว้ ขนาดของตัวมันใหญ่เท่ากับร่างศูนย์กลางสามร่างรวมกัน ต่อให้ไม่ใช้หินวัดพลัง เธอก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังเวทมนตร์อันแข็งแกร่งที่อยู่ในตัวของสัตว์ประหลาดตัวนี้
ปีศาจที่ถูกเรียกว่ามาเธอร์ออฟโซลนี้คือหัวใจสำคัญในการเปลี่ยนหินอาญาสิทธิ์ให้กลายเป็นหมอกแดง ได้ยินว่ามันจะเกิดขึ้นมาในตอนที่ปริมาณพลังเวทมนตร์บนโลกอยู่ในจุดสูงสุด หรือก็คือช่วงที่สงครามแห่งโชคชะตาเริ่มต้นขึ้น ด้วยเหตุนี้ตอนที่ยังไม่มีเทคโนโลยีปลูกถ่าย ในช่วงเวลาที่ยาวนานก่อนที่พระจันทร์สีแดงจะมาถึง พวกปีศาจจึงได้แต่ต้องรอคอยอยู่เฉยๆ เท่านั้น ถ้าเป็นยุคสมัยสมาพันธ์ หากพาซาร์ได้มีโอกาสฆ่าปีศาจร่างแม่แบบนี้ซักตัวล่ะก็ ต่อให้ต้องสละชีวิตเธอก็ไม่เสียดาย แต่ตอนนี้เธอกลับต้องมาคอยดูแลประคบประหงมมันเหมือนกับเด็กคนหนึ่ง ความรู้สึกที่แตกต่างกันเช่นนี้ทำให้เธอรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ
“เจ้าอยู่นี่จริงๆ ด้วย” ด้านหลังเธอพลันมีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา “นางเป็นอย่างไรบ้าง?”
พาซาร์หันหน้าไปพร้อมโค้งหนวดหลักลง “ตอนนี้ยังไม่มีวี่แววว่าจะตื่นขึ้นมาเพคะ ฝ่าบาท’
คนที่เข้ามาคือโรแลนด์ — นอกจากแม่มดโบราณของทาคิลาแล้ว เขาถือเป็นคนที่เข้ามาเยี่ยมเอเลนอร์บ่อยที่สุดแล้ว
“ดูเหมือนการปลูกถ่ายจะสร้างความเสียหายอย่างมากจริงๆ ด้วย”
‘แต่หม่อมฉันได้ยินเซลีนบอกว่าท่านเอเลนอร์ได้ให้สัญญาแล้ว’ น้ำเสียงของพาซาร์ไม่ได้มีท่าทีเสียใจเลย ‘เท่าที่หม่อมฉันทราบ น้อยครั้งนักที่นางจะให้สัญญา แต่ทันทีที่เอ่ยปากออกมาแล้ว นางก็จะทำตามที่ตัวเองได้สัญญาเอาไว้เพคะ’
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น…” โรแลนด์พยักหน้าเล็กน้อย
ทั้งสองคนยืนมองร่างแม่อยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายพาซาร์ก็พูดทำลายความเงียบขึ้นมา ‘ขอบพระทัยเพคะ ฝ่าบาท’
“เจ้าขอบคุณข้ามาหลายครั้งแล้ว” เขาพูดเหมือนเหนื่อยใจนิดหน่อย นับตั้งแต่ที่เหล่าแม่มดโบราณรู้ข่าวว่าหนึ่งในสามผู้นำและเหล่าพี่น้องคนอื่นๆ ที่อยู่ในร่างศูนย์กลางยังมีชีวิตอยู่ ปฏิกิริยาของพวกเธอก็เรียกได้ว่าเหมือนแตกตื่นกันขึ้นมา เขาได้รับความรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้งจากทุกคน เพียงแต่พาซาร์เหมือนจะไม่พอใจกับการขอบคุณเพียงครั้งเดียว เธอแทบจะกล่าวขอบคุณเขาทุกครั้งที่เจอหน้า “เอเลนอร์สร้างความดีความชอบให้กับเกรย์คาสเซิลเอาไว้อย่างมาก ที่ข้าช่วยนางนั้นมันเป็นหน้าที่ที่ข้าต้องทำอยู่แล้ว”
‘ไม่ใช่แค่เรื่องนี้เท่านั้นเพคะ หากแต่เป็นทุกเรื่องที่พระองค์ทรงทำเพื่อทุกคน ไม่ว่าหม่อมฉันจะกล่าวขอบคุณสักกี่ครั้งมันก็ไม่สามารถแสดงความรู้สึกขอบคุณที่อยู่ในใจหม่อมฉันได้ ดังนั้น…ให้หม่อมฉันได้กล่าวขอบคุณพระองค์อีกซักหลายครั้งเถอะนะเพคะ’
น้อยครั้งนักที่จะได้ยินคำพูดที่แฝงเอาไว้ด้วยอารมณ์ความรู้สึกแบบนี้จากปากพาซาร์ แม้แต่โรแลนด์เองก็ยังรู้สึกตกตะลึงไปเล็กน้อย เขาหันหน้าไปมองพาซาร์ เหมือนว่าอยากจะมองเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายในเวลานี้ว่าเป็นอย่างไร แต่คิดไม่ถึงเลยว่าการมองครั้งนี้กลับทำให้หัวใจเขาต้องเต้นช้าลงไปจังหวะหนึ่ง เขาเกือบจะส่งเสียงร้องตกใจออกมา —
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ดวงตาที่อยู่บนตัวร่างแม่ได้ลืมตาขึ้นมาแล้วจ้องมองทั้งสองคนอย่างเงียบๆ
‘เจ้าอายุตั้งหลายร้อยปีแล้วนะ คำพูดที่เอาแต่ใจแบบนี้มันทำให้ข้ารู้สึกตกใจจริงๆ…” เสียงอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในหัว
พาซาร์สะดุ้งขึ้นมาทันที จากนั้นเธอใช้หนวดหลักปิดหน้าของตัวเองเอาไว้ ‘ทะ ทะ ท่านเอเลนอร์?’
‘อื้อ ข้าเอง’
พาซาร์ยืดหนวดขึ้นมา ก่อนจะดึงตัวเองขึ้นไปบนเพดานถ้ำก่อนจะหายตัวไป
“เอ่อ…ก่อนหน้านี้นางอยากจะเป็นคนแรกที่ได้พูดกับเจ้ามาโดยตลอดนะ..” มุมปากของโรแลนด์กระตุกขึ้นมา ก่อนจะพูดงึมงำขึ้นมาเหมือนไม่อยากจะเชื่อ “จะว่าไปแล้ว เจ้าตื่นมาแบบนี้เหรอ?”
‘ไม่อย่างนั้นจะให้ตื่นขึ้นมาแบบไหนล่ะ? ฟ้าร้อง ฟ้าถล่มดินทลาย?’ เอเลนอร์หาวออกมาทีหนึ่ง ‘นั่นมันเป็นสไตล์ของอควาเรียส ไม่ใช่ข้า’
“….” โรแลนด์นิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมาว่า “เอาล่ะ เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ในเมื่อหน้าที่ของข้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว อย่างนั้นต่อไปก็ฝาก…”
‘ข้าเองก็เสร็จเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน’ เอเลนอร์พูดเหมือนอ่อนเพลียเล็กน้อย
“เอ่อ อะไรนะ?”
‘จริงอยู่ที่การปลูกถ่ายมันทรมานอย่างมาก แต่ข้าแบกรับความทรมานนั้นไว้คนเดียวก็พอ ส่วนคนอื่นๆ ก็ยังคิดต่อไปได้’ น้ำเสียงของเธอฟังดูเหมือนไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร ‘การวิเคราะห์แกนพลังเวทมนตร์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่สามารถสร้างแกนพลังแบบนั้นขึ้นมาได้ แต่ถ้าใช้แกนพลังที่มีอยู่ในตอนนี้มันก็ไม่เป็นปัญหา พูดอีกอย่างก็คือเกาะลอยฟ้าที่เจ้าต้องการพร้อมที่จะบินขึ้นได้ทุกเมื่อ’ เอเลนอร์ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อพูดถึงตรงนี้ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนหยอกล้อว่า ‘หรือว่า ตอนนี้เลยไหม?’
…………………………………………………………………………