Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1446 ยานแม่ลอยฟ้า
“หัวใจสำคัญของการปิดฉากสงครามแห่งโชคชะตาถูกค้นพบแล้ว…” วิคเตอร์อ่านออกเสียงเบาๆ “ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยที่จะเปิดฉากบุกโจมตีศัตรู และดับไฟสงครามลงที่นอกที่ราบลุ่มบริบูรณ์?”
ถึงแม้จะเคยผ่านเรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อแบบนี้มาแล้ว แต่รายงานข่าวฉบับนี้ก็ยังเต็มไปด้วยความน่าตกตะลึงอยู่ ตัวหนังสือในทุกๆ บรรทัดสมควรที่จะถูกจารึกเก็บเอาไว้ หากเป็นเมื่อก่อนนี้ คนที่อยู่นอกราชวงศ์ไม่มีทางที่จะรู้ข่าวแบบนี้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพ่อค้าที่ไม่มีตำแหน่งเหมือนอย่างเขาเลย
บนหนังสือพิมพ์มีการวาดภาพที่ดูยิ่งใหญ่เอาไว้ภาพหนึ่ง : การที่แผ่นดินลอยฟ้าที่สร้างความแตกตื่นก่อนหน้านี้ตกลงไปในทะเลไม่ได้หมายความว่าการโจมตีของปีศาจได้สิ้นสุดลงแล้ว ห่างออกไปอีกหลายพันกิโลเมตร ป้อมปราการหินสีดำอันใหม่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาทางเมืองเนเวอร์วินเทอร์อย่างไม่หยุดพัก และที่ด้านล่างของมันก็มีปีศาจนับสิบล้านตัวกำลังดาหน้าเข้ามาเหมือนสายน้ำหลาก — ตัวเลขอันนี้เพียงพอที่จะกลืนกินอาณาจักรของมนุษย์ทั้งอาณาจักรได้! เพื่อที่จะหลักเลี่ยงไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยที่จะบุกออกไป เพื่อที่จะทำให้ไฟสงครามไม่กระเด็นมาถูกคนธรรมดา
เมื่อกำจัดศัตรูที่บุกโจมตีเข้ามาได้แล้ว กองทัพก็จะมุ่งหน้าไปยังจุดเชื่อมต่อของทั้งสองแผ่นดินที่อยู่อีกฟากหนึ่งของโลก เพื่อที่จะกำจัดภัยคุกคามของสงครามแห่งโชคชะตา ถ้าหากประสบความสำเร็จล่ะก็ ความสงบที่ยืนยาวก็จะมาเยือน ไม่ว่าจะเป็นปีศาจหรือว่าสัตว์อสูรก็จะทำอะไรมนุษย์ไม่ได้อีก
วิคเตอร์นั้นคุ้นเคยกับเรื่องการกรีฑาทัพออกไปแบบนี้เป็นอย่างดี เพราะเมื่อประมาณหนึ่งปีก่อนหน้านี้ เขาได้เห็นการถือกำเนิดขึ้นของปาฏิหาริย์ด้วยตาตัวเอง กองทัพที่หนึ่งกรีฑาทัพออกไปยังที่ราบลุ่มบริบูรณ์ที่รกร้างผู้คนซึ่งอยู่ห่างออกไป 500 กว่ากิโลเมตรด้วยเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่เรียกว่ารถไฟและเอาชนะปีศาจที่มาตั้งฐานที่มั่นอยู่ในซากโบราณสถานทางทิศเหนือ ตอนนั้นเกรย์คาสเซิลรายสัปดาห์ได้บรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการรบเอาไว้อย่างละเอียดด้วยภาพเหมือนที่ถูกเรียกว่ารูปภาพ จนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังจำความรู้สึกตอนที่ตัวเองได้เห็นภาพขบวนรถไฟสีดำเล่นไปบนที่ราบลุ่มจากบนท้องฟ้าได้
แต่ว่าครั้งนี้ฝ่าบาทโรแลนด์เหมือนจะสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากกว่า
พระองค์ทรงคิดที่จะยกภูเขาทั้งลูกขึ้น ทำให้มันกลายเป็นฐานที่มั่นในการออกรบครั้งนี้!
นี่เป็นสิ่งที่มนุษย์ทำได้จริงๆ งั้นเหรอ?
วิคเตอร์รีบพลิกไปหน้าที่สองอย่างรวดเร็ว — เขาเห็นว่าแผนการนี้ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนแรกคือช่วงลอยขึ้นฟ้า เนินเขาทิศเหนือและพื้นดินด้านล่างที่ยาวเกือบหนึ่งกิโลเมตรจะแยกตัวเป็นอิสระจากเทือกเขาสิ้นวิถี
ส่วนที่สองคือช่วงลองล่องไปบนอากาศ เนินเขาทิศเหนือจะถูกจัดให้อยู่ในกองทัพ และถูกตั้งชื่อว่า ‘ยานแม่ลอยฟ้าเอเลนอร์’ ในช่วงเวลานี้มันจะล่องไปรอบๆ เมืองเนเวอร์วินเทอร์หลายครั้งเพื่อที่จะฝึกซ้อมทำการรบส่วนที่สำคัญ แล้วก็รอคอยเวลาที่เหมาะสมที่จะออกเดินทางไปโจมตี
ส่วนสุดท้ายก็คือการออกเดินทางอย่างเป็นทางการ เพื่อไปเผชิญหน้ากับศัตรูที่อยู่ห่างออกไปนับพันกิโลเมตร
สำนักบริหารเรียกมันว่าเป็นสงครามที่ตัดสินชะตาชีวิตของมนุษย์ นอกจากกองทัพแล้ว การสนับสนุนของคนงานจากส่วนต่างๆ ก็เป็นสิ่งสำคัญ ด้วยเหตุนี้เงินค่าจ้างจึงค่อนข้างสูง ส่วนใหญ่แล้วได้มากกว่าเงินเดือนเฉลี่ยในสายอาชีพเดียวกันประมาณ 2 – 3 เท่า ไม่ใช่เท่านี้ ชื่อของผู้ที่มีส่วนร่วมทุกคนจะถูกจารึกลงบนอนุสาวรีย์และตั้งอยู่ในเมืองหลวงไปตลอดกาล
นอกจากนี้บารอฟที่เป็นหัตถ์พระราชายังเผยออกมาในตอนท้ายอีกว่า คนที่ขึ้นไปบนเกาะลอยฟ้าอาจจะมีโอกาสได้เห็นอาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ของมนุษย์
เมื่ออ่านถึงตรงนี้ วิคเตอร์ก็รู้ว่าจะต้องมีคนจำนวนมากแห่ไปที่สำนักบริหารอย่างแน่นอน สิ่งที่แตกต่างกันมากที่สุดระหว่างชาวเมืองที่อาศัยอยู่ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์กับชาวบ้านที่อพยพมาจากเมืองอื่นก็คือชาวเมืองที่อาศัยอยู่เดิมจะมองที่แห่งนี้เป็นเหมือนดินแดนของตน ในตอนที่เขาได้พูดคุยกับคนในพื้นที่ เขามักจะเกิดรู้สึกว่าเมืองแห่งนี้ไม่ได้เป็นของฝ่าบาทโรแลนด์เท่านั้น หากแต่ยังเป็นของพวกเขาด้วย ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่มีบ้านและได้รับบัตรประชาชนแล้ว ความรู้สึกเหมือนเป็นที่ยอมรับก็จะแผ่ขยายออกมาอย่างรวดเร็ว ที่เขารู้นั้นเป็นเพราะเขาเองก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน
เห็นๆ อยู่ว่ามาจากอาณาจักรดอว์น แต่เขากลับเกิดความรู้สึกภูมิใจเวลาที่ได้ยินผู้คนพูดถึงความมหัศจรรย์ต่างๆ ของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ นี่คือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต
ถ้าไม่เป็นเพราะมีธุรกิจที่ต้องดูแล วิคเตอร์ก็อยากจะขึ้นไปดูบนท้องฟ้าเหมือนกันว่าเป็นอย่างไร
“ช่วยข้าติดต่อสำนักบริหารหน่อยได้ไหม บอกว่าทางเรนโบว์สโตนยินดีที่จะบริจาคเสื้อผ้า 1,000 ชุด”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” ทิงเกิลพยักหน้า
“เออใช่ เจ้าได้ถามว่าหรือเปล่าว่าเนินเขาทิศเหนือจะลอยขึ้นฟ้าวันไหน?”
“น่าจะใน 2 – 3 วันนี้เจ้าค่ะ บนยอดเขาตอนนี้เปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าเดิมแล้วเจ้าค่ะ”
“2 – 3 วันงั้นเหรอ…ที่นั่งดีๆ คงถูกแย่งไปหมดแล้ว” วิคเตอร์ปิดหนังสือพิมพ์ ก่อนจะเดินไปที่หน้าต่าง ถึงแม้ตึกปาฏิหาริย์จะสูง แต่มันก็อยู่ไกลจากเทือกเขาสิ้นวิถี ภาพอันน่ามหัศจรรย์เช่นนี้ มันควรจะดูระยะใกล้ๆ จะดีกว่า เขาหมุนตัวแล้วยื่นกุญแจดอกนึงออกไป “ทิลเกิล เจ้าน่าจะรู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไง?”
โชคดีที่ขอเพียงเป็นปัญหาที่แก้ด้วยเงิน สำหรับเขาแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“เดี๋ยวข้าเป็นจัดการเองเจ้าค่ะ นายท่าน” ทิงเกิลรับเอากุญแจพร้อมพูดยิ้มๆ
….
หลังจากนั้นสามวัน กองทัพที่หนึ่งก็ตั้งสายกั้นพื้นที่เป็นแนวยาวตรงตีนเขา นี่ทำให้คนทั้งเมืองเนเวอร์วินเทอร์รู้ว่าเวลาที่รอคอยกำลังใกล้มาถึงแล้ว
ในเวลานี้เนินเขาทิศเหนือเปลี่ยนไปจนไม่เหมือนเดิม เมื่อมองจากไกลๆ รอบตัวมันมีนั่งร้านวางอยู่เต็มไปหมด หน้าผาที่เดิมขึ้นอย่างไม่เป็นระเบียบเหมือนผ่านการตกแต่งมาอย่างไรอย่างนั้น ไม่เพียงแต่จะดูราบเรียบขึ้น แต่ในหลายๆ ตำแหน่งยังมีแผ่นอะไรบางอย่างมาแปะเอาไว้ด้วย —- แผ่นสี่เหลี่ยมขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันที่อาจจะเป็นแผ่นเหล็กหรือผ้าน้ำมันดูแล้วไม่เข้ากับตัวภูเขาแม้แต่นิดเดียว แต่มันกลับทำให้ภูเขาแห่งนี้ดูเป็นเหมือนอาวุธมากยิ่งขึ้น
แต่สิ่งที่ทำให้วิคเตอร์รู้สึกตกตะลึงมากที่สุดก็คือธงยาวที่ห้อยตกลงมาจากบนที่สูงนับหลายร้อยแถบ
พวกมันเหมือนเป็นชายกะโปรงที่สะบัดขึ้นลงไปตามลมเหมือนคลื่น
หอคอยและหอก นั่นคือสัญลักษณ์ของอาณาจักรเกรย์คาสเซิล
การผสมผสานของสีแดงดำขาวนั้นทำให้ดูมีความสง่างามอย่างมาก
ความรู้สึกที่พุ่งปะทะเข้ามาทางสายตาแบบนี้ทำให้คนที่เห็นยากจะลืมเลือนได้
คนที่มารวมตัวกันบนถนนมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งในตอนกลางวัน ถนนหลักหลายสายนั้นมีผู้คนเบียดเสียดกันจนแทบจะเดินไม่ได้ ถ้าไม่เป็นเพราะตำรวจชัดดำกับทหารพาคนออกไปทางป่าเร้นลับ เกรงว่าเขตเมืองกว่าครึ่งคงต้องกลายเป็นอัมพาตแน่
เมื่อเสียงเตือนทุ้มต่ำดังไปทั่วทั้งเมือง วิคเตอร์ที่อยู่บนดาดฟ้าของตึกตรงถนนตะวันตกก็รู้สึกได้ถึงการสั่นสะเทือนที่ส่งขึ้นมาจากใต้เท้า
ไม่นาน แรงสั่นสะเทือนนี้ก็เปลี่ยนเป็นเสียงที่ดังกัมปนาท!
พริบตานั้นเอง ทั่วทั้งเมืองเนเวอร์วินเทอร์เหมือนเดือดพล่านขึ้นมา —
นั่นคือเสียงของขุนเขาที่แตกออก
ถึงแม้จะตั้งตัวไว้แล้ว แต่ในตอนที่ได้มาเห็นภาพนี้ด้วยตาตัวเอง เขาก็ยังอดอ้าปากค้างไม่ได้
ทิงเกิลกุมแขนของเขาเอาไว้แน่น
เนินเขาทิศเหนือค่อยๆ ลอยตัวขึ้นไป เทือกเขาที่เชื่อมต่อกับมันพ่นฝุ่นควันออกมา นั่งร้านที่ตั้งอยู่บนพื้นทยอยพังครืนลงมาเหมือนกับไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะพันธนาการเจ้าอสูรยักษ์นี้ไว้ได้
ภาพเหตุการณ์นี้เหมือนกับการดึงเอาหัวไชเท้าออกมาจากในดินอย่างไรอย่างนั้น แต่ครั้งดินในครั้งนี้กลับเป็นพื้นดินที่กว้างถึงหนึ่งกิโลเมตร มันกลายเป็นรูปสามเหลี่ยมกลับหัวอย่างชัดเจน ตำแหน่งที่ต่ำที่สุดนั้นอยู่ตรงกึ่งกลางของเกาะลอยฟ้า เมื่อเนินเขาทิศเหนือลอยขึ้นไป พื้นดินก็เกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ขึ้นมา เมื่อจู่ๆ ก็พื้นดินที่ปกคลุมอยู่ด้านบนก็หายไป สัตว์ที่อาศัยอยู่ใต้ดินจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็พากันวิ่งหนีออกมา
เดิมนี่นาจะเป็นเรื่องที่มนุษย์ไม่มีวันทำได้
แต่ธงที่โบกสะบัดอยู่บนภูเขานั้นกลับกำลังประกาศออกมาอย่างชัดเจนว่ามันเป็นของอาณาจักรเกรย์คาสเซิล มันเป็นของมนุษย์
หลังความตกตะลึงผ่านไปแล้ว มนุษย์ก็ระเบิดเสียงเฮออกมาดังสนั่น ในตอนที่เสียงทรงพระเจริญดังขึ้นมา มันก็ไม่มีทางที่จะเงียบลงไปในเวลาสั้นๆ ได้
ผ่านไปครู่ใหญ่บรรยากาศอันร้อนแรงจึงค่อยๆ สงบลง วิคเตอร์เลียริมฝีปากที่แห้งผากของตนเอง ในขณะเดียวกำลังเตรียมจะพาทิงเกิลกลับโรงแรมนั้น แสงสว่างพลันสาดไปที่ตัวชายแก่คนหนึ่งที่อยู่บนหลังคาฝั่งตรงข้าม ภาพของชายคนนั้นดูคุ้นตาอย่างมาก จนทำให้เท้าของเขาก้าวช้าลงไป
วิคเตอร์อยากจะมองอย่างละเอียด แต่ก็พบว่าอีกฝ่ายได้หายตัวไปแล้ว
“นายท่าน มีอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ?” ทิลเกิลเหมือนสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของเขา
“เปล่า ไม่มีอะไร…น่าจะมองผิดไปน่ะ” วิคเตอร์พูดอย่างลังเล เพราะไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ชายแก่คนนั้นก็ดูคล้ายกับพ่อเขาอย่างมาก
แต่ว่าทำไมพ่อเขาถึงมาปรากฏตัวอยู่ในที่แบบนี้ได้ เขาส่ายหัวพร้อมกับรีบโยนความคิดฟุ้งซ่านนี้ทิ้งไป
………………………………………………………….