Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1456 อนาคตของเจ้ากับข้า
ไนติงเกลปูผ้าห่มเสร็จ จากนั้นจึงหมุนตัวไปดับเทียน
ภายในห้องมืดลงทันที
หลังจากใช้หลอดไฟและหินเรืองแสงจนชิน การกลับมาใช้ชีวิตที่ใช้เทียนในการให้แสงสว่างนั้นทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยชินเท่าไร ทั้งๆ ที่ตอนที่ใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกนี่ก็ใช้เทียนอยู่เป็นประจำแท้ๆ นี่ทำให้เธอรู้สึกขำตัวเองอยู่นิดหน่อย
แต่ว่านี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เวลาที่เร่งรีบทำให้บนเกาะลอยฟ้าไม่สามารถติดตั้งระบบไฟฟ้าได้ แม้แต่สถานที่ที่ให้พวกเธอใช้พักผ่อนก็เป็นถ้ำที่ฟรานขุดขึ้นมาให้ หลังจากนั้นก็ให้โซโรย่าทาสีนุ่มๆ ลงไปชั้นหนึ่งเพื่อป้องกันความชื้นจากใต้พื้น ส่วนพวกเครื่องใช้ก็มีแค่โต๊ะไม้กับตู้เสื้อผ้าธรรมดาๆ ฟูกที่นอนก็ปูลงไปบนพื้นเลย
ถึงแม้อิสซาเบลลาจะอยู่บนเกาะลอยฟ้าด้วย แต่เห็นได้ชัดว่าคนที่จำเป็นต้องใช้หินเรืองแสงในการให้ความสว่างมากที่สุดในตอนนี้คือโรงงานที่กำลังเร่งทำงานพวกนั้น กว่าที่หินอาญาสิทธิ์ที่ถูกเธอเปลี่ยนสภาพพวกนั้นจะเอามาใช้ในเขตที่อยู่อาศัยได้คงต้องรออีกสักระยะหนึ่ง
โชคดีที่ถึงแม้ในห้องจะเรียบง่าย แต่เวลาที่อยู่กลับค่อนข้างสบายดีเดียว ไม่เพียงแต่จะได้อยู่ห้องส่วนตัวคนละห้อง แต่ภายในห้องยังมีห้องน้ำส่วนตัวด้วย บวกกับท่อระบายอากาศที่ต่อออกไปยังผนังด้านนอกเกาะลอยฟ้า ทำให้ภายในห้องไม่อบอ้าวแม้แต่นิดเดียว นอกจากนี้ปลายสุดของถ้ำยังมีห้องอ่านหนังสือและบ่อน้ำร้อนให้เหล่าแม่มดได้ใช้ด้วย
ห้องอ่านหนังสือนั้นเธอไม่ค่อยสนใจเท่าไร แต่บ่อน้ำร้อนมันสุดยอดมากๆ
เธอไม่รู้ว่าพวกพาซาร์ไปหาที่แบบนี้เจอได้ยังไง — สายน้ำเล็กๆ ไหลลงมาจากยอดเขาแล้วมารวมเป็นบ่อน้ำแร่ ยิ่งไปกว่านั้นตัวบ่อน้ำแร่ยังมีส่วนหนึ่งที่ยื่นออกไปนอกผนังถ้ำ หากไปนั่งอยู่ริมบ่อฝั่งนั้นก็จะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ด้านนอกได้ โดยเฉพาะหลังจากที่เกาะบินขึ้นมาแล้ว ที่นี่กลายเป็นสถานที่ที่ทำให้มองดูภาพทิวทัศน์บนพื้นดินได้
ทุกวันหลังอาบน้ำเสร็จเธอจะมาแช่น้ำร้อนนี่ครู่หนึ่งเพื่อดื่มด่ำกับช่วงเวลาพักผ่อนที่หาได้ยากนี้
เมื่อเทียบกันแล้ว การที่ภายในห้องไม่มีหลอดไฟกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย
ในขณะที่ไนติงเกลเตรียมจะนอนลงไปนั้น ด้านนอกพลันมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา
เธองุนงงเล็กน้อย ตอนนี้เป็นเวลากลางดึก ทุกคนน่าจะหลับกันไปหมดแล้ว ยังจะมีใครมาหาเธออีก?
“มาแล้ว”
ไนติงเกลตอบกลับไป ก่อนจะจุดเทียนขึ้นมาใหม่ ขณะเดียวกันภายในหัวก็มีภาพคน 3 – 4 คนลอยขึ้นมา
คนที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดย่อมต้องเป็นเวนดี้
เพราะว่าผู้ที่รับผิดชอบดูแลสโมสรแม่มดคนนี้มักจะมาคุยเล่นกับเธอหลังจากที่ดื่มเหล้าจนเมา
แต่เธอก็ต้องตกตะลคงเมื่อเปิดประตูออกไป
เพราะคนที่ืยืนอยู่ด้านนอกประตูกลับเป็นอันนา
เธออุ้มถังไม้เอาไว้ใบหนึ่ง ในนั้นใส่ผ้าขนหนูและอุปกรณ์อาบน้ำเอาไว้ “ไปแช่น้ำเป็นเพื่อนข้าหน่อยได้ไหม?”
ก่อนนอนไนติงเกลไปอาบมาแล้วรอบหนึ่ง แต่เธอรู้ว่าการไปแช่น้ำในเวลานี้นั้นย่อมไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่อีกฝ่ายมาหาตนแน่ “ได้สิ รอแปบนะ”
ไนติงเกลเตรียมของเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินตามอันนาไปที่บ่อน้ำร้อน ภายในถ้ำเหลือพวกเธอเพียงแค่สองคน เสียงหยดน้ำที่หยดลงมาจากหินงอกหินย้อยดังขึ้นไประยะๆ ดูแล้วเงียบสงบอย่างมาก
เมื่อถอดเสื้อผ้าแล้วก้าวลงไปในบ่อ ไนติงเกลพลันรู้สึกได้ถึงไอร้อนที่เข้ามาห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ — ที่นี่ไม่เหมือนกับเมืองเนอวอร์วินเทอร์ ปริมาณเชื้อเพลิงบนเกาะนั้นมีอยู่อย่างจำกัดอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ส่วนใหญ่จึงใช้เตาต้มน้ำที่ขับเคลื่อนด้วยลูกบาศก์เวทมนตร์และเครื่องจักรไอน้ำในการทำให้มีน้ำร้อนใช้ตลอดทั้งวัน
ทั้งสองคนแหวกหมอกสีขาว ก่อนจะค่อยๆ เดินไปยังปากถ้ำ พริบตานั้นเอง สายลมยามค่ำคืนที่เย็นสบายก็พัดเอาไอความร้อนจากภายในถ้ำออกไปจนหมด โลกเบื้องหน้าพลันเปิดกว้างขึ้น สิ่งที่สะท้อนเข้ามาในดวงตาของทั้งสองคนนั้นไม่ใช่ภูเขาหินที่เป็นเหลี่ยมเป็นมุมอีก หากแต่เป็นกลุ่มดวงดาวที่เปล่งประกายระยิบระยับและท้องฟ้าที่กว้างสุดลูกหูลูกตา
ไนติงเกลถอนหายใจออกมาเบาๆ
ความรู้สึกแบบนี้มันช่างน่าลุ่มหลงเสียจริงๆ
อันนาเองก็เหมือนรู้สึกพึงพอใจเหมือนกัน เธอถอนหายใจออกมายาวๆ ก่อนจะยืดแขนบิดขี้เกียจ
“โรแลนด์ล่ะ?”
“น่าจะอยู่ในโลกแห่งความฝันล่ะมั้ง”
“งั้นเหรอ? เขายุ่งจริงๆ เลยเนอะ…”
“ใช่ ทุกคนต่างบอกว่าข้าทำงานไม่ได้หยุดเลย ความจริงแล้วถ้าเทียบกับเขา ข้าไม่ได้ถือว่าทำงานหนักอะไรเลย” อันนาพูดยิ้มๆ “กระทั่งเวลากลางคืนเขาก็ยังทำงานอยู่”
“แต่เจ้าเองก็เก่งมากนะ” ไนติงเกลเลื่อนตัวลงไปให้ไหล่ของตัวเองแช่อยู่ในบ่อ “ก่อนหน้านี้ยังเป็นแค่สาวน้อยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่ตอนนี้กลับรับผิดชอบงานได้ด้วยตัวคนเดียวแล้ว”
“ความจริงก็ไม่ขนาดนั้นหรอก” อันนาทำสีหน้าเขินๆ อย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นออกมา “สิ่งที่ข้าถนัดก็มีแค่พวกเทคโนโลยีเท่านั้น ถ้าไม่เป็นเพราะบารอฟกับอาจารย์คาร์ลช่วยข้าเอาไว้เยอะ กองวิศวกรรมคงจะเละไม่เป็นท่าแล้ว”
เฮ้ๆ พูดจุดอ่อนของตัวเองออกมาง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ
เมื่อมองดูอันนา ภายในใจไนติงเกลก็เกิดความรู้สึกสับสนขึ้นมา — จะบอกว่าไม่เจ็บใจก็เป็นไปไม่ได้ ตอนแรกเธอใกล้ชิดกับโรแลนด์ก่อนชัดๆ โอกาสที่จะทำอะไรแบบนั้นก็มีมากกว่า สุดท้ายกลับช้าไปนิดเดียว แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็เกลียดอันนาไม่ลง ทั้งซื่อสัตย์ จริงจัง ต่อหน้ายังไงลับหลังก็อย่างนั้น…ยิ่งได้ใกล้ชิดอีกฝ่ายนานเท่าไร เธอก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความบริสุทธ์ของเธอ ไนติงเกลเคยเจอผู้คนมามากมาย ตั้งแต่ชาวบ้านธรรมดาไปจนถึงขุนนาง แต่เธอยังไม่เคยเจอใครที่เปล่งประกายเหมือนอย่างอันนาเลย
ภายในใจเธอรู้สึกนับถืออีกฝ่าย
หลังนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง อันนาจึงเปลี่ยนประเด็นขึ้นมา “เจ้าว่าสงครามแห่งโชคชะตาครั้งนี้จะจบลงยังไง?”
ไนติงเกลรู้ได้ทันทีว่าบางทีนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่เธอเรียกตัวเองออกมาล่ะมั้ง
“น่าจะ…ราบรื่นดีล่ะมั้ง?” เธอเงยหน้าขึ้นมองดวงดาว ความจริงแล้วพวกการวิเคราะห์ผลการสู้รบหรือคาดเดาอนาคตนั้นไม่ใช่เรื่องที่เธอถนัดเลย คำตอบที่แท้จริงเธอควรจะบอกว่าไม่รู้มากกว่า…แต่การพูดแบบนี้ก่อนออกไปรบมันเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไร โชคดีที่อีกฝ่ายไม่มีความสามารถในการแยกแยะคำโกหก
“งั้นเหรอ?” แต่อันนากลับไม่เห็นด้วย “แต่ข้ากลับไม่ได้คิดแบบนี้ โดยเฉพาะบอทธ่อมเลสแลนด์ที่เป็นเป้าหมายสุดท้าย ว่ากันว่าที่นั่นเป็นดินแดนของพระเจ้า อันตรายในการเดินทางครั้งนี้เกรงว่าจะเหนือกว่าที่เราจะคาดการณ์ได้ ไม่รู้ว่าทำไม แต่ข้ามักจะรู้สึกเหมือนโรแลนด์อาจจะหายตัวไปได้ทุกเมื่อเลย ยิ่งเข้าใกล้ด้านเหนือของทวีป ความรู้สึกไม่สบายใจมันก็ยิ่งรุนแรง”
ไนติงเกลใจเต้นขึ้นมา หรือเธอก็จะรู้เรื่องที่อายุขัยของโรแลนด์เหลืออยู่ไม่เท่าไร? แต่ว่านั่นมันน่าจะเกี่ยวกับโลกแห่งจิตสำนึกนี่นา ที่เดินทางไปยังบอทธ่อมเลสแลนด์ก็เพื่อจะแก้ไขเรื่องนี้ มันไม่น่าจะถึงขั้นที่แก้ไขอะไรไม่ได้นี่นา
“บางทีเจ้าอาจจะกังวลมากไป”
“ข้าก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” อันนากะพริบตา “เออใช่…ยังจำที่พวกเรานัดกันเอาไว้ได้ไหม?”
“อืม…” ไนติงเกลงงไปเล็กน้อยก่อนจะนึกขึ้นมาได้ “…เอ๋?”
“ข้าตัดสินใจจะเลื่อนมันให้เร็วขึ้น หลังเอาชนะปีศาจได้แล้ว ข้าจะพูดกับเขาเอง”
“ทำไมล่ะ? เพราะลางสังหรณ์ของเจ้าอย่างนั้นเหรอ?”
“มันก็มีส่วนครึ่งนึง” อันนาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือเขาต้องการเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นข้า…ก็ไม่เคยเกลียดเจ้ามาก่อน ในสงครามหลังจากนี้ ข้าก็ฝากเขาไว้กับเจ้าด้วยนะ”
“…..” ไนติงเกลไม่รู้จะพูดอะไรออกไป ผ่านไปครู่ใหญ่เธอจึงถามงึมงำขึ้นมาว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ทำไมเจ้าถึงไม่ห้ามเข้าไม่ให้ไปที่บอทธ่อมเลสแลนด์ล่ะ?”
อันนาส่ายหัว สีหน้าดูผ่อนคลายอย่างมาก “นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดหลังจากที่ไตร่ตรองดูจากหลายๆ ด้านแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร เขาก็เตรียมตัวเอาไว้พร้อมแล้ว แล้วข้าจะไปห้ามเขาได้ยังไงล่ะ? ความหวาดกลัวกับการหลบหนีไม่อาจเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ได้ ดังนั้นสิ่งที่ข้าทำได้ก็คือพยายามช่วยสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่ แล้วก็มองดูอนาคตนั้นด้วยตาตัวเอง”
……………………………………………………………….