Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1458 แนวป้องกันของคนๆ เดียว
ท่ามกลางกระสุนส่องวิถีจำนวนมากที่พุ่งออกไปกลายเป็นเหมือน ‘แส้ยาว’ หน่วยปืนใหญ่อัตโนมัติ 20 มม.คือหน่วยที่สะดุดตาที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
เนื่องจากแรงดันในลำกล้องที่สูงกว่า ชิ้นส่วนมนุษย์ไม้ขีดที่ถูกบีบอัดจึงส่องสว่างออกมามากกว่า พวกกับการเรียงตัวของกระสุนส่องวิธีนั้นมีความเป็นกลุ่มเป็นก้อนมากกว่ากระสุนธรรมดา ด้วยเหตุนี้เส้นทางการบินของมันจึงแทบจะมองไม่เห็นช่องว่างเลย
อสูรสยองที่ถูกปืนใหญ่อัตโนมัติยิงเข้าใส่แทบจะไม่มีโอกาสให้ได้ดิ้นรนเลย เมื่อถูกกลุ่มแสงกลุ่มหนึ่งพุ่งทะลุร่างกาย นั่นหมายถึงกระสุนจำนวนหลายเม็ดที่ตกลงบนร่างกาย ถึงแม้จะยิงถูกแค่ปีก แต่กระสุนก็สามารถฉีกเนื้อบนปีกให้เป็นรูขนาดใหญ่ได้
แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับปีกสองปีกแล้ว ตำแหน่งที่โดนยิงถูกได้ง่ายมากกว่าก็คือร่างกายของอสูรสยองที่พุ่งลงมา เมื่อเลือดสดๆ พุ่งกระจายออก อสูรสยองจำนวนหลายตัวก็หมุนควงตกลงไปด้านล่าง ส่วนปีศาจคุ้มคลั่งที่อยู่บนตัวพวกมันก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากส่งเสียงกรีดร้องและรอคอยช่วงเวลาที่ร่างกายจะกระแทกลงกับพื้น
แต่ศัตรูก็ไม่ได้หวาดกลัวกับการโจมตีนี้เลย พวกมันใช้การบินโฉบลงมาจากด้านบนเพื่อเพิ่มความเร็ว แล้วก็กระจายตัวออกไปสองด้านเพื่อสลัดการไล่ยิงของมือปืน
หากเป็นเวลาปกติ นี่คือวิธีการหลบการโจมตีที่มีประสิทธิภาพที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อเผชิญหน้ากับเป้าหมายที่บินเป็นแนวนอน ทหารของกองทัพที่หนึ่งมักจะเคยชินกับการไล่ยิงตาม ต่อให้เป็นหน่วยที่ช่ำชองในการยิงแค่ไหนก็ต้องใช้เวลาอยู่หลายวินาทีกว่าจะปรับเป้ายิงไปดักพวกอสูรสยองได้
แต่ครั้งนี้คนที่พวกมันสู้ด้วยคือเอเลนอร์
แทบจะในทันที วิถีการบินของอสูรสยองได้ไปปรากฏอยู่บนตาข่ายพิกัดและกลายเป็นวิถีการเคลื่อนที่ใหม่ขึ้นมา นั่นคือคำตอบของสมการพหุนามจำนวนนับไม่ถ้วน และคำตอบที่รวมเข้าด้วยกันเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิตของศัตรู
ม่านลำแสงบิดเบี้ยวขึ้นมา!
นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงได้เห็นภาพการต่อสู้ในภาพรวมทั้งหมด
กระสุนส่องวิธีไม่ได้พุ่งเป็นเส้นตรงอีกต่อไป หากแต่ได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนทิศอย่างรวดเร็วของปากกระบอกปืนจนกลายเป็นเส้นโค้ง และเส้นโค้งเหล่านี้ก็ถักทอเข้าด้วยกันจนกลายเป็นเหมือนเชือก
ถึงแม้จะดูสับสนวุ่นวาย แต่กระสุนแต่ละกลุ่มล้วนแต่มีเป้าหมายที่แน่ชัดของตัวเองอยู่ พวกมันพุ่งไปอยู่ตรงหน้าอสูรสยองได้อย่างพอดิบพอดี
ถ้าไม่รู้มาก่อนก็คงไม่คิดว่ากระสุนเป็นฝ่ายไล่ล่าอสูรสยอง หากแต่คิดว่าตัวอสูรสยองวิ่งเข้าไปหากระสุนเอง!
“หม่อมฉันคิดว่าตอนนี้ท่านเอเลนอร์คงกำลังมีความสุขอย่างแน่เลยเพคะ” จู่ๆ ฟิลลิสพลันพูดขึ้นมา
“ทำไมล่ะ?” โรแลนด์ถามอย่างไม่เข้าใจ
“ในศึกที่ทาคิลาล่มสลาย พวกที่ฉีกแนวป้องกันเข้ามาเป็นพวกแรกก็คืออสูรสยองของศัตรูเพคะ พวกมันปรากฏตัวขึ้นมาบนน่านฟ้าซึ่งเป็นที่ที่พวกเราอยากจะเอื้อมขึ้นไปถึง ก่อนจะกระจายกำลังโจมตีจุดอ่อนของแนวป้องกัน ถึงแม้ผู้พิทักษ์ศักดิ์สิทธิ์จะพยายามวิ่งป้องกันไปมาอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่สามารถป้องกันทั้งกำแพงเมืองได้ เครื่องยิงหน้าไม้และเครื่องโยนหินที่สมบูรณ์ค่อยๆ น้อยลงเรื่อยๆ สุดท้ายก็ถูกอสูรสงครามของศัตรูทำลายกำแพงเมืองเข้ามา” เธอพูดอย่างทอดถอนใจ “ตอนนั้นท่านเอเลนอร์ยืนอยู่บนกำแพงโดยเนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด บริเวณรอบๆ ไม่มีปีศาจที่กล้าเข้าไปใกล้เลย แต่เมืองศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ด้านหลังนางได้ลุกเป็นไฟขึ้นมาแล้ว”
อย่างนี้นี่เอง…
เมื่อกี้เธอถึงได้พูดว่านี่เป็นการล้างแค้นที่รอคอยมา 400 กว่าปี
ถึงแม้ความสามารถของคนๆ หนึ่งจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถจะช่วยเหลือเมืองศักดิ์สิทธิ์จากศัตรูที่แห่กันเข้ามาเหมือนสายน้ำได้ ในเวลานี้เมื่อมาคิดดูแล้ว ในน้ำเสียงที่ฟังดูเกียจคร้านของเธอเหมือนจะแฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะบรรยายได้
ตอนนี้เอเลนอร์ยืนอยู่ในแนวหน้าสุดของสงครามแห่งโชคชะตาอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ด้านหลังของเธอคือพลังของมนุษย์ทั้งหมด
“พวกมันกระจายตัวโจมตีแล้ว!” จู่ๆ เฟร์รานพลันพูดเตือนขึ้นมา
เมื่อดูผ่านฉากลำแสงเวทมนตร์ก็จะเห็นว่าจู่ๆ ฝูงอสูรสยองที่ถูกกระหน่ำโจมตีพลันกระจายตัวขึ้นบนและล่าง กลุ่มหนึ่งพุ่งโจมตีบนพื้นของเกาะลอยฟ้า อีกกลุ่มบินลงไปด้านล่าง เหมือนกำลังคิดที่จะหลบมุมยิงของปืนกล น่าจะเป็นเพราะว่าพวกปีศาจกำลังพบว่าวิธีหลบแบบปกติใช้ไม่ได้ผลอีกแล้ว พวกมันจึงไม่คิดที่จะสู้บนอากาศอีก หากแต่พยายามที่จะขึ้นมาบนเกาะเพื่อหาที่กำบังโดยเร็วที่สุด
แต่เห็นได้ชัดว่าการป้องกันของเอเลนอร์ไม่ได้มีแค่ชั้นเดียว
หน่วยที่เข้าร่วมการต่อสู้หลังจากนั้นก็คือหน่วยปืนกลแม็กซิมที่เป็นแนวป้องกันชั้นใน
ป้อมปืนของพวกมันมีขนาดเล็กกว่า มีขนาดแค่ประมาณครึ่งเมตรเท่านั้น เนื่องจากไม่ได้คิดคำนึงถึงเรื่องการเคลื่อนไหวเอาไว้ ลำกล้องปืนขึ้นทำการเปลี่ยนท่อหล่อเย็นที่มีขนาดยาวขึ้น —- แท่นยิงที่สามารถหมุนได้เหล่านี้กระจายตัวอยู่บนตำแหน่งต่างๆ เช่น รันเวย์ สะพานเรือ หอควบคุมเพื่อใช้รับมือกับพวกศัตรูที่พยายามจะกระโดดขึ้นมาบนเกาะ
ในที่สุดปีศาจคุ้มคลั่งที่ลงมาบนพื้นได้ก็ทำการโจมตีกลับ
พวกมันทิ้งอสูรสยองที่กำลังถูกห่ากระสุนโจมตี ก่อนจะขว้างหอกสั้นหรือไม่ก็ยิงลำแสงไฟฟ้ามายังป้อมปืน บนเกาะลอยฟ้ามีเสียงระเบิดดังขึ้นมาทันที!
โรแลนด์รู้สึกตกใจเมื่อพบว่าหอกสั้นของพวกมันไม่ได้เป็นกระดูกสัตว์ธรรมดาๆ เหมือนเมื่อก่อนอีก หากแต่เหมือนผสมอะไรบางอย่างเข้าไปด้วย ปลายหอกเป็นสีดำ เวลาที่กระทบถูกสิ่งของก็จะเกิดการระเบิดขึ้นมา อีกทั้งยังมีประกายไฟและควันลอยออกมาอย่างชัดเจนด้วย
ส่วนปีศาจที่สามารถปล่อยไฟฟ้าได้ก็ไม่เหมือนกับที่เคยเจอมา พวกมันไม่เพียงแต่จะปล่อยพลังได้เร็วขึ้น แต่ระยะทางยังไกลขึ้นไม่น้อยด้วย
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นหน่วยรบที่มีการเตรียมพร้อมมา
ถ้าคู่ต่อสู้ของพวกมันเป็นทหารของกองทัพที่หนึ่ง บางทีอาจจะเกิดความวุ่นวายขึ้นก็ได้
แต่เสียดายที่ภายในป้อมปืนนั้นมีแค่กลไกเท่านั้น
พวกมันไม่หวาดกลัว ไม่ลังเล ขอเพียงยังมีพลังงาน พวกมันก็จะยิงออกไปไม่หยุด ถึงแม้จะมีปืนกระบอกสองกระบอกที่ยิงไม่ออก แต่มันก็ไม่ส่งผลกระทบต่อป้อมปืนอื่นๆ
แต่แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การป้องกันสุดท้ายของเอเลนอร์ — ปืนใหญ่สนามขนาด 75 มม.สองกระบอกที่ตั้งอยู่แทยงอยู่บนเกาะลอยฟ้าเองก็ถูกกระตุ้นขึ้นมา มันค่อยๆ หันไปทางตำแหน่งของศัตรู ถึงแม้จะเป็นปืนใหญ่ขนาดเล็ก แต่ก็สามารถยิงครอบคลุมลานบินที่มีรัศมีกิโลกว่าได้
นี่คือสงครามอาวุธปืนที่พวกพาซาร์บอกสินะ…เอเลนอร์คิด
นี่ไม่ใช่วิธีการรบที่เธอคุ้นเคย ทว่านับตั้งแต่ที่ยิงปืนขึ้นมา เธอก็ชื่นชอบความรู้สึกแบบนี้เข้าแล้ว
สู้กันมาถึงตอนนี้ คนที่สู้อยู่กับปีศาจจริงๆ มีแค่เธอเพียงคนเดียว
แต่ถึงแม้จะมีเธอแค่คนเดียว พวกปีศาจก็ไม่สามารถเล็ดรอดสายตาของเธอเข้าไปลอยโจมตีในจุดที่อ่อนแอได้ — แม้แต่ด้านล่างของเกาะ เธอก็ยังติดตั้งปืนใหญ่อัตโนมัติขนาด 20 มม.และปืนใหญ่ป้อมอีกสองกระบอกเอาไว้ต้อนรับศัตรู
นี่คือป้อมปราการที่ไม่มีจุดบอด
ลูกไม้ของพวกเจ้าคงต้องหยุดแต่เพียงเท่านี้แล้วล่ะ…เอเลนอร์ค่อยๆ ปรับฐานปืนใหญ่ ก่อนจะเล็งปืนใหญ่สนามไปยังปีศาจตัวหนึ่งตรงกลางลานที่โดนกระสุนยิงเข้าจนขยับไม่ได้ เมื่อดูจากชุดเกราะและเครื่องแต่งกายที่ดูสะดุดตาแล้ว เป็นไปได้สูงว่ามันจะเป็นปีศาจระดับสูง
จากนั้นเธอก็ควบคุมให้แกนเวทมนตร์ดึงเชือกยิงปืนใหญ่—
….
“ตู้ม!”
“ซ่าๆๆ…”
หลังเสียงระเบิดดังขึ้น ด้านบนของถ้ำก็มีเศษหินเศษทรายร่วงตกลงไป
“กองทัพที่หนึ่งกำลังยิงปืนขึ้นไปด้านบนของเกาะเหรอ? จะไม่เป็นอะไรแน่เหรอ?” ฟินกิ้นปัดเศษฝุ่นที่ตกลงมาบนหัว ก่อนจะมองขึ้นไปด้านบนอย่างกังวล
“ปืนใหญ่อย่างมากก็ระเบิดได้แค่รันเวย์ แต่ทำอะไรโรงเก็บเครื่องบินไม่ได้ นิ่งไปกว่านั้นมีคุณหนูโลตัสอยู่ เรื่องซ่อมแซมหลุมพวกนั้นง่ายนิดเดียว”
เสียงที่ดัวขึ้นมาฟังดูไม่คุ้น เหมือนจะไม่ใช่เสียงของนักบินที่อยู่กลุ่มเดียวกัน กู๊ด ฟินกิ้นและไฮด์ต่างหันหน้าไปมอง ก่อนจะพบว่าคนที่พูดคือแมนเฟลที่เป็นไพ่ตายในหมู่นักบินหน้าใหม่
“สวัสดีรุ่นพี่ทุกคน” เขาทำวันทยาหัตถ์
“เฮ้ ผู้ท้าชิงมาแล้ว” ฟินกิ้นใช้ข้อศอกกระทุ้งกู๊ด ก่อนจะพูดเสียงเบาๆ
กู๊ดกรอกตาใส่เพื่อนของเขา ก่อนจะพยักหน้าให้อีกฝ่าย “ข้าเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน เพียงแค่ไม่รู้ว่าต้องรออีกนานแค่ไหนกว่าจะได้ออกไปโจมตี”
“ไม่นานหรอก” แมนเฟลหลับตาเอียงหูฟังอยู่ครู่ “เสียงปืนค่อยๆ ถี่น้อยลงแล้ว แสดงให้เห็นว่าการโจมตีของปีศาจเริ่มเบาบางลง ข้าคิดว่าอีกไม่นานด้านบนคงจะมีคำสั่งให้ออกโจมตี”
“เจ้าได้ยินเสียงปืนที่อยู่นอกชั้นหินด้วยเหรอ?” กู๊ดทำสีหน้าคิดไม่ถึง
“ถ้าเพ่งสมาธิทั้งหมดล่ะก็” แมนเฟลพยักหน้า
ฟินกิ้นหันไปทำปาก ‘ทำเป็นอวด’ กับไฮด์
แต่ทันใดนั้นเอง ลำโพงที่อยู่ภายในโรงเก็บเครื่องบินพลันมีเสียงทิลลีดังขึ้นมา “อัศวินอากาศทุกคนรีบเข้าประจำเครื่องบิน เตรียมตัวออกรบ!”
……………………………………………………….