Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1464 แสงแรกของวัน
เหนือเมืองจักรพรรดิบนพระผู้สร้าง
เดอะแมสก์ที่มีหลายศีรษะไม่จำเป็นต้องใช้เวลานอนนานๆ พูดอีกอย่างก็มันสามารถตื่นอยู่ตลอดเวลาได้ด้วยการให้ศีรษะต่างๆ ของมันสลับกันพักผ่อน
ด้วยเหตุนี้ในตอนที่อายการ์ดพบเห็นความผิดปกติ มันจึงได้รับการแจ้งเตือนทันที
‘ศัตรูมาแล้ว’ จิตสำนึกของจักรพรรดิที่ดูไม่ได้ตื่นตระหนกเองก็ส่งตามมา ‘จากในความมืด’
แมลงพวกนั้นคิดจะใช้ประโยชน์จากความมืดในการหลบการลาดตระเวนของอสูรสยอง ในจุดนี้ไม่มีอะไรน่าสงสัย เพียงแต่แบบนี้แล้วพวกนกเหล็กจะทำอะไรได้? หรือพวกมันยังคิดว่าตัวเองไม่ได้เตรียมตัวอะไรเอาไว้เลย?
‘เดี๋ยวข้าจะไปปลุกอสูรโบเกิลที่โง่เง่าพวกนั้นขึ้น แต่ข้าต้องใช้เวลาหน่อยนะ!’ การตอบสนองของอันดีเซิร์ฟช้าไปจังหวะหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อเทียบกับราชาที่น่าสงสารที่มีแค่หัวเดียวตัวอื่นๆ แล้ว มันก็ยังถือว่ามีความระมัดระวังอย่างมาก
‘ช้าหน่อยก้ไม่เป็นไร’ นาซเพลหยิบเอาแกนเวทมนตร์ที่ย่อส่วนขึ้นมา ‘ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าได้ศึกษาวิธีการรบของนกเหล็กพวกนั้นจนทะลุปรุโปร่งแล้ว ท่านจักรพรรดิที่เคารพ ข้าจะเป็นคนจัดการพวกแมลงที่น่ารำคาญพวกนี้เองขอรับ’
ภายใต้การควบคุมพลังเวทมนตร์ของมัน บนกำแพงหินสีดำที่ก่อตัวเป็นเหมือนหลังคาของเมืองจักรพรรดิได้มีผลึกหินที่เหมือน ‘กิ่งไม้’ งอกออกมาเป็นจำนวนมาก เดิมทีเจ้าพวกนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของร่างซิมไบออนท์รุ่นแรก แต่หลังผ่านการปรับแต่งด้วยวิธีพิเศษของมัน เจ้าผลึกหินพวกนี้ก็ไม่ได้ยิงเข็มผลึกหินออกไปอีกต่อไป หากแต่ยิงเป็นร่างซิมไบออนท์ขนาดเล็กชนิดพิเศษอย่างหนึ่งออกไปแทน
หลังสู้กันมาหลายครั้ง มันก็มองออกว่านกเหล็กหรือเครื่องจักรที่มนุษย์เรียกว่าเฮฟเว่นเฟลมกับฟิวรี่ออฟเฮฟเว่นนั้นมีจุดอ่อนที่ชัดเจนอยู่อย่างหนึ่ง ถึงแม้ความเร็วของพวกมันจะเหนือกว่าอสูรโบเกิล แต่มันกลับไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทิศทางการเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนอสูรโบเกิล ยิ่งตอนที่บินด้วยความเร็วสูงก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจน วิถีการเคลื่อนที่ของมันจะเป็นเส้นโค้งที่ราบเรียบ เวลาที่พุ่งลงมามันจะไม่สามารถม้วนตัวได้ นี่หมายความว่า ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง มันจะต้องบินผ่านตำแหน่งหนึ่งๆ ที่กำหนดเอาไว้อย่างแน่นอน
พูดอีกอย่างก็คือขอเพียงกำหนดความสูงในการแตกตัวของเข็มเอาไว้ล่วงหน้า โอกาสที่ร่างซิมไบออนท์จะยิงถูกนกเหล็กก็จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก แน่นอนว่าตัวเข็มหินนั้นทำแบบนี้ไม่ได้ แต่ถ้าลองเปลี่ยนวิธีคิดด้วยการเปลี่ยนวัตถุที่ใช้ยิงขึ้นไปเป็นร่างซิมไบออนท์ที่สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้ด้วยตัวเอง ทุกอย่างมันก็จะง่ายขึ้น
‘สิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างเหมือนเข็ม’ พวกนี้จะระเบิดตัวเองในตอนที่เข้าใกล้นกเหล็ก แล้วกลายเป็นร่างซิมไบออนท์ที่สามารถลอยไปมาในอากาศได้ช่วงระยะเวลาสั้นๆ ทันทีที่มันตกลงไปบนตัวนกเหล็ก พวกมันก็จะฉีกและกัดกินผิวนอกอันบอบบางของเป้าหมายเหมือนกับปรสิต
เดอะแมสก์เชื่อว่าระบบการป้องกันอันนี้จะต้องทำให้ผู้บุกรุกจดจำไปจนตายแน่นอน
แต่เมื่อมองผ่านอายการ์ดออกไป การเคลื่อนไหวของมนุษย์หลังจากนั้นกลับทำให้มันรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ
นกเหล็กไม่ได้ฉวยโอกาสตอนที่อสูรสยองยังไม่ได้บินขึ้นฟ้าเปิดฉากโจมตีพระผู้สร้าง หากแต่พากันเลี้ยวไปทางใต้ เหมือนกำลังจงใจหลบเมืองจักรพรรดิอย่างไรอย่างนั้น
นี่มันอะไรกัน?
พวกแมลงตัดสินใจล้มเลิกการโจมตีเหรอ?
‘เหอะ พวกมันหนีไปแล้ว ดูเหมือนของเล่นของเจ้าพวกนั้นจะไม่ได้ใช้งานซะแล้วล่ะ’ อันดีเซิร์ฟสงเสียงเหอะออกมา ‘สุดท้ายก็ต้องเป็นไปที่ไล่ตามไปฆ่าพวกมนุษย์’
ไม่…มันไม่น่าจะเป็นแบบนี้นี่นา
นาซเพลขมวดคิ้วขึ้นมา ถึงแม้มันจะเรียกอีกฝ่ายว่าแมลง แต่การปะทะกันมาหลายครั้งได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพวกที่ไม่มีพลังเวทมนตร์เหล่านี้ไม่ได้ขี้ขลาดเลย ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าเสี่ยงที่จะใช้แผนลอบโจมตีในเวลากลางคืนแบบนี้ แล้วพวกมันจะมาเกิดความหวาดกลัวในเวลาสำคัญแบบนี้ แล้วก็ถอยทัพกลับไปได้ยังไง?
ตอนนี้อายการ์ดรับรู้ถึงการจ้องมองได้เพียงจุดเดียว แสดงให้เห็นว่าแมลงส่วนใหญ่ยังมองไม่เห็นพระผู้สร้าง — เวลากลางคืนได้จำกัดการมองเห็นของอีกฝ่าย แต่มันก็ทำให้ความสามารถในการรับรู้ของอายการ์ดลดลงด้วย
หรือว่า….เจ้านกเหล็กพวกนี้จะไม่ใช่หน่วยโจมตีหลักของมนุษย์?
ทันใดนั้นภายในหัวมันพลันมีสายฟ้าฟาดลงมา ก่อนจะควบคุมให้อายการ์ดทั้งหมดมองขึ้นไปบนท้องฟ้ารอบๆ พระผู้สร้าง — ครั้งนี้อายการ์ดไม่ได้ใช้พลังเวทมนตร์ หากแต่เป็นความสามารถในการมองเห็นของมัน
‘เจ้ากำลังทำอะไร?’ อันดีเซิร์ฟส่งเสียงไม่พอใจออกมาทันที
เดอะแมสก์ไม่มีเวลามานั่งอธิบาย ในเวลานี้หัวทั้งหมดของมันล้วนแต่เชื่อมต่ออยู่กับอายการ์ด ผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดมันก็มองเห็นอะไรบางอย่างอยู่บนท้องฟ้า
มันเห็นโลหะสีดำขนาดเล็กอันหนึ่งกำลังบินเข้ามาหาพระผู้สร้าง ขนาดของมันเล็กกว่านกเหล็ก แทบจะแยกมันกับพื้นหลังที่เป็นสีน้ำเงินเข้มไม่ออกเลย
วัตถุทรงกรวยอันนี้ทำให้เดอะแมสก์นึกถึงระเบิดที่ฟิวรี่ออฟเฮฟเว่นทิ้งลงมาก่อนหน้านี้…แต่ว่า มนุษย์บุกมากันขนาดนี้เพียงเพื่อเจ้าสิ่งนี้น่ะเหรอ?
แต่ถึงอย่างนั้น นาซเพลก็ยังสั่งการให้ลูกน้องเปิดบาเรียเวทมนตร์ขึ้นมาทันที
ทันใดนั้นเอง บนท้องฟ้าพลันมีเปลวเพลิงที่สว่างเจิดจ้าระเบิดออกมา
และนี่ก็เป็นภาพสุดท้ายที่มันมองเห็นผ่านทางอายการ์ด
แสงสว่างอันนั้นสว่างวาบขึ้นมาแค่เพียงชั่วพริบตา จากนั้นอายการ์ดทั้งหมดพลันตัดขาดการเชื่อมต่อกับมันไป สิ่งที่หลงเหลืออยู่ในสมองของมันมีเพียงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงและแสงที่สว่างจ้า
มันส่งเสียงคำรามขึ้นมาเบา!
แต่มันยังไม่จบแต่เพียงเท่านี้
พระผู้สร้างเหมือนถูกอะไรบางอย่างกระแทกใส่อย่างรุนแรง เมืองที่อยู่ภายในสั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างรุนแรงท่ามกลางเสียงที่ดังสนั่น บนหลังคามีเสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นมา พื้นดินเองก็ยุบตัวลงไป — นาซเพลรู้สึกใต้เท้าของตัวเองยุบตัวลงไป ส่วนร่างหายของมันก็เหมือนลอยขึ้นมา
…..
ทิลลีมองไม่เห็นเสี้ยววินาทีที่ระเบิดระเบิดขึ้นมา
ถึงแม้เธอจะเตรียมแว่นตาดำเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่การใช้ตาเปล่ามองหาระเบิดที่ร่วงลงมาจากฟ้าที่สูงขึ้นไป 7,000 เมตรนั้นถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากลำบาก ยิ่งไปกว่านั้นแว่นตาดำจะทำให้ทัศนวิสัยที่เดิมแย่อยู่แล้วยิ่งมืดเข้าไปอีก เธอพยายามลองอยู่หลายครั้ง ก่อนที่สุดท้ายจะล้มเลิกความตั้งใจไป
ด้วยเหตุนี้ในตอนที่โลกสว่างขึ้นมา ทิลลีถึงได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ตอนนั้นเธอกำลังหันหลังให้กับพระผู้สร้าง พริบตานั้นเอง ปีกเครื่องบินถูกส่องสว่างขึ้นมาจนเห็นเงาแวววาว แม้แต่หมุดยึดที่อยู่บนปีกเองก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ชิ้นส่วนที่ยืดออกมาจากตัวเครื่องทอดเงาเป็นทางยาวดูสะดุดตา!
ปกติมีแต่ตอนที่แสงแรกของวันปรากฏขึ้นมาถึงจะทำให้เค้าโครงของสรรพสิ่งสว่างขึ้นมา และทำให้ความมืดถดถอยไปได้
ทิลลีสูดหายใจ ก่อนจะเหลียวหน้ามองดู
ลูกบอลเพลิงขนาดมหึมาดวงหนึ่งปรากฏอยู่บนท้องฟ้าที่อยู่เหนือพระผู้สร้างขึ้นไปหลายร้อยเมตร ถึงแม้ความสว่างของมันจะลดลงอย่างรวดเร็ว แต่มันก็ยังส่องสว่างจนมองเห็นพระผู้สร้างทั้งหมด
กำแพงหินสีดำขนาดมหึมาที่อยู่ด้านนอกมีฝุ่นควันลอยฟุ้งขึ้นมา เหมือนถูกกระแสอากาศพัดผ่านไป แต่ทิลลีรู้ว่านั่นไม่ใช่กระแสอากาศ หากแต่เป็นลำแสงที่เข้มข้นถึงระดับหนึ่ง มันสามารถก่อให้เกิดแรงกระแทกเหมือนอย่างวัตถุที่มีรูปร่างได้ แล้วก็สามารถทำให้วัตถุที่ไวไฟติดไฟขึ้นมาได้
ในเวลาเดียวกันนี้ ด้านนอกลูกบอลเพลิงได้เกิดการบิดเบี้ยวขึ้นมา คลื่นกระเพื่อมคลื่นหนึ่งได้กระจายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่เป็นเพราะมีพระผู้สร้างเป็นภาพพื้นหลังอยู่ เธอก็ไม่มีทางที่จะมองเห็นภาพอันน่าตกตะลึงนี้ได้เลย
คลื่นกระเพื่อมได้กระแทกกับป้อมปรากการลอยฟ้าที่อยู่ด้านล่างเหมือนกับฝ่าบาทยักษ์ที่ตบลงไปบนโต๊ะไม้ที่เต็มไปด้วยฝุ่น ฝุ่นปริมาณมหาศาลฟุ้งกระจายขึ้นมาจนแทบจะปกคลุมพื้นผิวทั้งหมดของแกนกลางเอาไว้ทั้งหมด จากนั้นจึงเป็นส่วนอื่นๆ ของพระผู้สร้างและสุดท้ายก็เป็นพื้นดิน เมื่อดูจากภาพที่ฝุ่นฟุ้งกระจายขึ้นมาจะสามารถเห็นได้ว่าคลื่นกระเพื่อมนี้ไม่ใช่ภาพลวงตา หากแต่เป็นสิ่งที่สามารถจับต้องได้จริงๆ
หลังกระแทกลงไปบนพื้นมันก็ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะพุ่งเข้ามาหาฝูงบิน!
“เตรียมรับแรงกระแทก!” ทิลลีหยิบไมโครโฟนขึ้นมาตะโกนเสียงดัง
“ตู้ม!!!”
เสียงระเบิดที่สะเทือนฟ้าดินได้ลอยมาถึงหูของเธอในเวลานี้
ในที่สุดค่ำคืนที่เงียบสงบก็ถูกทำลายลง เมื่อเสียงกัมปนาทดังขึ้นมา เครื่องบินก็เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันเมื่ออยู่ภายใต้ผลกระทบของคลื่นอากาศ ตัวเครื่องบินได้หล่นวูบลงไปข้างล่างเหมือนสูญเสียการควบคุม ก่อนจะกลับมาเป็นปกติหลังผ่านไปหลายวินาที
เสียงที่ดังสนั่นนี้เหมือนเป็นสัญญาณเตือนที่บอกว่ารุ่งอรุณได้มาถึงแล้ว แสงแรกของวันได้สาดผ่านสันหลังของทวีปลงมาบนพื้นดิน
ส่วนในเวลานี้ลูกบอลเพลิงก็ได้กลายเป็นเสาควันสีเหลืองส้ม ส่วนล่างของมันแทงลงไปในตัวพระผู้สร้าง ส่วนด้านบนก็ลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆ และเชื่อมต่อเข้ากับชั้นเมฆ
ทิลลีออกคำสั่งอีกครั้ง
กระทั่งตอนที่ฝูงบินไปถึงด้านตะวันออก ในที่สุดเธอก็มองเห็นพระผู้สร้างที่จมอยู่ใต้ฝุ่นควันอย่างชัดเจน
เมื่อดูจากภาพรวมแล้ว มันแทบจะไม่ได้รับความเสียหายอะไรมากเลย เมื่อเทียบกับต้นไม้ที่ล้มระเนระนาดแล้ว มันยังคงลอยอยู่นิ่งๆ กลางอากาศ
แต่การระเบิดก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สร้างความเสียหายเลย ด้านบนหอคอยหินสีดำทรงพิระมิดที่มองเห็นลางๆ อยู่ภายใต้ฝุ่นควันมีรอยแตกเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมารูหนึ่ง!
…………………………………………………