Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1469 เมืองที่พังทลาย
กู๊ดกล้าสาบานว่านี่เป็นภาพที่น่าเหลือเชื่อที่สุดที่เขาได้เคยเห็นมาในชีวิต
ถ้าจะนิยามมันให้ได้ล่ะก็ มันก็คือภูเขาไฟที่กำลังลอยอยู่บนฟ้า และเจ้าภูเขาไฟนี้ก็ไม่ได้มีปากปล่อยภูเขาไฟแค่แห่งเดียว หากแต่มีปากปล่องอยู่เต็มไปหมด!
หลังเสียงระเบิดที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังขึ้นมา ไม่ใช่แค่ด้านบนของหอคอยเท่านั้นที่ถูกระเบิดออก แต่พื้นที่ของเมืองที่อยู่รอบๆ เองก็มีเปลวไฟสีแดงเข้มนับร้อยๆ เส้นพ่นออกมาด้วย เขาจินตนาการออกเลยว่าภายในพระผู้สร้างจะเป็นอย่างไร ภายใต้อุณหภูมิที่สูงจนน่ากลัว หมอกแดงได้กลายเป็นเปลวไฟเหนียวๆ เหมือนกับน้ำมันที่ถูกจุดติดไฟ และนี่ก็ยิ่งทำให้อุณหภูมิในอากาศยิ่งเพิ่มสูงขึ้นไปอีก ทำให้มันเปลวไฟขยายตัวอย่างรวดเร็ว และสุดท้ายก็ไหลทะลักออกมาจากรูหรือรอยแตกที่อยู่ใกล้พื้นดิน
นี่หมายความว่าปีศาจไม่มีที่ให้ได้ใช้หลบซ่อนอีก ถึงแม้พวกมันจะหลบอยู่ในห้องลับที่สามารถรองรับแรงปะทะและความดันสูงได้ แต่มันก็ต้องถูกอุณหภูมิที่สูงเป็นพันองศาเผาจนตายอยู่ดี
นั่นไม่ได้ต่างอะไรจากนรกเลย
ถึงแม้จะเป็นศัตรู แต่ในเวลานี้กู๊ดเองก็เกิดรู้สึกเห็นใจอีกฝ่ายขึ้นมานิดหน่อย
แต่ว่าสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร
ระยะทางสั้นๆ แค่ไม่กี่สิบกิโลเมตรจากกึ่งกลางจนถึงขอบของพระผู้สร้างนั้นเรียกได้ว่าเต็มไปด้วยอันตราย — ปฏิกิริยาลูกโซ่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง เปลวไฟที่สูงหลายสิบเมตรที่พุ่งขึ้นมาอยู่ตลอดเวลาเป็นเหมือนมีดคมๆ ขอเพียงชนเข้าจะต้องตายไปพร้อมกับเครื่องบินอย่างแน่นอน แต่อย่างน้อยนี่ก็เป็นเรื่องที่เขายังอาศัยทักษะในการขับเคลื่อนบินแก้ไขปัญหาได้ ทว่า ‘ฝนเพลิง’ ที่ตกลงมาจากบนฟ้านั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาจะควบคุมได้เลย
ตอนนี้พวกเศษชิ้นส่วนที่ปลิวขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับเสียงระเบิดในตอนแรกเริ่มตกลงมาแล้ว พวกมันเป็นเศษก้อนหินที่กำลังหลอมละลายหรือไม่ก็เป็นพวกยางเหนียวๆ ที่กำลังลุกติดไฟ ขอเพียงกู๊ดเงยหน้าขึ้นไป เขาก็จะเห็นดวงไฟจำนวนมากปกคลุมอยู่บนหัว กระทั่งแสงแดดในยามเช้าก็ถูกพวกมันบดบังไป
“บ้าเอ้ย เจ้ามองเห็นไอที่ตกลงมาจากบนฟ้าไหม!” ฟินกิ้นตะโกนขึ้นมาจากอีกด้านหนึ่ง
“เหลวไหล ข้าไม่ได้ตาบอดซักหน่อย!”
“ขอบเขตของมันใหญ่เกินไปหน่อยหรือเปล่าเนี่ย เวลาแค่นี้ไม่พอให้บินออกไปหรอก! ถ้ามันตกลงมา ข้าว่าพวกเราหนีออกไปไม่ได้แน่!”
“ไม่….ซ่า….ยังมีอีกที่หนึ่ง…ซ่า…ที่ใช้หลบได้” ในเวลานี้พลันมีเสียงอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
นั่นคือแมนเฟลที่ออกตัวเร็วกว่าเขา น่าจะเป็นเพราะบินหนีออกไปคนละทาง ทำให้สัญญาณวิทยุจึงติดๆ ขัดๆ เสียงของเขาฟังดูไม่ชัดเจน
“เห็นด้วย แต่สิ่งสำคัญคือพวกเราจะไปถึงที่นั่นทันเวลาหรือเปล่า!” กู๊ดตอบ
“เดี๋ยวๆ…พวกเจ้าเอาจริงเหรอเนี่ย?” ฟินกิ้นรู้ตัวอย่างรวดเร็ว “เดี๋ยวมันก็จะตกลงไปแล้วนะ พวกเจ้ายังคิดจะเอามันมาใช้หลบอีกเหรอ?”
เขารู้ว่าเพื่อนตัวเองพูดถูก ความจริงในตอนที่ระเบิดครั้งที่สองระเบิดขึ้นมา กู๊ดก็รู้แล้วว่าแผนการของฝ่าบาทนั้นได้ผล
พระผู้สร้างค่อยๆ เอียงลงอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้มันจะยังลอยอยู่เหนือพื้นประมาณร้อยกว่าเมตร แต่การเปลี่ยนแปลงนี้แสดงให้เห็นว่าแกนพลังเวทมนตร์ที่ควบคุมเมืองลอยฟ้าได้ถูกทำลายลลงแล้ว ช้าเร็วยังไงมันก็ต้องตกลงไปข้างล่างอย่างแน่นอน
ถ้าพวกเขารีบไปหลบอยู่ใต้พระผู้สร้างได้ก่อนที่ฝนเพลิงจะตกลงมา พวกเขาก็จะสามารถหลบฝนเพลิงพวกนี้ได้ แต่เมื่อคิดถึงว่าเกาะลอยฟ้านั้นกำลังร่วงตกลงไปข้างล่างเรื่อยๆ การทำแบบนี้มันก็มีความเสี่ยงอย่างมากเหมือนกัน ถ้าหากไม่ควบคุมทิศทางและความเร็วให้ดี ถ้าไม่พุ่งลงไปในดินก็ต้องชนเข้ากับกำแพงหิน จุดจบก็ไม่ได้ดีไปกว่าถูกฝนเพลิงเผาเท่าไรเลย
แต่อย่างน้อยวิธีแรกมันก็ไม่ต้องหวังพึ่งดวงชะตา!
ในเวลานี้เครื่องบินสามารถบินเป็นแนวระนาบได้แล้ว กู๊ดเหยียบคันเร่งจนสุดแล้วพุ่งไปยังขอบของพระผู้สร้าง!
….
บนซีกัล ซิลเวียมองเห็นการพังทลายของเมืองปีศาจ
หมอกแดงที่ขยายตัวอย่างรุนแรงไม่เพียงแต่จะพ่นออกมาจากด้านบนของหอคอยหิน แต่มันยังพุ่งออกมาจากประตูที่อยู่ด้านล่างหอคอยด้วย — หมอกแดงที่ลุกไหม้โดนบีบอัดอย่างรุนแรงจนกลายเป็นเสาเพลิงขนาดใหญ่ มันกลืนกินปีศาจที่รวมตัวกันอยู่ด้านล่างในพริบตา จากนั้นถึงแผดเผาไปบนพื้นดินด้านล่างเหมือนกับปืนพ่นไฟ ขอบเขตวามเสียหายกระจายไปไกลหลายกิโลเมตร
จากนั้นก็เป็นเศษหินลอยตกลงมาเหมือนกับสายฝน พวกมันส่วนใหญ่ลุกติดไฟหรือไม่ก็ถูกเผาจนกลายเป็นสีแดง อสูรสยองที่ปกป้องเมืองจักรพรรดิแทบจะโดนทำลายจนหมด ไม่ว่าจะหนีไปทางไหนก็ยากจะที่หลบหลีกการโจมตีที่เหมือนทัณฑ์สวรรค์นี้ได้
ค่ายของปีศาจที่อยู่ห่างจากเมืองจักรพรรดิออกไปก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน แต่ว่าพวกมันตั้งอยู่ริมสุดของพื้นที่ที่พวกเศษหินที่พ่นออกไปจะลอยไปถึง ถึงแม้พวกกองกำลังปีศาจจะได้ถอยออกไปในตอนแรกจะได้รับความเสียหายอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ถึงกับถูกทำลายจนหมดสิ้น เกรงว่าสำหรับพวกมันแล้ว การที่ในเวลานี้สิ่งก่อสร้างที่เคยถูกมองว่าเป็นปาฏิหาริย์กำลังกลายเป็นภูเขาไฟต่างหากถึงจะเป็นความเจ็บปวดที่มันยากจะยอมรับได้
อย่างน้อยซิลเวียก็มองเห็นปีศาจจำนวนไม่น้อยยืนนิ่งไปกับที่มองดูหอคอยหินสีดำทับใส่พวกมันตาปริบๆ
หลังโดนระเบิดไปสองครั้ง พระผู้สร้างก็สิ้นสภาพลงอย่างสิ้นเชิง
มันค่อยๆ ร่วงตกลงมาตามเส้นทางเดิมที่มันมาโดยมีเปลวไฟพ่นออกมาจากด้านบนและด้านหลัง หลังจากนั้นสิบห้านาที ยอดของหอคอยทรงพีระมิดขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านล่างก็สัมผัสกับพื้นก่อน — การชนกันของมันทำให้เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นมาเป็นครั้งที่สาม คลื่นอากาศที่ร้อนระอุถูกบีบอัดจนกลายเป็นคลื่นกระแทกเล็กๆ กระจายออกมา
เมื่ออยู่ภายใต้แรงเฉื่อย แผ่นดินลอยฟ้ายังคงเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ค่ายและหอสังเกตการณ์ที่อยู่ด้านล่างถูกบดขยี้จนกลายเป็นผุยผง ในตอนที่มันค่อยๆ หยุด พื้นดินด้านหลังมันถูกขุดเป็นร่องที่กว้างหลายพันเมตร
เปลวไฟที่พวยพุ่งออกมาเริ่มอ่อนแรง ฝุ่นควันที่คละคลุ้งก็เริ่มหยุดกระจายตัว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะยุติลงแต่เพียงเท่านี้ ตอนนี้ภายในพระผู้สร้างเป็นเหมือนเตาไฟที่ร้อนระอุ ในจุดนี้จะเห็นได้จากรอยแตกบนพื้นที่เป็นสีแดงพวกนั้น บางทีไฟอันนี้อาจจะยังลุกไหม้ต่อไปอีกหลายเดือนกว่าจะดับลงอย่างแท้จริง แต่ก่อนหน้านั้น พวกปีศาจที่อาศัยอยู่ในเมืองคงต้องกลายเป็นเชื่อเพลิงให้มันทั้งหมด
ตอนนี้สิ่งที่ซิลเวียกังวลมีเพียงแค่อย่างเดียว นั่นก็คือทั้งสามคนที่พุ่งเข้าไปข้างใต้พระผู้สร้าง
“….เป็นยังไงบ้าง มองเห็นอะไรไหม?” ทิลลีเองก็ถามถึงพวกเขา
“ไม่ ตอนนี้ยังไม่พบอะไร…” เธอตอบพร้อมกัดริมฝีปาก พระผู้สร้างกลับหัว ร่วงตกและลื่นไถล ความเสี่ยงในการบินตามมันลงไปนั้นแค่คิดๆ ก็คงจะรู้มากแค่ไหน ถ้าหากพวกเขายังไม่ปรากฏตัวออกมาอีกล่ะก็ เกรงว่าผลลัพธ์คงจะร้ายมากกว่าดีแน่
“เดี๋ยวๆ” ทันใดนั้นเอง ดวงตาเวทมนตร์ของเธอมองเห็นจุดดำเล็กๆ สองสามจุด พวกมันดูแล้วเหมือนกับเศษหินที่ถูกคลื่นอากาศพัดลอยขึ้นมา แต่พวกมันกลับไม่ยอมตกลงพื้นซักที
ซิลเวียรวบรวมพลังเวทมนตร์เฮือกสุดท้ายขยายภาพให้ใหญ่ขึ้น เธอมองเห็นเครื่องบินปีกสองชั้นสีเทาขาวสามลำบินขึ้นมาจากฝุ่นควันที่ึคละคลุ้ง สัญลักษณ์รูปหอคอยและหอกยาวที่อยู่ตรงหางดูสะดุดตาอย่างมาก! ถึงแม่เครื่องบินแต่ละลำจะดูทรุดโทรม บนปีกไม่เพียงแต่จะมีเศษดินเปรอะเปื้อน ผิวของมันก็ไม่ได้เงาเป็นมันวาวเหมือนอย่างตอนแรกด้วย แต่อย่างน้อยตัวเครื่องบินก็ยังสมบูรณ์อยู่
เธอพูดอะไรไม่ออกไปทันที เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ตรงหน้าอก
หลังสูดน้ำมูกกลับไป ซิลเวียจึงหยิบรูนขึ้นมาพูดตอบกลับไปว่า “องค์หญิง…ทั้งสามคนปลอดภัยดีเพคะ”
“งั้นเหรอ?” น้ำเสียงของทิลลีฟังดูผ่อนคลายขึ้นมา “ข้ารู้อยู่แล้วเชียว
“ถ้ารู้จริงๆ ก็คงไม่เอาแต่ถามตลอดเวลาแบบนี้หรอก” แอนเดรียที่อยู่อีกด้านแอบมุ่ยปากพูดขึ้นมา
เวนดี้ส่ายหัวยิ้มๆ “อย่างนั้นก็แจ้งให้ทุกคนถอยกลับเถอะ เอาข่าวชัยชนะของพวกเราไปแจ้งฝ่าบาทโรแลนด์กัน!”
………………………………………………………….