Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1484 จุดประกาย
พริบตาที่อีกฝ่ายเอ่ยปากออกมา ทั้งโลกพลันเงียบลง
อันนาได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้น
เธออ้าปาก แต่เสียงกลับเหมือนไม่ได้เปล่งออกมาจากลำคออย่างไรอย่างนั้น
“อย่างนั้นพวกข้ายังจะไปไหนได้?”
“….” ผู้เฝ้ามองนิ่งเงียบไป
“ดูเหมือนเจ้าเองก็รู้คำตอบเหมือนกัน นอกจากที่นี่แล้ว พวกข้าไม่มีที่ให้ถอยไปได้อีก” อันนารวบรวมสมาธิ แล้วมองดูอีกฝ่ายอย่างละเอียด — เธอดูแล้วเหมือนกับมนุษย์ทุกอย่าง ภาษาที่ใช้ก็เป็นภาษาตามมาตราฐานของมนุษย์ บวกกับการที่จู่ๆ เธอก็ปรากฏตัวขึ้นมา ความเป็นมาของเธอจึงน่าจะเดาได้ไม่ยาก “ข้าเคยได้ยินโจนบอกว่าเจ้าถูกขังอยู่ที่นี่ หรือว่าเจ้าไม่คิดอยากจะออกไปจากที่นี่งั้นเหรอ?”
“โจนงั้นเหรอ…” ผู้เฝ้ามองยิ้มอย่างอ่อนโยนขึ้นมา “ดูเหมือนนางจะเอาคำตอบที่กลับไปด้วยสินะ แต่ที่น่าเสียดายก็คือมันไม่มีคำตอบที่แท้จริงอยู่”
“แต่มีคนที่กำลังพยายามหาคำตอบอยู่ แถมนางยังเป็นพวกเดียวกับเจ้าด้วย”
“พวกเดียวกัน?”
“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งจิตสำนึก —- และที่นั่นก็มีเทวทูตที่ชื่อมิสต์คนหนึ่งกำลังพยายามเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง” อันนาอธิบายถึงเจตนาที่มาที่นี่อย่างรวดเร็ว “และการจะบรรลุเป้าหมายนั้นก็จำเป็นต้องมีเงื่อนไขสองข้อ หนึ่งในนั้นเป็นจริงแล้ว และข้าก็ได้พาคนที่สามารถแก้ไขปัญหาที่สองมาแล้วด้วย หลังจากนี้ขอแค่เปิด ‘สะพาน’ อันนั้นและส่งเขาเข้าไปในโลกแห่งจิตสำนึก—”
“ขอโทษด้วยนะ ข้าไม่รู้จักเทวทูตที่เจ้าว่ามา” ผู้เฝ้ามองส่ายหัวตัดบทเธอ “นอกจากนี้การเปิดสะพานก็จำเป็นต้องใช้ชิ้นส่วนสืบทอดที่สมบูรณ์เสียบเข้าไปในแท่นบอทธ่อมเลส ถึงจะสามารถกระตุ้นแหล่งกำเนิดเวทมนตร์แล้วทำให้สะพานปรากฏขึ้นมาได้ จริงอยู่ที่เจ้ารู้เรื่องไม่น้อย แต่ข้าไม่สามารถช่วยเจ้าได้จริงๆ”
“เดี๋ยวๆ” ในที่สุดสีหน้าอันนาก็เปลี่ยนไป เธอรีบพูดขึ้นมาว่า “เจ้าไม่ใช่ผู้นำทางเหรอ!”
“ข้าคือผู้นำทาง แต่ถ้าไม่มีชิ้นส่วนสืบทอด ข้าก็ไม่สามารถทำอะไรได้” อีกฝ่ายเดินมาข้างอันนา ก่อนจะลูบหัวเธอเบาๆ “รีบไปจากนี่เถอะ เด็กน้อย ฉวยโอกาสตอนที่ยังมีเวลา”
ร่างกายของผู้เฝ้ามองเริ่มจางลง เหมือนกับว่ากำลังจะหายไปอย่างไรอย่างนั้น
อันนายื่นมือออกไปคว้าจับเธอเอาไว้ แต่สิ่งที่เธอสัมผัสได้กลับมีเพียงแค่อากาศ
“สุดท้าย ลืมทุกสิ่งที่เจ้าเคยได้ยินมาซะ — อย่างเช่นถ้าเทวทูตผู้ทรยศมีอยู่จริง” ในตอนที่เธอหายไป หูของอันนามีเสียงกระซิบกระซาบของอีกฝ่ายดังขึ้นมา “สงครามแห่งโชคชะตาคือความพยายามในการหาคำตอบอย่างหนึ่ง ขนาดการแก้ไขปัญหาที่ยาวนานและกว้างใหญ่ไพศาลขนาดนี้ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปออกมา แล้วมันจะถูกคนเพียงคนสองคนแก้ปัญหาได้ยังไง? ถ้าหากเขามีความสามารถอย่างนั้นจริงๆ เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ ‘สะพาน’ กับ ‘กุญแจ’ เลย”
นี่…คือผลของการต่อสู้จนถึงท้ายที่สุดงั้นเหรอ…
อันนาก้มหน้ามองดูฝ่ามือที่ว่างเปล่าของตัวเองอย่างเหม่อลอย
หลังจากนี้เธอควรจะทำยังไงดี?
……
ไนติงเกลรู้สึกว่าการเคลื่อนไหวของตัวเองลื่นไหลขึ้น
เหมือนมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไปจากแต่ก่อน
เธอบอกไม่ได้ว่าตรงไหนที่เปลี่ยนไป แต่เธอรู้สึกได้ถึงความสอดประสานที่อยู่ในหมอกมายา — ถึงแม้ปกติเส้นเค้าโครงที่บิดเบี้ยวจะมอบความสะดวกสบายให้กับเธอ แต่มันก็เป็นเหมือนคมมีดที่มีความอันตรายอย่างมากเช่นเดียวกัน เธอจำเป็นต้องรักษาสมาธิเอาไว้ในระดับสูงสุดถึงจะทำให้ตัวเองไม่บาดเจ็บเพราะความสามารถของตัวเอง
แต่ในเวลานี้โลกขาวดำแห่งนี้กลับอ่อนโยนจนเหมือนกับแกะ มันแทบจะปล่อยให้เธอทำทุกอย่างตามที่เธอต้องการได้ ในขณะที่เคลื่อนที่ไปในนั้น เธอรู้สึกได้ถึงความรู้สึกอิ่มเอมและมีความสุข
ในระยะเวลาแค่ไม่กี่นาที เธอกำจัดรังแม่ไปสามตัว ส่วนศัตรูกลับแตะเธอไม่ได้แม้กระทั่งชายเสื้อ
ถ้าพูดถึงเรื่องผลงานในการกำจัดศัตรูแล้ว ขนาดไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ที่อยู่ในระดับเดียวกับสุดยอดอมนุษย์ก็ยังไม่โดดเด่นเท่าเธอเลย
นี่ทำให้ไนติงเกลรู้สึกภูมิใจ
สิ่งเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกค่อนข้างอึดอัดใจก็คือของเหลวเหนียวๆ ที่อยู่บนตัวเธอ — เธอสามารถหลบกรงเล็บและหนวดของพวกศัตรูได้ แต่กลับไม่สามารถหลบหลีกเครื่องในที่เหม็นคาวเหล่านั้นได้ นี่ถือเป็นค่าคอบแทนของการที่เข้าไปในตัวของรังแม่
ถ้าเป็นอันนาล่ะก็ เธอน่าจะเผาเจ้าของเหลวที่น่ารังเกียจพวกนี้ไปจนหมดล่ะมั้ง?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เธอก็อดเหลือบมองไปทางอันนาไม่ได้
แต่ทันทีที่มองไป เธอก็ต้องขนลุกขึ้นมาทันที
เธอเห็นอันนายืนเหม่อลอยมองไปทางทิศเหนือไม่ขยับ เหมือนกับถูกอะไรบางอย่างล็อกเอาไว้ มีอสูรมีดสองสามตัวกำลังมุ่งหน้าเข้าไปหาเธอ ส่วนฟิลลิสก็กำลังรับมือกับอสูรมีดตัวหนึ่งอยู่พร้อมกับตะโกนเรียกอันนาอย่างร้อนใจ แต่อีกฝ่ายกลับเหมือนไม่ได้ยินเสียงตะโกนของเธอเลย
นางกำลังทำอะไรอยู่กันแน่?
จากมุมนั้น เธอน่าจะมองเห็นฟิลลิสกับศัตรูที่กำลังเข้ามาใกล้ได้อย่างชัดเจนนี่นา!
ไนติงเกลหมุนตัวทันที เธอรีบวิ่งเข้าไปหาอันนาโดยไม่สนใจพวกสัตว์ประหลาดของอาณาจักรซีสกายเลย
แต่อสูรมีดก็กางปีกที่อยู่ด้านหลังของมันออกมาแล้ว!
บ้าเอ้ย จะไม่ทันแล้ว—
ในพริบตานั้นเอง เธอมองเห็นเส้นสีขาวเส้นหนึ่งขยายยืดยาวจากปลายเท้าด้านหนึ่งของตัวเองไปจนถึงตรงหน้าอันนา นั่นน่าตะเป็นรอยแตกบนพื้นดิน ถึงแม้ในธรรมชาติจะมีเค้าโครงของมันอยู่ แต่เป็นเพราะว่าพวกมันเล็กและซับซ้อนมากเกินไป มันก็เลยไม่ถูกพลังแสดงออกมา
ถ้าเค้าโครงของดินแต่ละผืนหินแต่ละก้อนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อย่างนั้นก็หมายความว่าเธอจะไม่มีที่ให้ได้ยินเลย ต่อให้รวบรวมสมาธิเอาไว้มากแค่ไหนก็ไม่มีทางทำได้
ส่วนการนี่รอยแตกเล็กๆ แบบนี้รวมเข้าด้วยกันจนกลายเป็นเส้นสีขาว ไนติงเกลก็เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก
มันเหมือนกับเส้นนำทางที่ชัดเจนเส้นหนึ่ง เธอรีบยื่นมือไปคว้ามันเอาไว้แล้วออกแรงดึงมันขึ้นมา!
พลังเวทมนตร์ในร่างกายไหลทะลักออกมา โลกแห่งหมอกมายาตอบสนองเจตจำนงของเธอ — เส้นขาวเส้นนั้นยกขึ้นมา ภาพที่อยู่ตรงหน้าเธอแบ่งออกเป็นสองส่วนอย่างชัดเจน!
ด้านหนึ่งคือตำแหน่งที่อันนายืนอยู่ซึ่งแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย ส่วนพื้นอีกด้านหนึ่งกลับยกตัวสูงขึ้นไปจนกลายเป็นพื้นต่างระดับที่ต่างกันเกือบหนึ่งเมตร
แต่นั่นไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิประเทศธรรมดาๆ พริบตานั้นเอง อสูรมีดที่กำลังบินอยู่พลันถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ครึ่งหน้าของมันยังคงไถลไปในอากาศ ส่วนร่างกายครึ่งหลังกลับลอยสูงขึ้นไป เหมือนกับว่าร่างกายทั้งสองส่วนไม่ได้อยู่บนระนาบเดียวกัน!
ร่างกายของศัตรูที่ถูกตัดขาดตกลงสู่พื้นห่างจากอันนาไม่ไกล รอยตัดบนร่างกายมันเรียบเหมือนกับกระจก
ขณะเดียวกันไนติงเกลก็รู้สึกได้ถึงความเหนื่อยล้าอย่างรุนแรง กระทั่งจะยืนทรงตัวก็ยังทำได้ยาก — นี่คือผลข้างเคียงจากการใช้พลังเวทมนตร์มากเกินไป เห็นได้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ไม่ใช่การใช้พลังตามปกติธรรมดาซะแล้ว
แต่เธอไม่สนใจที่จะคิดเรื่องเหล่านี้
อันนายังคงยืนอยู่กับที่ เหมือนกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบตัวไม่เกี่ยวข้องกับเธอ
ไนติงเกลฝืนกัดฟันเดินเข้าไปหาเธอ ก่อนจะคว้าแขนของเธอแล้วดึงเธอหันกลับมา
เจ้ากำลังทำอะไรกันแน่! ทุกคนกำลังต่อสู้เพื่อทำให้เป้าหมายของเจ้าเป็นจริง แต่เจ้ากลับพาตัวเองมาอยู่ในอันตราย เจ้าอยากให้ความพยายามของทุกคนต้องสูญเปล่าอย่างนั้นเหรอ?
เดิมไนติงเกลอยากจะตะโกนออกไปแบบนี้ แต่พอคำพูดมาถึงมุมปาก มันกลับไม่ยอมออกมา เธอรู้จักอันนา เผลอๆ อาจจะรูู้จักดีกว่าโรแลนด์เสียอีก ถ้าไม่ถึงวินาทีสุดท้าย อันนาจะไม่มีวันยอมแพ้เด็ดขาด การที่ทำให้เธอเหม่อลอยขนาดนี้ เกรงว่าคงมีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้น
เธอเจอผู้เฝ้ามองแล้ว และคำตอบที่ได้ก็คือปฏิเสธ
คำพูดต่อว่าสลายหายไปทันที การที่เจอกับความผิดหวังขนาดนี้แล้วยังยืนอยู่ได้แบบนี้ก็นับว่าเธอมีความกล้าหาญอย่างมากแล้ว
“เจอผู้เฝ้ามองแล้วเหรอ?” ไนติงเกลถามเบาๆ
“อื้อ” อันนาค่อยๆ พยักหน้า
ใช่จริงๆ ด้วย
เมื่อมองดูท่าทางเหม่อลอยของอีกฝ่าย ภายในใจเธอพลันมีความรู้สึกเจ็บปวดและเสียใจอย่างมากขึ้นมา ถึงแม้ทุกคนจะพยายามอย่างหนักขนาดนี้ แต่สุดท้ายก็ยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้
เธอโอบอีกฝ่ายเข้ามาในอ้อมอกเบาๆ
“ไม่เป็นไร ต่อให้ล้มเหลวก็ไม่เป็นไร พวกเราจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าจนถึงวินาทีสุดท้าย”
“ล้มเหลว ทำไมถึงพูดแบบนี้?” การตอบสนองของอันนาทำให้เธอรู้สึกแปลกใจ
“เอ่อ…” ไนติงเกลชะงักไปทันที “หรือว่าผู้เฝ้ามองตอบรับคำขอของเจ้า?”
“เปล่า นางปฏิเสธ ถ้าไม่มีชิ้นส่วนสืบทอด บอทธ่อมเลสแลนด์ก็จะไม่เปิด ต่อให้เป็นนางก็ทำอะไรไม่ได้” อันนาส่ายหัว
“อย่างนั้นทำไมเจ้าถึง…”
“แต่นางจุดประกายข้า” อันนาเงยหน้าขึ้น สายตาที่เมื่อครู่เหม่อลอย ในตอนนี้กลับเปล่งประกายระยิบระยับขึ้นมา “เทวทูตก็ดี ผู้เฝ้ามองก็ดี พวกนางส่วนแต่ไม่สามารถฝืนกฎที่พระเจ้าตั้งขึ้นมาได้ แต่ถ้าเป็นคนที่มีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งอยู่จริงๆ ต่อให้ไม่มีความช่วยเหลือของพวกนาง เขาก็สามารถไปถึงอีกด้านหนึ่งของสะพานได้!”
…………………………………………………………….