Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1485 กระโดดลงไป
“….” ดังนั้นที่นางเหม่อลอยเมื่อครู่นี้ก็เพราะกำลังครุ่นคิดปัญหานี้อยู่งั้นเหรอ? ไนติเกลลูบหน้าอกที่กำลังเต้นตุบๆ ตามจังหวะหัวใจ เธอดึงมือกลับแล้วดีดหน้าผากอันนาไปแรงๆ “ครั้งหน้าช่วยหาที่หลบที่ปลอดภัยก่อนแล้วค่อยคิดได้ไหม? อย่างนั้นข้อสรุปเจ้าคืออะไร? รบกวนช่วยอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุดด้วย”
ในตอนนี้ฟิลลิสและคนอื่นๆ ก็วิ่งตามเข้ามา เมื่อเห็นทั้งสองคนไม่เป็นไร ทุกคนก็โล่งใจ
ในตอนนี้อันนารู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย เธอกุมหน้าผากแล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “กระโดดลงไป”
ไนติงเกลตกตะลึง หลังแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ฟังผิดไป เธอจึงถอนใจออกมา “ไม่ เจ้าอธิบายอย่างละเอียดตั้งแต่ต้นดีกว่า”
“อื้อ…” เธอหันหน้าไปทางบอทธ่อมเลสแลนด์ “ความจริงมันก็เข้าใจได้ไม่ยาก ในเมื่อเทวทูตกับผู้เฝ้ามองล้วนแต่มาจากโลกแห่งจิตสำนึก อย่างนั้นมิสต์ก็ไม่มีทางที่จะไม่รู้เรื่องที่จำเป็นต้องใช้ชิ้นส่วนสืบทอดในการเปิดสะพานแน่ ไม่ว่าสิ่งที่นางพูดจะมีความจริงอยู่แค่ไหน แต่นางก็ไม่มีทางที่จะลืมเรื่องง่ายๆ แบบนี้ทั้งๆ วางแผนมาเป็นเวลายาวนานได้”
“จะว่าไปมันก็ใช่” ไนติงเกลครุ่นคิด “เจ้าก็เลยคิดว่าตัวโรแลนด์สามารถเปิดอุโมงค์ลำแสงนี้ได้ด้วยตัวเองงั้นเหรอ?”
“ไม่ ข้าคิดว่าอุโมงค์ลำแสงนั้นไม่ใช่ที่ๆ พวกเราต้องไป” อันนาส่ายหัว “มีแต่ผู้ชนะในสงครามแห่งโชคชะตาเท่านั้นถึงจะขึ้นสะพานไปยังอีกฝั่งได้ แต่พวกเราไม่ใช่ทั้งผู้ชนะ แล้วก็ไม่มีชิ้นส่วนสืบทอดอันอื่นด้วย ขณะเดียวกันมิสต์ก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย ยิ่งไปกว่านั้นการยึดเอาชิ้นส่วนสืบทอดของเผ่าพันธุ์อื่นมามันก็ขัดแย้งกับการหยุดสงครามแห่งโชคชะตา — ถ้ามันเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้แผนการเป็นจริง อย่างนั้นมันก็ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไรเลย”
“อย่างนั้น…พวกเราควรจะไปที่ไหน?” ไนติงเกลพบว่าตัวเองตามความคิดของอีกฝ่ายไม่ทัน
“ ‘มีแต่สิ่งที่เข้าใจได้ด้วยตัวเองเท่านั้นถึงจะเป็นคำตอบที่แท้จริง’” อันนาพูดทวนคำพูดของมิสต์ออกมา “ถ้านางสังหรณ์ใจว่าพระเจ้าจะยื่นมือเข้ามาอยู่นางไม่ให้แพร่งพรายข้อมูลสำคัญออกไป อย่างนั้นภาพความทรงจำที่ส่งมาจากวงแหวนดวงดาวมันน่าครุ่นคิดอย่างมาก ตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว เจ้าคิดว่าในภาพความทรงจำเหล่านั้น ส่วนไหนที่เจ้าจำมันได้ดีมากที่สุด?”
“เอ่อ…แรงดึงดูดอะไรนั่น?”
“ถูกต้อง ในภาพที่สองที่โรแลนด์เห็น แกนกลางที่ประกอบขึ้นมาจนกลายเป็นโลกนี้น่าจะตั้งอยู่กึ่งกลางของดวงดาว ดังนั้นพวกเราจึงควรจะลงไปข้างล่าง ไม่ใช่ขึ้นไปข้างบน บอทธ่อมเลสแลนด์ดูแล้วเหมือนจะไม่สามารถไปได้ แต่อย่าลืมล่ะ….” อันนาชะงักไปเล็กน้อยเมื่อพูดถึงตรงนี้ “แรงดึงดูดไม่ใช่แรงที่น่าเคารพบูชาที่สุดบนโลกนี้อีกต่อไป”
“เดี๋ยว” ฟิลลิสใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะเข้าใจความหมายของคำว่า ‘กระโดดลงไป’ ที่อีกฝ่ายบอกมา “พระองค์แน่ใจนะเพคะ? ทำแบบนัั้นมันเสี่ยงมากนะเพคะ! ถ้ากระโดดลงไปแล้วไม่เป็นไรล่ะก็ มันน่าจะมีคนที่ไปถึงด้านล่างก่อนหน้าเรานานแล้วถึงจะถูก — แต่พระองค์ก็ทอดพระเนตรเห็นภาพวาดบนผนังที่เผ่ากัมมันตรังสีวาดเอาไว้แล้ว พวกมันถึงขนาดสร้างหอคอยและบันไดเอาไว้รอบๆ หลุมลึก แต่เมื่อดูจากภาพความทรงจำแล้ว พวกมันล้มเลิกความพยายามแบบนี้อย่างรวดเร็ว แสดงว่าวิธีนี้มันใช้ไม่ได้ผลไม่ใช่เหรอเพคะ!”
“ลงไปข้างล่างได้กับขึ้นไปข้างบนได้มันเป็นคนละเรื่องกัน” อันนาส่ายหัว “นี่เกรงว่าจะเป็นความหมายที่แท้จริงของ ‘คนที่มีพลัง’ ที่ผู้เฝ้ามองพูดถึง —- การลงไปข้างล่างไม่จำเป็นต้องมีกุญแจอะไร แต่ถ้าไม่สามารถเปิดสะพานลำแสงได้ ก็อาจจะไม่ได้กลับขึ้นมาตลอดกาล”
“ข้างล่างลงไปได้โดยไม่มีข้อจำกัด แต่ขึ้นไปข้างบนจำเป็นต้องใช้สะพานงั้นเหรอ…”
“ถูกต้อง ส่วนเรื่องที่จะเข้าไปยังบอทธ่อมเลสแลนด์ได้ยังไงนั้น จนถึงตอนนี้ข้ามีคิดถึงความเป็นไปได้อยู่หลายวิธี” เธอพูดต่อว่า “แต่พอได้คุยกับผู้เฝ้ามองแล้ว ข้าถึงได้มั่นใจวิธีนี้ หรือพูดอีกอย่างก็คือมีแต่วิธีนี้ถึงจะอธิบายได้ว่าทำไมมิสต์ถึงไม่พูดถึงผู้เฝ้ามองเลย — เพราะว่าเรื่องที่โรแลนด์ต้องทำมันไม่เกี่ยวข้องกับพวกมันตั้งแต่แรกแล้ว!”
“เจ้าก็เลยคิดจะโยนโรแลนด์ลงไปในหลุม?” สกายลอร์ดมีสีหน้าตกใจ
“ไม่ ข้าจะลงไปกับเขา” อันนาพูดอย่างเด็ดขาด “การถอยหลังจากนี้ข้าฝากพวกเจ้าด้วยนะ ไม่มีความจำเป็นต้องเฝ้าอยู่ที่นี่แล้ว รีบกลับขึ้นไปบนเกาะลอยฟ้าเถอะ”
ทุกคนตกอยู่ในความเงียบทันที ถึงแม้ไม่มีใครที่จะอยากทิ้งอันนาไว้ แต่ทุกคนต่างรู้ถึงนิสัยของราชินีองค์นี้เป็นอย่างดี ทันทีที่นางตัดสินใจที่จะทำอะไรแล้ว ต่อให้เป็นโรแลนด์ก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูดอะไร เฮคซอดจึงรู้ดีว่าควรทำอะไร มันพยักหน้าพร้อมกับเปิดประตูมิติบานหนึ่งขึ้นมาเหนือหลุมลึก “สาวน้อย การกระทำของเจ้าได้พิสูจน์แล้วว่าเผ่าพันธุ์ของเจ้าไม่ธรรมดา ต่อให้ล้มเหลว มันก็เป็นความล้มเหลวที่มีเกียรติ”
อันนาควบคุมไฟสีดำยกตัวโรแลนด์ที่กำลังนอนสลบขึ้นมา จากนั้นก้าวเข้าไปในประตูมิติ
หลังจากนั้น ไนติงเกลก็หายไปตัว
กว่าคนอื่นจะตั้งตัวได้ พวกเขาก็ห้ามไม่ทันแล้ว
คนสุดท้ายที่เดินเข้าไปในประตูมิติคือไซเลนท์ดิสแอสเตอร์
“เดี๋ยวๆ เจ้าจะตามเข้าไปด้วยเหรอ?” เฮคซอดขมวดคิ้ว
“ข้าเคยบอกแล้ว ตอนที่นางเข้าไปในบอทธ่อมเลสแลนด์ ข้าจะตามไปด้วย” เซโรเชสเดินข้ามประตูเข้าไปโดยไม่แม้กระทั่งหันมามอง “ไม่ว่าที่นั่นจะเป็นที่ไหนก็ตาม”
……
ในตอนที่ลำแสงกลับคืนสู้ความอ้างว้าง ความมืดก็เข้าครอบงำทุกสิ่ง หูของโรแลนด์ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา
‘มนุษย์มาจากไหน แล้วจะไปที่ไหน นี่เป็นปัญหาน่าสนใจและลี้ลับมาโดยตลอด’
เขาหันหน้ากลับไป ก่อนจะเห็นเงาตะคุ่มๆ นั้นอีกครั้ง — ข้างในของมันมีแสงอ่อนๆ ที่ดูวูบวาบสว่างขึ้นมา แล้วก็เป็น สัญญาณเพียงหนึ่งเดียวบนพื้นที่ว่างเปล่านี้ด้วย
‘มันถูกพูดถึงมาเป็นหมื่นปี แต่ละยุคสมัยล้วนแต่มีคำตอบที่ไม่เหมือนกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นคำตอบไหนก็ล้วนแต่เต็มไปด้วยสติปัญญา มันนำพาพวกเราให้เดินไปข้างหน้าเพื่อค้นหาคำตอบที่เรายังไม่รู้’
‘แต่หลังจากหมื่นปีไปแล้ว จู่ๆ คำถามนี้ก็เปลี่ยนกลายเป็นไร้ความหมาย หลังจากนั้นอีกหมื่นปีก็ไม่มีใครมาสนใจอีกว่าพวกเรามาจากไหนแล้วจะไปที่ไหน…เพราะว่าคำตอบมันได้ถูกยืนยันแล้ว การหายไปต่างหากถึงจะเป็นที่พักพิงอันเป็นนิรันด์’
มันถอนหายใจออกมา
‘โลกนี้ไม่ได้ถูกเตรียมขึ้นมาเพื่อสิ่งมีชีวิต’
‘นับตั้งแต่ตอนที่มันปรากฏขึ้นมาจนกระทั่งผ่านไปหกพันล้านล้านปี ดาวฤกษ์เข้าสู่ช่วงเสื่อมสลาย พวกมันที่เผาไหม้จนหมดถ้าไม่กลายเป็นดาวแคระก็กลายเป็นหลุมดำ จักรวาลตกอยู่ในความมืด’
‘ภายใต้การชักนำของแรงดึงดูด ดาวแคระอาจจะจุดให้สว่างขึ้นมาใหม่อีกครั้งในขณะพุ่งชน แล้วกลายเป็นดาวฤกษ์ดวงใหม่ แต่ว่านั่นเป็นแสงสุดท้ายของพวกมัน เหมือนกับโอเอซิสที่หาได้ยากในทะเลทราย’
‘อารยธรรมที่แข็งแกร่งยึดครองโอเอซิสแห่งแสง อารยธรรมอื่นๆ ได้แต่อาศัยดาวแคระที่แก่ไปเรื่อยๆ ในการเอาชีวิตรอด จนกระทั่งพลังงานสุดท้ายถูกเผาไหม้ไปจนหมด ซึ่งนี่ก็เป็นภาพที่เกิดขึ้นเมื่อสองแสนล้านล้านปี’
‘แรงดึงดูดจะกลายเป็นนายเพียงหนึ่งเดียวของโลก ดวงดาวที่ตายไปแล้วถูกดูดเข้าไปในหลุมดำ รังสีปริมาณมหาศาลทำให้มันเปล่งแสงที่สว่างเจิดจ้าออกมา จนอาจจะสว่างกว่าดาวฤกษ์เสียอีก และนั่นก็อาจจะเป็นแหล่งพลังงานเดียวในตอนนั้น’
เสียงของเงาค่อยๆ เบาลง
‘เวลาเดินต่อไปอีกหมื่นล้านล้านล้านปี ดาวแคระเองก็เกิดการเหือดแห้ง ในจักรวาลจะไม่มีดวงดาวและวัตถุอยู่อีก ผลจากการที่พลังงานกระจายไปทั่วทุกซอกทุกมุมคือทุกๆ ที่จะมีแต่ความตาย ความมืดมัด ความหนาวเหน็บ ความว่างเปล่าจะกลายเป็นทุกสิ่งของมัน — แต่สำหรับอายุขัยของจักรวาลแล้ว มันเหมือนกับเพิ่งจะเกิดขึ้นมาได้ไม่กี่วันเท่านั้น’
‘หลังจากนั้นจักรวาลจะผ่านช่วงเวลาวัยแรกรุ่น วัยผู้ใหญ่และวัยชราอันยาวนาน แต่ช่วงเวลาเหล่านี้ไม่มีความหมายแม้แต่น้อย เพราะมันไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ อยู่ในนั้น การมีอยู่ของพวกเราก็เป็นแค่เสี้ยววินาทีสั้นๆ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความไม่สมดุลของเอนโทปี เป็นผลลัพธ์ที่จักรวาลจำเป็นต้องทำการแก้ไข’
แสงสว่างให้ร่างกายของมันอ่อนแรงจนแทบจะมืดดับลง
‘….พวกเรา ไม่ไปไหนทั้งนั้น’
……………………………………………………….