Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1489 สงครามแห่งวิญญาณอีกครั้ง
ครั้งนี้ โรแลนด์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่
เขามองดูสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนบนหน้าจอนับพันนับหมื่นที่อยู่ด้านหลังอีกฝ่าย นั่นเป็นการแสดงให้เห็นถึงการหมุนเวียนจำนวนนับครั้งไม่ถ้วนในอดีตที่ผ่านมา และการที่สงครามแห่งโชคชะตาดำเนินมาจนถึงตอนนี้ก็แสดงให้เห็นว่ายังไม่มีสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ไหนที่จะออกไปใช้ชีวิตอยู่ด้านนอกม่านพลังได้
โลกนี้ถูกเรียกว่า ‘เปล’ ทั้งๆ ที่มันเต็มไปด้วยกองกระดูกและซากปรักหักพัง
“….อย่างนั้นโลกแห่งจิตสำนึกคืออะไร?” หลังผ่านไปครู๋หนึ่งเขาจึงถามขึ้นมา
“คือหัวใจสำคัญในการรักษาให้การวิวัฒนาการคงอยู่ แล้วก็เป็นแก่นกลางของเปลด้วย” พระเจ้าไม่มีท่าทีปิดบังแม้แต่น้อย “พลังเวทมนตร์จะถูกจิตสำนึกขับเคลื่อน แต่มันไม่ได้ง่ายถึงขนาดที่ว่าแค่คิดก็ทำได้แบบนั้น หลังผ่านการวิวัฒนาการมานับครั้งไม่ถ้วน พลังเวทมนตร์ก็ค่อยๆ ถูกสิ่งมีชีวิตเอาไปใช้ประโยชน์ในระดับหนึ่ง แล้วก็เปลี่ยนให้มันเป็นพลังที่อยู่ภายใต้กฎของโลกนี้ — นี่ก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าทฤษฎีของผู้สร้างนั้นถูกต้อง เพียงแต่มีความแตกต่างนิดหน่อยในวิธีการเท่านั้น”
แตกต่างนิดหน่อย…โรแลนด์เงียบไป ไม่ว่าใครก็คงจะคิดไม่ถึงว่าอาศัยแค่การครุ่นคิดจะสามารถทำให้เกิดการลดลงของเอนโทรปีได้จริงๆ เกรงว่านี่คงเป็นจุดที่น่าเหลือเชื่อที่สุดของพลังเวทมนตร์ล่ะมั้ง
“การใช้พลังเวทมนตร์ยังคงต้องใช้วิธีการและการคำนวณ เพียงแต่มันไม่สามารถเข้ากับคณิตศาสตร์และกฎธรรมชาติอื่นๆ ที่พวกเรารู้จักได้ หากไม่เป็นเพราะข้าเคยถูกพลังเวทมนตร์เปลี่ยนแปลง เกรงว่าแม้แต่จะทำความเข้าใจมันก็คงจะเป็นไปได้ยาก”
มันยื่นนิ้วมือออกมาสะบัดเล็กน้อย หน้าจอที่อยู่ด้านหลังพลันรวมเข้าด้วยกันกลายเป็นหนึ่งเดียว — บนหน้าจอนั้น ภาพลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนได้พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนจะหักเหลงมาจากม่านพลังแล้วไปรวมตัวกันที่บอทธ่อมเลสแลนด์ “ในช่วงเวลาอันยาวนาน เปลได้พบว่าถึงแม้จะมีสงครามแห่งโชคชะตา แต่สิ่งมีชีวิตต่างๆ ก็ยังใช้เวลายาวนานอย่างมากในการเติบโตและทำความเข้าใจ ถึงแม้พวกเขาจะเกิดมาในสภาพแวดล้อมที่มีเวทมนตร์แต่ต้นก็ตาม เพื่อที่จะเร่งความเร็วของกระบวนการนี้ โลกแห่งจิตสำนึกจึงเข้ามาทำหน้าที่แทนในการเปลี่ยนแปลงส่วนหนึ่ง เพื่อที่พวกเขาจะได้เพิ่มปริมาณการใช้พลังเวทมนตร์ได้เร็วขึ้น และในทางกลับกัน พลังเวทมนตร์เหล่านี้มันก็จะเปลี่ยนแปลงร่างกายของพวกเขาด้วย”
“ดังนั้นเสาลำแสงที่ถูกเรียกว่า ‘กุญแจ’ ความจริงแล้วก็คือ ‘ท่อ’ ที่ใช้ในการถ่ายโอนข้อมูลใช่ไหม?” โรแลนด์ถาม
“จะเรียกว่าท่อมันก็ไม่ถูกนัก เพราะว่าที่จริงแล้วพวกมันก็คือพลังเวทมนตร์ที่เปลี่ยนกลายเป็นข้อมูลข่าวสาร โลกแห่งจิตสำนึกจะทำการตรวจทานข้อมูลเหล่านั้นตามความปรารถนาและความคาดหวังของผู้ใช้แล้วส่งผลลัพธ์กลับไป นี่จะทำให้สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ต่างๆ รู้วิธีในการควบคุมพลังเวทมนตร์ปริมาณมหาศาลได้ในระยะเวลาสั้นๆ และทำให้ลดระยะเวลาที่ใช้ในการเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
“อย่างนั้นเจ้าก็รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในเปล—” โรแลนด์พูดเสียงต่ำ
“ถูกต้อง และนี่ก็เป็นวิธีที่จะทำให้แน่ใจว่าระบบสามารถเดินหน้าไปได้อย่างปกติ”
อย่างนี้นี่เอง…ในที่สุดคำถามที่คาใจเขาก่อนหน้านี้ก็ได้รับคำตอบแล้ว อย่างเช่นทำไมเสาลำแสงของแม่มดบางคนถึงได้ดูใหญ่กว่าแม่มดบางคนอย่างชัดเจน ถึงแม้ความสามารถของแม่มดเหล่านั้นจะดูแล้วไม่ได้แข็งแกร่งอะไร นั่นเป็นเพราะว่ามันไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับพลังที่แสดงออกมา หากแต่อยู่ที่ว่าพลังนั้นมีระดับความซับซ้อนหรือไม่ต่างหาก
ขณะเดียวกัน ความสามารถในการยิงถูกเป้าหมายของแอนเดรียและการมองเห็นอายุขัยของโมโม่ก็ไม่ใช่ความสามารถในการหยั่งรู้อนาคตหรือว่าผลลัพธ์อะไร พวกมันล้วนแต่ตั้งอยู่บนเครือข่ายข้อมูลขนาดใหญ่อันหนึ่ง เปลคอยควบคุมทุกการเคลื่อนไหวในโลก ขอเพียงมีความสามารถในการคิดคำนวณที่ยอกเยี่ยมพอ ปัจจัยที่ไม่แน่นอนอย่างปรากฏการณ์อลหม่านที่อยู่ในม่านพลังนี้ก็จะหายไป
ในตอนที่เข้าใจถึงเงื่อนไขต่างๆ ในโลกด้านนอกแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ผลลัพธ์ก็ย่อมจะปรากฏการณ์ออกมาให้เห็นอย่างแน่นอน
การที่มีระดับเทคโนโลยีสูงขนาดนี้ เขาควรจะบอกว่าสมแล้วที่เป็นอารยธรรมที่คิดจะฝืนกฎของจักรวาล
“ถ้าพูดอย่างนี้…ก็แสดงว่าโลกแห่งความฝันมันไปขัดขวางแผนการของเจ้าใช่ไหม?”
“ถูกต้อง มันไม่เพียงแต่ใช้ทรัพยากรไปเป็นจำนวนมาก แต่มันยังส่งผลต่อความเสถียรของแกนด้วย — เจ้าน่าจะสังเกตเห็นได้ว่าผู้มีพลังเวทมนตร์บนโลกกำลังลดน้อยลง นี่ล้วนแต่เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าโลกแห่งจิตสำนึกกำลังแบกรับภาระหนักเกินไป เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้โครงสร้างของเปลพังทลาย ข้าจึงจำเป็นต้องทำให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนอย่างตอนแรกสุด” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ในน้ำเสียงของพระเจ้าเหมือนมีความรู้สึกเศร้าเสียใจแฝงเอาไว้อยู่ “เด็กน้อย ดูสิว่าเจ้าทำอะไรลงไป ข้อมูลการวิวัฒนาการที่สะสมมาจนถึงตอนนี้จะหายไปจนหมด ทุกสิ่งจะกลับไปยังจุดเริ่มต้น”
ความผิดนี้มัน…หนักหนาสาหัสจนเกินว่าที่คนๆ หนึ่งจะแบกรับไหวจริงๆ
มุมปากโรแลนด์กระตุกขึ้นมา “ข้าไม่เข้าใจ ในเมื่อเจ้าสามารถสร้างเปลขึ้นมาได้ อย่างนั้นเจ้าก็ต้องควบคุมโลกแห่งจิตสำนึกทั้งหมดได้เหมือนกัน อย่างนั้นทำไมถึงไม่ทำลายโลกแห่งความฝันซะตั้งแต่แรกล่ะ?”
“เพราะว่าการวิวัฒนาการของชีวิตมันมีความเป็นไปได้ที่ไม่จำกัดน่ะสิ ถึงแม้จะอยู่ภายใต้อิทธิพลของพลังเวทมนตร์ก็ตาม” อีกฝ่ายเหมือนจะเดาออกแต่แรกว่าเขาจะถามเช่นนี้ “ข้าแบ่งทรัพยากรส่วนหนึ่งของโลกแห่งจิตสำนึกให้กับอารยธรรมแต่ละอารยธรรม ซึ่งนั่นมันก็เป็นมอบอำนาจให้กับพวกเขาได้สำรวจแกนของโลกอย่างกลายๆ การเข้าไปแทรกแซงและแก้ไขล้วนแต่อาจจะทำให้พลาดโอกาสในการวิวัฒนาการนั้นไปได้ เพื่อที่จะคงความหลากหลายของผลลัพธ์เอาไว้ การแทรกแซงใดๆ ก็ตามจึงควรจะถูกหยุดยั้ง นอกเสียจากว่ามันจะส่งผลกระทบต่อแผนการทั้งหมดและตัวเปล”
อย่างนั้นไม่ใช่ว่าพระเจ้าทำลายโลกแห่งความฝันไม่ได้ หากแต่เป็นเพราะถูกกฎพื้นฐานที่ตัวเองตั้งขึ้นมามัดแขนมัดขาเอาไว้…
“ถ้าตอนนี้ข้าอยากจะขอโทษก็คงจะไม่ทันแล้วใช่ไหม?”
มันส่ายหัว “นับตั้งแต่วินาทีที่เจ้ามาถึงที่นี่มันก็สายไปเสียแล้ว”
“แต่ข้าไม่คิดว่าการที่ชีวิตจะต่อสู้เพื่อเอาโซ่ตรวนที่อยู่บนร่างกายตัวเองออกไปนั้นเป็นเรื่องที่ผิด” โรแลนด์เลิกทำหน้าล้อเล่น ก่อนจะจ้องมองมันตรงๆ “ต่อให้มีโอกาสอีกครั้ง ข้าก็ยังจะทำเช่นนี้อยู่”
“ข้าเข้าใจ เพราะว่าพวกเจ้านั้นคิดว่าตัวเองไม่ธรรมดา สิ่งมีชีวิตที่มีปัญหาประดิษฐ์ตรรกะขึ้นมา แต่หลายๆ คนกลับไม่ทำตามตรรกะนั้น บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่พลังเวทมนตร์เกิดการสอดประสานเข้ากับพวกเจ้า”
“เลิกพูดเรื่องเข้าอกเข้าใจอะไรนั่นดีกว่า จะว่าไปแล้ว ที่นี่โดยเนื้อแท้มันก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งจิตสำนึกใช่ไหมล่ะ?” โรแลนด์ผายมือออก ก่อนจะแอบรวบรวมสมาธิ จากนั้นดาบสั้นเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา “ดูเหมือนข้าจะเดาถูกจริงๆ ด้วย — การเข้ามาในดินแดนของพระเจ้านั้นไม่ใช่ปัญหาร้ายแรงอะไรสำหรับเจ้า เพราะที่นี่เป็นดินแดนของเจ้า เจ้าจึงสามารถกำจัดผู้ที่บุกรุกเข้ามาที่นี่ได้โดยง่ายๆ มีแต่ต้องใช้การกัดกินเท่านั้นถึงจะสามารถคุกคามถึงการมีอยู่ของเจ้าได้”
“เจ้ามีความคิดอย่างนี้มาแต่แรกแล้วสินะ?” พระเจ้ายื่นนิ้วชี้มาที่โรแลนด์ “ช่างเถอะ ถึงแม้ข้าจะไม่สามารถยอมรับวิธีการของเจ้าได้ แต่ข้าก็นับถือเจ้าทีเดียว —- นอกจากจะบอกทุกสิ่งทุกอย่างให้เจ้ารู้แล้ว ข้ายังจะให้โอกาสเจ้าได้ดิ้นรนด้วย เพื่อที่เจ้าจะได้รู้ถึงความแตกต่างระหว่างเจ้ากับข้า”
พอมันพูดจบ จู่ๆ โรแลนด์พลันรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างยัดเข้ามาในสมองของเขา ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำเอาเขาร้องออกมาทันที!
สัญลักษณ์และสมการจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเขา
ทฤษฎีเอกภาพของแรก ทฤษฎีซูเปอร์สตริง กฎหลายมิติ ทฤษฎีของสรรพสิ่ง….
ความรู้ที่เคยสร้างปัญหาให้มนุษย์มาเป็นเวลานาน ตอนนี้ — มันแสดงอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ไม่ใช่เท่านี้ เขายังพบว่าตัวเองสามารถเข้าใจเนื้อหาเหล่านี้ได้ทั้งหมดด้วย เหมือนกับว่าประตูบานใหญ่มันเปิดออกตรงหน้าเขา
“โลกแห่งจิตสำนึกเคยบันทึกการต่อสู้ที่ผิดปกติเอาไว้ครั้งหนึ่ง ถ้าหากเรียกว่ามันสงครามแห่งวิญญาณล่ะก็ นั่นกลับเป็นชื่อที่เหมาะกับสถานการณ์ในตอนนี้อย่างมากทีเดียว” อีกฝ่ายค่อยๆ ลอยขึ้นไป “ในเวลานี้สมองของเจ้าได้เชื่อมต่อเข้ากับคลังความรู้ของเปลแล้ว เจ้าสามารถใช้ความรู้ที่สะสมมานับสิบล้านปีได้ตามใจชอบ แต่แน่นอน ถ้าหากเจ้าอยากยอมแพ้มันก็ไม่มีปัญหาอะไร การหล่อหลอมโลกขึ้นมาใหม่จะไม่สร้างความเจ็บปวดใดๆ ให้กับเจ้า ทุกอย่างใช้เวลาแค่เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น”
“เจ้ากำลังพูดอะไรน่ะ” โรแลนด์พูดตัดบทอย่างไม่ลังเล “ในเมื่อเจ้าให้โอกาสข้าแบบนี้แล้ว ข้าจะพลาดมันไปได้ยังไงล่ะ?”
เขาสะบัดมือทีหนึ่ง แท่นที่เขายืนอยู่กับบันไดแตกสลายไปจนหมด ภาพพื้นหลังที่เป็นสีขาวเองก็พังทลายลง เผยให้เห็นจักรวาลอันดำมืดที่มีจุดแสงส่องประกายระยิบระยับ
กองทัพเรือรบปรากฏขึ้นมาและตั้งเรียงรายยาวเหยียดอย่างเป็นระเบียบอยู่ด้านหลังเขา นั่นคือภาพที่เขาเห็นอยู่ในภาพความทรงจำของยิปซีลอน
ระบบอาวุธรูปแบบต่างๆ เล็งเป้าไปยังพระเจ้าตามเจตจำนงของโรแลนด์ ในตอนที่ความคิดโจมตีผุดขึ้นมาในหัว แสงสว่างอันเจิดจ้าก็ระเบิดขึ้นมาในอวกาศทันที!
…………………………………………………………………..