Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1493 มาจากไหน
“หรือว่า เจ้า….” โรแลนด์กะพริบตา
“ถูกต้อง” มันเหมือนได้ปลดเปลื้องภาระอันหนักอึ้งออกอย่างไรอย่างนั้น แม้แต่หางคิ้วเองก็ดูผ่อนคลายขึ้น “ว่าแต่เจ้านั่นแหละ — ข้าต้องขอบอกเอาไว้ก่อนเลยนะว่าเวลามันเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างมาก ในช่วงเวลาพันปี หมื่นปีหรือสิบล้านปีหลังจากนี้ เจ้าจะต้องเฝ้าดูเปลเล็กๆ แห่งนี้ บางทีตอนแรกเจ้าอาจจะรูัสึกว่าตัวเองมีอะไรหลายอย่างให้ค้นหา แต่ความจริงแล้วความเงียบเหงามันจะมาหาเจ้าเร็วกว่าที่เจ้าคิดไว้ แต่ถึงแม้จะเป็นเวลาสิบล้านปีมันก็ยังเป็นเวลาแค่ชั่วลัดนิ้วมือเมื่อเทียบกับจักรวาล
ผู้พิทักษ์ชะงักไปเล็กน้อย “บางครั้ง…ข้าจะรู้สึกว่าเวลามันก็เป็นพลังเวทมนตร์อย่างหนึ่ง เจ้าสัมผัสได้ถึงการไหลของมัน ขณะเดียวกันก็ถูกมันเปลี่ยนแปลงด้วย ถ้าคิดอยากจะคงความเป็นตัวเองเอาไว้ให้ได้ในช่วงระยะเวลาอันนานแสนนานนี้ เจ้าก็จำเป็นต้องละทิ้งอารมณ์ความรู้สึกส่วนใหญ่ไป มิเช่นนั้นแล้วช้าเร็วความว่างเปล่ามันจะทำให้เจ้าพังทลาย แต่แน่นอน ต่อให้เจ้าคิดถอนคำพูดตอนนี้มันก็สายไปแล้ว”
โรแลนด์มองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ — เป็นครั้งแรกที่เขามองเห็นรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าของมัน
“เจ้าจะบอกว่า สุดท้ายแล้วข้าจะกลายเป็นเหมือนเครื่องจักรงั้นเหรอ?” จากนั้นเขาก็ยิ้มขึ้นมาเล็ดน้อย “วางใจได้ ข้าไม่คิดจะอยู่ที่นี่ไปตลอดหรอก ก่อนที่ข้าจะตายด้านไป ข้าจะชิงลงมือก่อน —- แต่นั่นไม่ใช่การผิดสัญญา เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะเลือกสิ่งมีชีวิตที่เหมาะสมมาทำหน้าที่นี้แทนข้า ไม่แน่หลังจากนี้พวกเราอาจจะได้ไปเจอกันที่อีกด้านหนึ่งของจักรวาลก็ได้”
ผู้พิทักษ์พูดอย่างไม่ใส่ใจ “เรื่องนั้นมันก็ต้องรอให้เจ้าอยู่รอดไปถึงตอนนั้นก่อนค่อยว่ากัน”
“เออใช่ ในเมื่อเจ้าเป็นแก่นกลางของเปล แล้วเจ้าจะออกไปจากที่นี่ได้เหรอ?” จู่ๆ โรแลนด์พลันคิดถึงปัญหาสำคัญขึ้นมา “ไม่ใช่ว่าพอเจ้าไปแล้ว โลกนี้มันก็พังทลายลงนะ?”
“แสดงว่ากระทั่งเรื่องที่เป็นพื้นฐานแบบนี้เจ้าก็ยังไม่รู้เลย แต่กลับมาคุยโวต่อหน้าข้าเนี่ยนะ?” มันถลึงตากลับมาเหมือนไม่อยากจะเชื่อ “ก่อนอื่น ระบบที่ดีนั้นล้วนแต่มีการสำรองข้อมูลอยู่ นับประสาอะไรกับข้าที่เป็นผลงานที่เกิดขึ้นจากการรวมกันของสุดยอดเทคโนโลยีของอารยธรรมนับหมื่นนับพัน”
“อันดับต่อมา จริงอยู่ที่หน่วยความจำของเปลนั้นมีขนาดใหญ่ แล้วก็ไม่สะดวกในการเคลื่อนย้าย แต่สิ่งมันบันทึกเอาไว้ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นข้อมูลนับตั้งแต่ที่เริ่มแผนการเกตเวย์มา รวมไปถึงการคัดเลือกคุณลักษณะพิเศษของเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิตและกระบวนการวิวัฒนาการด้วย ข้าไม่จำเป็นต้องเอาหน่วยความจำเหล่านี้ไปด้วย ใช้แค่เพียงแค่ข้อมูลส่วนที่ตั้งแต่ข้าเกิดมาจนมาถึงตอนนี้ก็พอ”
“สุดท้าย ทันทีที่เชื่อมต่อเข้ากับคลังความรู้แล้ว เขาก็จะเข้าใจวิธีการทำงานของเปลเอง ขอเพียงเจ้าจัดการไปตามปกติ มันก็จะทำงานด้วยตัวเองไปได้หลายหมื่นปี แต่ถ้าอยากจะให้มันทำงานแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เจ้าก็ต้องตั้งใจดูแลมันให้ดี —- เพราะเปลนั้นไม่เสียหายง่ายๆ แต่สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในนั้นมันก็ไม่แน่”
“แบบนี้ข้าก็สบายใจแล้ว” โรแลนด์ค่อยๆ ถอนใจออกมา ในที่สุดร่างกายที่ยืนหยัดมาจนถึงตอนนี้ก็ผ่อนคลายลง
เห็นๆ อยู่ว่าเพิ่งผ่านมาไม่นาน แต่สีหน้าของอีกฝ่ายกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่เพียงแต่จะแสดงสีหน้าที่ไม่พอใจออกมาบนใบหน้า กระทั่งน้ำเสียงก็ฟังอวดดีขึ้นกว่าตอนแรก — นี่ทำให้มันยิ่งเหมือนสิ่งมีชีวิตมากขึ้น
“ฉวยโอกาสตอนที่ข้ายังอยู่นี่ เจ้าอยากจะถามอะไรก็รีบถามมาเถอะ” ผู้พิทักษ์พูดพร้อมกอดอก
“เอ่อ…เร็วขนาดนี้เลยเหรอ?”
“เจ้าไม่สังเกตเห็นหรือว่าการใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งจิตสำนึกมันสร้างภาระอย่างมากให้กับเจ้า?” มันพูดพร้อมยักไหล่ “ถ้าเจ้าอยากจะทำให้เจ้ายังคงเป็นเจ้าหลังจากหลอมรวมจิตสำนึกแล้วล่ะก็ ข้าว่าเจ้าควรจะเริ่มเร็วหน่อยดีกว่า”
มุมปากโรแลนด์กระตุกขึ้นมา ดูเหมือนี่ตัวเลขสีแดงบนหัวตัวเองลดลงไปอย่างผิดปกติมันจะเกี่ยวข้องกับโลกแห่งความฝันจริงๆ ด้วย เขาครุ่นคิดอย่างละเอียดอยู่ครู่ สุดท้ายจึงพูดขึ้นมาว่า “เจ้าเคยได้ยิน…ดาวที่ชื่อโลกบ้างไหม?”
ครั้งนี้มันใช้ภาษาของตัวเอง
ผู้พิทักษ์หลับตาไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังค้นหาข้อมูลอะไรบางอย่าง “อืม…ดวงดาวที่ออกเสียงเหมือนกันมีทั้งหมด 3,251 ผลลัพธ์ แต่เมื่อดูจากลักษณะของเผ่าพันธุ์บนดวงดาวแล้ว ดาวที่เจ้าถามน่าจะเป็นดาวเคราะห์หินที่ตั้งอยู่ขอบนอกของทางช้างเผือกหมายเลขสาม”
“ตอนนี้มันเป็นยังไงบ้าง?” โรแลนด์รีบถาม
“ตอนนี้? ก็ต้องหายไปหลังจากที่รอยแตกเปิดออกสิ จากข้อมูลที่บันทึกเอาไว้ ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเดินทางออกไปถึงขอบกาแล็คซี่ ในคลังข้อมูลก็มีข้อมูลของเผ่าพันธุ์นี้อยู่” เมื่อพูดถึงตรงนี้มันพลันตกตะลึงขึ้นมาทันที จากนั้นมันมองไปทางโรแลนด์อย่างตกใจ “เดี๋ยวๆ นั่นมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 4 ล้านปีกว่า ถ้าเจ้าเกิดในเปลแห่งนี้ ทำไมเจ้าถึงรู้เรื่องดาวดวงนี้ได้?”
“ความจริงแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ทำให้ข้าปวดหัวมาโดยตลอดเหมือนกัน…” เขายิ้มแห้งๆ พร้อมเล่าเรื่องที่มาของตัวเองออกมาอย่างคร่าวๆ
“มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วยเหรอเนี่ย” ผู้พิทักษ์ทำสีหน้าสนใจขึ้นมา “ที่แท้การไหลของแรปปิ้งไทม์ก็ไม่ได้เหมือนกันทั้งหมดเหรอเนี่ย….”
“การไหล….อะไรนะ?”
“คือแบบนี้” มันผายมือทั้งสองข้างพร้อมอธิบาย “เจ้าน่าจะเคยได้ยินแนวคิดเรื่องจักรวาลคู่ขนานใช่ไหม — ในตอนที่มีไดเวอร์เจนท์ที่มีความรุนแรงมากพอปรากฏขึ้นมา มันก็จะนำพาโลกไปในสองทิศทาง และอัตราความเร็วในการเปลี่ยนแปลงของแต่ละโลกก็จะถูกเรียกว่าแรปปิ้งไทม์ ส่วนเวลาที่เจ้าสามารถสัมผัสได้นั้น อันนั้นเรียกว่าออฟเซิร์ฟวิ่งไทม์ แต่เนื่องจากผู้สังเกตการณ์ที่เสนอแนวคิดนี้ขึ้นมามักจะอยู่ในโลกใดโลกหนึ่ง ดังนั้นแนวคิดนี้จึงเป็นแนวคิดที่อยู่แค่บนกระดาษเท่านั้น”
“ความหมายของเจ้าคือ—” โรแลนด์ทำสีหน้าประหลาดใจ
“ถูกต้อง บางทีพลังงานอันรุนแรงที่เกิดจากแผนการเกตเวย์อาจจะเห็นต้นเหตุที่ทำให้เจ้ามาที่นี่ ก็เหมือนกับแผ่นเยื่อที่ขนานกันเกิดการทับซ้อนกันในช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากที่่เกิดการปะทะ — ไดเวอร์เจนท์อันนี้ทำให้จักรวาลของพวกเราเปลี่ยนไปเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งถูกพลังเวทมนตร์เข้าท่วม อีกส่วนหนึ่งก็เสียหายจากแผนการเกตเวย์ที่ล้มเหลว ส่วนจักรวาลยังคงเหมือนเดิม อยู่แต่เนื่องจากความแตกต่างของการไหลของแรปปิ้งไทม์จึงทำให้เจ้าดูเหมือนว่าข้ามเวลามาหลายสิบล้านปี แต่ความจริงแล้วทั้งสองกลับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน”
“เอ่อ….เข้าใจยากแฮะ” โรแลนด์นวดขมับ “แต่แบบนี้มันก็แสดงให้เห็นว่ามันมีวิธีการบางอย่างที่สามารถเชื่อมจักรวาลที่ขนานกันเข้าไว้ด้วยกันได้ใช่หรือเปล่า?”
“เจ้าจะคิดแบบนี้ก็ได้ เพราะว่านี่ก็เป็นดินแดนที่แม้แต่ผู้สร้างก็ยังไม่เคยย่างกรายเข้าไป” ผู้พิทักษ์เหมือนจะค่อนข้างสนใจกับคำพูดนี้ “เมื่อมองจากทฤษฎีแล้ว จักรวาลคู่ขนานกับพหุจักรวาลนั้นเป็นสองแนวคิดที่สามารถอยู่ด้วยกันได้ แต่ความจริงแล้วจักรวาลคู่ขนานมันพิสูจน์ได้ยากกว่าพหุจักรวาล แต่ในเมื่อเจ้ามาแล้ว ไม่แน่นี่อาจจะเป็นวิธีที่ทำให้จักรวาลไม่ต้องเดินไปสู่ความอ้างว้างก็ได้ เพียงแต่สำหรับข้าแล้ว ปัญหานี้มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว ให้เจ้าเป็นคนศึกษามันต่อไปดีกว่า”
พอพูดจบมันก็โบกมือ ก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังปลายสุดของพื้นสีขาว — ตรงนั้นมีประตูเล็กๆ บานหนึ่งปรากฏขึ้นมา ส่วนอีกด้านหนึ่งของประตูนั้นเป็นสีแดง
จากนั้นตรงหน้าโรแลนด์พลันมีภาพคนจำนวนมากปรากฏขึ้นมา
รูปร่างหน้าตาของพวกมันแตกต่างกันร้อยแปดพันเก้า โดยมีทั้งมนุษย์และปีศาจอยู่ในนั้นด้วย ภาพคนที่ดูโปร่งแสงเหล่านี้ก้าวเดินไปทางผู้พิทักษ์อย่างรวดเร็ว ก่อนจะทยอยรวมร่างเข้ากับมัน
ในบรรดาภาพคนที่เป็นมนุษย์ เขามองเห็นมิสต์ ยิมซีลอน และเทวทูตที่เขาได้เคยเจอหน้าพวกนั้น—
ยิปซีลอนโบกมือลาเขา สีหน้าของเธอดูมีความสุขความมาก เห็นได้ชัดว่าเธอได้รับคำตอบที่ตัวเองต้องการแล้ว
ส่วนมิสต์หยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขาครู่หนึ่งพร้อมกับขยับปากขึ้นลง
เมื่อดูจากรูปปากแล้ว เธอกำลังพูดว่า ‘ขอบคุณ’
ในตอนที่ภาพคนทุกคนซ้อนทับเข้ากับตัวผู้พิทักษ์แล้วเดินไปยังประตูสีแดงบานนั้น อวกาศที่เป็นสีขาวพลันพังทลายลงเป็นชิ้นๆ — สิ่งที่พังทลายลงยังมีร่างกายของโรแลนด์ด้วย แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดหรือความผิดปกติใดๆ เขารู้สึกเพียงแค่ร่างกายเบาสบาย เหมือนกับได้ปลดเอาเปลือกที่หนักอึ้งออกอย่างไรอย่างนั้น ข้อมูลจำนวนมหาศาลหลั่งไหลเข้ามาในหัวสมองของเขาเหมือนกับสายน้ำ เขาเหมือนมีดวงตาจำนวนนับไม่ถ้วนเพิ่มขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นจักรวาลอันกว้างใหญ่ที่อยู่ดอกม่านพลังหรือว่าโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่อยู่ในม่านพลังก็ล้วนแต่ปรากฏอยู่ในหัวของเขา
เขาได้กลายเป็นเปลแล้ว
…………………………………………………………….