Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1497 ภาพที่เปลี่ยนไปจากเดิม
ภายใต้แสงแดดยามบ่าย สายลมอันอ่อนโยนพัดผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง เอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะปลิวตามสายลมขึ้นมา ปลายผมของทิลลีเองก็เหมือนกัน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเส้นผมที่น่ารำคาญมากระทบถูกดวงตาของเธอหรือเป็นเพราะสาเหตุอื่น จู่ๆ เธอพลันรู้สึกเหมือนน้ำตารื้นขึ้นมาในกระบอกตา แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เธอก็ยังไม่กล้าที่จะหลับตา ด้วยกลัวว่าภาพที่อยู่ตรงหน้าจะหายไป
ส่วนอีกฝ่ายก็เหมือนจะไม่คิดให้เธอได้มีโอกาสตกตะลึง
ผู้มาเยือนทิ้งสัมภาระ ก้าวยาวๆ อ้อมโต๊ะไม้สีแดง จากนั้นจึงกางแขนโอบกอดเธอเอาไว้ในอ้อมอก
ความรู้สึกที่จริงและหนักแน่นทะลุผ่านเสื้อผ้าออกมา นี่ทำให้ทิลลีรู้ว่า สิ่งที่เธอมองเห็น…บางทีอาจจะไม่ใช่ความฝัน
“แอช…เชส?”
“หม่อมฉันเอง” แอชเชสพูดข้างๆ หูของเธอ “ไม่เจอกันนานนะเพคะ”
ในตอนที่อีกฝ่ายเปล่งเสียงออกมา ดวงตาของทิลลีพลันพร่ามัว
เหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างที่ถูกกดทับเอาไว้มาเป็นเวลานาน แล้วในที่สุดมันก็มีโอกาสได้ระบายออกมา
ถึงแม้เธอจะรู้ว่าแบบนี้มันทำให้เธอเสียภาพลักษณ์ แต่เธอกลับไม่คิดที่จะหยุดมัน — เมื่ออยู่ต่อหน้าแอสเชส เธอไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร ไม่ว่าจะเป็นตอนที่มีความสุขหรือว่าเศร้าเสียใจ
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ก็ไม่ได้เสียใจ
ไม่เลยแม้แต่น้อย
แอสเชสลูบผมของเธออย่างอ่อนโยน แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายได้ระบายอารมณ์ออกมา ทั้งสองคนกอดกันอยู่ท่านี้ โดยปล่อยให้แสงแดดปกคลุมทั้งสองคนเอาไว้
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ ทิลลีจึงสงบสติอารมณ์ลงได้
เธอเช็ดคราบน้ำตาที่แก้มก่อนจะถลึงตามองแอชเชส “หลังสงครามแห่งโชคชะตามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมเจ้าเพิ่งกลับมาตอนนี้? หลายปีมานี้พี่ชายข้ามัวไปทำอะไรอยู่?”
อีกฝ่ายยิ้มพร้อมกับลูบแก้มที่แดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย “วางใจได้เพคะ หม่อมฉันจะทูลพระองค์ทุกอย่างที่หม่อมฉันรู้ ทูลตามตรง หม่อมฉันเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะได้เจอกับโรแลนด์อีกครั้ง — ในโลกแห่งความฝัน”
จากนั้นแอชเชสก็เล่าเรื่องหลังจากที่ตัวเองตื่นขึ้นมาอย่างละเอียด
จากที่โรแลนด์บอกมา ถึงแม้เขาจะได้สิทธิ์ในการควบคุมเปลแล้ว แต่การค้นหาจิตสำนึกของแม่มดคนหนึ่งในคลังความทรงจำของอารยธรรมนั้นก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นร่างกายของเธอก็ไม่อยู่แล้ว เมื่อคิดถึงว่าต้องพยายามคืนร่างแอชเชสให้เหมือนเดิมมากที่สุด ด้วยเหตุนี้แอชเชสถึงต้องอยู่ในโลกแห่งจิตสำนึกเป็นเวลานาน
ในกระบวนการนี้ เธอจากที่เป็นเศษชิ้นส่วนที่กระจัดกระจายได้ค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมาเป็นตัวเองอย่างในตอนแรก แต่เมื่อคิดถึงว่าในกระบวนการปรับตัว จิตสำนึกเองก็กำลังเติบโตเหมือนกัน ด้วยเหตุนี้แอชเชสจึงไม่แน่ใจว่าตัวเธอในตอนนี้มันจะต่างกับตัวเธอในอดีตมากเท่าไร
ส่วนเรื่องร่างกายนั้นถูกสร้างขึ้นมาโดยอิงจากความทรงจำทั้งหมด ถึงแม้โรแลนด์หวังว่าจะสามารถทำการทดสอบดูก่อนซักสองสามครั้งค่อยทำการเชื่อมต่อจิตสำนึกกับร่างกาย แต่เธอกลับไม่อยากจะรออีกต่อไปแล้ว ที่โชคดีก็คือกระบวนการรวมร่างนั้นประสบความสำเร็จด้วยดี ในตอนที่เธอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เธอก็ยืนอยู่บนเกาะบอทธ่อมเลสแลนด์แล้ว
“เพราะแบบนี้บาดแผลบนหน้าเจ้าก็เลยหายไปด้วยงั้นเหรอ?” ทิลลีถาม
“เอ่อ…” ครั้งนี้เป็นแอชเชสที่กระอักกระอ่วนใจขึ้นมาเล็กน้อย “เมื่อก่อนหม่อมฉันคิดว่ามันสามารถช่วยย้ำเตือนหม่อมฉันให้ระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ยังเพิ่มความน่าเกรงขามได้ในเวลาต่อสู้ ดังนั้นหม่อมฉันก็เลยปล่อยมันเอาไว้อย่างนั้น แต่ตอนนี้…เราไม่จำเป็นต้องออกไปฆ่าฟันแล้ว หม่อมฉันเลยคิดว่าพระองค์…บางทีอาจจะ…”
เมื่อเห็นท่าทางอึกๆ อักๆ ของอีกฝ่าย ทิลลีพลันหลุดขำขึ้นมา “ข้าไม่ปฏิเสธ แต่นั้นไม่ใช่ว่าจะกลายเป็นเหตุผลที่ข้าชอบเจ้า เสื้อผ้าอันนี้ก็เป็นชุดที่เจ้าใส่อยู่ในโลกแห่งความฝันใช่ไหม?”
“อ่าฮะ ไม่ใช่แค่เสื้อผ้าเพคะ ยังมีเงินแล้วก็สัมภาระด้วย — โรแลนด์บอกว่าการสร้างของพวกนี้ขึ้นมามันง่ายกว่าการฟื้นความทรงจำขึ้นมาใหม่เยอะ”
หลังสองคนสบตากันอยู่ครู่ จากนั้นแอชเชสจึงพูดขึ้นมาว่า “หม่อมฉันไม่รู้ว่าในตอนที่ล่องลอยโดยไม่มีการรับรู้นั้น ตัวหม่อมฉันได้สูญเสียอะไรไปบ้าง แล้วก็เมื่อเทียบกับตัวหม่อมฉันในอดีตแล้ว หม่อมฉันในตอนนี้ใช้แอชเชสที่อยู่ในใจพระองค์หรือเปล่า แต่มีเรื่องหนึ่งที่หม่อมฉันแน่ใจได้ นั่นก็คือความรู้สึกที่อยากจะเจอพระองค์มันไม่เคยลดลงเลยแม้แต่น้อย—”
ทิลลียื่นมือขัดจังหวะเธอ “ข้าขอยืนยันแทนเจ้าว่าเจ้ายังคงเป็นแอชเชสคนเดียวกับในอดีต ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย”
แอชเชสนิ่งไปครู่ ก่อนจะทำสีหน้าเหมือนโล่งใจออกมา
“เออใช่ อันนากับไนติงเกลล่ะ ตอนสงครามจบลงพวกนางยังกลับมาที่ฐานอยู่เลย ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้พี่ชายข้าเป็นยังไงบ้าง? หรือว่าหลังจากนี้เขาไม่สามารถออกมาจากโลกแห่งจิตสำนึกได้แล้ว?” ทิลลีผลักตัวเองออกมาจากอ้อมอกอีกฝ่าย ก่อนจะเปลี่ยนประเด็น
“ตอนนี้โรแลนด์ไม่ได้อยู่ในโลกแห่งจิตสำนึก หากแต่เขาคือโลกนี้เพคะ จริงอยู่ที่เขาไม่สามารถออกมาจากแกนของเปลได้ แต่อันนากับไนติงเกลกลับสามารถกลับมาได้ทุกเมื่อ เพียงแต่ว่า..” เมื่อพูดถึงตรงนี้ แอชเชสพลันกระแอมเล็กน้อย “ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ได้หรือไม่ได้ หากแต่อยู่ที่อยากหรือไม่อยาก สรุปแล้วก็คือ โรแลนด์ใช้ชีวิตดีกว่านี่พระองค์คิดเอาไว้เพคะ พระองค์ไม่ต้องเป็นกังวลถึงเขาหรอกเพคะ”
“อย่างนั้น…เหรอ?” ทิลลีพูดอย่างสับสน
“ใช่เพคะ ลืมเจ้านั่นไปเถอะเพคะ เขาไม่คู่ควรให้พระองค์เป็นกังวลหรอกเพคะ” แอชเชสยักไหล่ จากนั้นก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เธอหมุนตัวไปหยิบเอกสารปึกหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเดินทาง “นอกจากนี้โรแลนด์ยังฝากอะไรบางอย่างมาให้พระองค์ด้วยเพคะ”
ทิลลีหน้าคร่ำเคร่งทันที “คงไม่ใช่ว่ามีหน้าที่ใหม่มาสั่งให้ทำหรอกนะ?”
“เรื่องนี้พระองค์ทรงไม่ต้องจัดการเองเพคะ” แอชเชสอธิบาย “พวกนี้เป็นสิ่งที่เขาสร้างออกมา ส่วนใหญ่พวกมันใช้สำหรับเปิดอุโมงค์ที่เชื่อมต่อระหว่างโลกแห่งความฝันกับโลกแห่งความจริงขึ้นมาใหม่เพคะ”
ในการเข้าไปในโลกแห่งความฝันก่อนหน้านี้ล้วนแต่ต้องอาศัย ‘เสาลำแสง’ ของโรแลนด์ และเนื่องจากเขาขาดการติดต่อไป เหล่าแม่มดอาญาสิทธิ์จึงไม่สามารถเข้าไปผ่อนคลายในโลกแห่งความฝันได้เหมือนอย่างเมื่อก่อน ถ้าไม่เป็นเพราะรู้ว่าเขาเพียงแค่จากไปชั่วคราว เกรงว่าแค่แม่มดทาคิลานี้ก็คงเป็นปัญหาใหญ่แล้ว
ในที่สุดตอนนี้ก็มีวิธีแก้ไขปัญหาเสียที ทิลลีอดรู้สึกโล่งใจแทนเหล่าแม่มดโบราณไม่ได้
เมื่อดูจากสัญลักษณ์และลวดลายแปลกๆ ที่อยู่บนเอกสารแล้ว เป็นไปได้สูงว่านี่จะเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์ชนิดใหม่
“เดี๋ยวข้าเรียกอกาธามาดู” หลังโทรศัพท์หาอกาธาเสร็จ คิ้วของทิลลีพลันเลิกขึ้นมาเล็กน้อย “เออใช่ แล้วตอนนั้นมีแม่มดโบราณสองสามคนที่ติดอยู่ในโลกแห่งความฝันพร้อมกับพี่ชายด้วยใช่ไหม? ร่างกายของพวกนางตอนนี้ใช้การไม่ได้แล้ว”
“เรื่องนี้โรแลนด์เองก็คิดเอาไว้เหมือนกัน ความจริงแล้วเรื่องต่อไปที่เขาจะทำก็คือออกแบบร่างใหม่ให้กับเหล่าแม่มดอาญาสิทธิ์ มันไม่เพียงแต่จะใช้เป็นภาชนะบรรจุวิญญาณได้ แต่มันยังทำให้ความสามารถในการรับรู้ต่างๆ กลับมาเป็นปกติด้วยเพคะ” แอชเชสพยักหน้า “แต่เรื่องนี้ไม่อาจพึ่งพาเปลเพียงอย่างเดียวได้ เมืองเนเวอร์วินเทอร์จะต้องเข้ามามีส่วนรวมด้วย จนกว่าจะสามารถสร้างเทคโนโลยีแบบนี้ขึ้นมาได้”
“ข้าเชื่อว่าพวกเซลีนจะต้องเต็มใจอย่างมากแน่นอน” ทิลลีอมยิ้มขึ้นมา
“แล้วพอจัดการเรื่องพวกนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะเป็นเรื่องสุดท้าย” แอชเชสพูดต่อว่า “ครั้งนี้โรแลนด์เหมือนจะคิดทำอะไรที่มันยิ่งใหญ่มากกว่านั้น นอกจากจะทำให้แม่มดสามารถเข้าไปสัมผัสกับโลกแห่งความฝันได้แล้ว เขายังคิดจะทำให้คนจากโลกนั้นเข้ามาที่นี่ด้วยเพคะ เจ้านั่นเรียกแผนการนี้ว่าแผนการเกตเวย์ใหม่เพคะ”
ทิลลีอ้าปากค้างอย่างตกใจ
เธอเข้าใจถึงเป้าหมายของโรแลนด์ทันที ทันทีที่กลุ่มคนที่เชี่ยวชาญในเทคโนโลยีกับกลุ่มที่เชี่ยวชาญในเรื่องพลังเวทมนตร์เกิดการปฏิสัมพันธ์กัน มันจะต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือแน่นอน
มันจะต้องผลักดันการพัฒนาของอารยธรรมได้อย่างรวดเร็ว แต่มันก็จะทำให้เกิดปัญหาหลายๆ อย่างด้วย เมื่อคิดถึงว่าคนที่ต้องเผชิญกับปัญหาเหล่านั้นคือตัวเอง ทิลลีก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
“ข้าไม่น่ารับตำแหน่งนี้มาเลยจริงๆ” เธอมุ่ยปากบ่นออกมา
“แต่หม่อมฉันกลับคิดว่าต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ พระองค์ก็ยังจะรับปากเขาอยู่ดีเพคะ” แอชเชสถอยหลังไปก้าวหนึ่ง จากนั้นจึงคุกเข่าลงพร้อมกับยกมือขึ้นมาทาบที่หน้าอกเหมือนกับอัศวิน “พระองค์ทรงทำหน้าที่ได้ดีกว่าที่ตัวเองคิดไว้ ฝ่าบาทของหม่อมฉัน ตอนนี้พระองค์คือราชาที่ดีแล้วเพคะ”
ทิลลีจ้องมองเธออยู่ครู่ จากนั้นจึงค่อยๆ ยื่นมือออกไป “อย่างนั้นเจ้ายินดีที่จะคอยเดินอยู่ข้างกายข้าไหม?”
“แน่นอนเพคะ” แอชเชสตอบอย่างหนักแน่น “นี่คือเกียรติของหม่อมฉันเพคะ”
ถูกต้อง เทียบกับเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้แล้ว เรื่องราวต่างๆ ที่วางกองอยู่บนโต๊ะไม่เพียงแต่จะไม่ลดน้อยลง ในทางกลับกัน มันกลับเยอะขึ้นกว่าเดิมด้วย
แต่เธอกลับไม่ได้หงุดหงิดเมื่ออย่างก่อนหน้านี้แล้ว
เพราะว่าครั้งนี้ ภาพที่อยู่รอบกายเธอมันได้เปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว
…………………………………………………………..