Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 991
หลังโซอี้บอกลาโรแลนด์ เธอก็นำเหล่าแม่มดอาญาสิทธิ์กลับมายังเมืองชายแดนที่สาม
หลังจากการกับปีศาจระดับสูงเสร็จเรียบร้อย เธอก็เดินตามอาลิเธียเข้าไปยังห้องลับที่อยู่ส่วนลึกใต้ดินห้องหนึ่ง คนที่รออยู่ในห้องนั้นยังมีพาซาร์กับเซลีนอยู่ด้วย
เห็นได้ชัดว่ายังมีเรื่องอื่นที่สำคัญสำหรับพวกเธอมากกว่าร่างมีชีวิตของปีศาจที่จับมาได้
‘เจ้าคิดว่าไง’ หลังปิดประตูหินอันหนักอึ้งลง อาลิเธียก็รีบมายืนอยู่ตรงหน้าเธอทันที ‘พวกเราชนะได้ไหม?’
“พวกเราก็ชนะแล้วไม่ใช่เหรอ?” โซอี้พูดพร้อมผายมือออก
อาลีเธียใช้หนวดเขกหน้าผากของเธออย่างหงุดหงิด ‘เจ้ารู้ว่าข้ากำลังถามอะไร เลิกล้อข้าเล่นได้แล้ว’
ในฐานะที่เป็นอมนุษย์ที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวของทาคิลา ความสัมพันธ์ของเธอกับแม่มดระดับสูงขึ้นค่อนข้างใกล้ชิดกว่าคนอื่น
ถึงแม้หลังจากที่สมาพันธ์ล่มสลายลงไปแล้ว แม่มดที่เหลือรอดจะถือหลักการว่า ‘แม่มดทุกคนมีความสำคัญเท่ากัน’ แต่จริงๆ แล้วลำดับชั้นในอดีตยังคงส่งผลกระทบอยู่ไม่มากก็น้อย
‘ในเมื่อเจ้าดูสบายใจแบบนี้ ข้าว่าน่าจะเป็นคำตอบที่ดีสินะ’ พาซาร์พูดยิ้มๆ
“ความจริง…ข้าไม่มั่นใจ” เมื่อเห็นพาซาร์พูดขึ้นมา โซอี้จึงจริงจังขึ้นมาทันที “เกรงว่าปีศาจในตอนนี้จะไม่เหมือนกับศัตรูที่เราเคยเจอเมื่อ 400 ปีก่อนแล้ว ไม่เพียงแต่ในเรื่องการใช้พลังเวทมนตร์เท่านั้น แต่พวกมันยังมีปีศาจชนิดใหม่ปรากฏตัวออกมาด้วย” จากนั้นเธอก็เล่าเรื่องการรบทั้งหมดออกมาอย่างละเอียด “เรียกว่า…ความคิดของท่านอควาเรียสนั้นไม่ผิด แต่ถ้าทำตามแผนของนาง มนุษย์จะต้องแพ้อย่างแน่นอน”
เรื่องจริงที่เกิดขึ้นนั้นได้พิสูจน์ให้เห็นว่าแม่มดอาญาสิทธิ์นั้นเป็นอาวุธที่ใช้ต่อกรกับปีศาจระดับสูงได้จริงๆ แต่น่าเสียดาย เพราะถ้าอาศัยพวกนางเพียงอย่างเดียวนั้นยากที่จะสู้กับศัตรูแบบซึ่งๆ หน้าในสนามรบได้ ร่างกายที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเวทมนตร์ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บ เมื่ออยู่ต่อหน้าอาวุธชนิดใหม่ของปีศาจ ความได้เปรียบของแม่มดอาญาสิทธิ์นั้นจะไม่มีความหมายอีกต่อไป เมื่อแนวหน้าในสนามรบไม่สามารถฝ่าเข้าไปหาศัตรูได้ แผนการของราชินีสตาร์ฟอลก็จะไร้ประโยชน์
หลังทำการยืนยันในเรื่องนี้แล้ว พาซาร์กลับดูเหมือนรู้สึกโล่งใจขึ้นมา ราวกับว่าเธอได้ปลดเปลื้องภาระอันหนักอึ้งทิ้งไป ‘อย่างนี้ก็หมายความว่าพวกเราเลือกติดตามคนถูกสินะ ท่านนาตาย่าตัดสินใจได้ถูกต้อง นี่ช่างเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ….’
‘ใช่ ดีจริงๆ….’ เซลีนเองก็พูดเสียงเบาๆ ขึ้นมา เสียงของเธอฟังดูเหมือนจะสะอื้นเล็กน้อยด้วย สำหรับแม่มดที่มีชีวิตอยู่มา 400 กว่าปีแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ
แต่ในเวลานี้โซอี้กลับรู้สึกเห็นใจพวกเธอขึ้นมา
ตอนที่แม่มดระดับสูงจำนวนมากในสมาพันธ์ต่างให้การสนับสนุนอควาเรียส พวกเธอกลับเลือกที่จะยืนอยู่ข้างนาตาย่าเพราะความคิดที่แตกต่างกัน สุดท้ายพวกเธอก็ต้องมาสู้กันเองจนกระทั่งฐานรากของสมาพันธ์แตกสลาย
โซอี้จำไม่เคยลืม เพื่อนร่วมรบในกองทัพผู้พิทักษ์ศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งที่บาดเจ็บสาหัสด้วยฝีมือของเธอนอนอยู่ในอ้อมอกเธอ พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงขาดๆ หายๆ ว่า “พวกเจ้าเป็นคนทำลายทุกสิ่ง”
นับแต่นั้นเป็นต้นมา ภายในใจเธอก็เหมือนมีหินก้อนใหญ่คอยกดทับเอาไว้อยู่
ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว
สิ่งที่น่ากลัวคือการตามหาความหวังอันริบหรี่ในความมืด โดยที่แบกความไม่เข้าใจและการเหยียดหยามของเพื่อนเอาไว้บนหลัง
ถ้าพวกเธอแพ้ นั่นก็หมายความว่าพวกเธอได้ทำลายความเป็นไปได้หนึ่งเดียวที่จะทำให้แม่มดมีชีวิตอยู่รอดต่อไปลง โทษที่หนักขนาดนั้นไม่ใช่สิ่งที่ความตายจะชดใช้ได้เลย
และก็เป็นเพราะความคิดเช่นนี้ ทุกคนถึงได้อดทนที่จะอยู่ในร่างที่ไร้ความรู้สึกมาจนถึงตอนนี้
ตอนนี้แผนของอควาเรียสได้ถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นการเดินในทิศทางที่ผิดพลาด พวกเธอย่อมต้องรู้สึกถึงความหลุดพ้นที่ไม่ได้รู้สึกมาเป็นเวลานาน ถึงแม้สุดท้ายมนุษย์จะยังคงถูกทำลายไปจนหมด แต่อย่างน้อยชะตาชีวิตของผู้ที่อยู่รอดก็คงไม่ได้น่าเศร้าขนาดนั้น
‘ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ท่านนาตาย่าก็แค่ถือว่าเสมอกับราชินีสตาร์ฟอลเท่านั้น’ อาลิเธียลูบจมูกที่ไม่มีอยู่แล้วของตัวเอง ‘พวกเรายังคว้าชัยชนะสุดท้ายมาไม่ได้ มาดีใจกันตอนนี้มันจะเร็วเกินไปหน่อยหรือเปล่า’
‘วางใจได้ อยู่ในสภาพนี้แล้ว ต่อให้ร้องไห้ก็ไม่มีใครเห็นหรอก’
‘พาซาร์!’
โซอี้ส่ายหัวยิ้มๆ “ข้ายังพูดไม่จบ…ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่สามารถมั่นใจได้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะในสงครามแห่งโชคชะตา แต่อย่างน้อยข้าก็มองเห็นความหวัง”
แม่มดระดับสูงทั้งสามเงียบทันทีเมื่อเธอพูดคำนี้
ในการเสาะหาท่ามกลางความมืดมา 400 ปี ความหวังคือสิ่งที่พวกเธอปรารถนามากที่สุด ไม่มีใครรู้ว่าผู้ถูกเลือกนั้นมีอยู่จริงหรือไม่ แต่พวกเธอก็จำเป็นต้องค้นหาต่อไป ความสับสนที่ไร้เป้าหมายเช่นนี้ได้วนเวียนอยู่ในจิตใจของพวกเธออยู่ตลอดเวลา ยิ่งมีชีวิตยาวนาน ความทุกข์ทรมานก็ยิ่งรุนแรง ตอนแรกทุกคนยังคุยกันถึงเรื่องความสามารถของผู้ถูกเลือก แล้วก็อายุกับรูปร่างหน้าตาที่น่าจะเป็นไปได้ของเธออยู่บ่อยครั้ง แต่ในตอนที่เริ่มยืมมือแบล็คมันนี่ในการช่วยค้นหา พวกเธอกลับไม่กล้าที่จะคุยประเด็นนี้ส่งเดชอีกต่อไป
เพราะพวกเธอกลัวว่าพวกเธอจะไปสร้างภาพลักษณ์ของผู้ถูกเลือกขึ้นมาเอง แล้วก็มองว่ามันเป็นเป้าหมายที่ต้องตามหา ถ้าหากพวกเธอเจอคนที่สอดคล้องกับความคิดของพวกเธอ แต่สุดท้ายกลับพบว่าคนๆ นั้นไม่ใช่ผู้ถูกเลือกล่ะก็ ความผิดหวังเช่นนั้นมันคงรุนแรงจนยากที่จะรับไหว
และก็ด้วยเหตุนี้ ความหวังจึงกลายเป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับพวกเธอ
แต่ในตอนนี้ พวกเธอสามารถพูดถึงคำๆ นี้ได้อย่างสบายใจอีกครั้ง
แม่มดโบราณที่คิดได้ถึงจุดนี้พากันเงียบไปทันที
ผ่านไปครู่หนึ่งพาซาร์จึงพูดทำลายความเงียบขึ้นมาว่า ‘อย่างนั้น…พวกเราทำภารกิจที่ท่านนาตาย่ามอบหมายเอาไว้สำเร็จแล้วใช่ไหม?”
‘มอบหมาย?‘ อาลิเธียงุนงง ‘เดี๋ยวๆ…พวกเรายังหาผู้ถูกเลือกที่แท้จริงไม่เจอเลยนะ!’
“ข้าไม่มีความเห็น” โซอี้ยักไหล่ “ในเอกสารโบราณของอารยธรรมใต้ดินไม่ได้กำหนดเอาไว้ว่าผู้ที่ถือกุญแจนั้นเป็นผู้หญิงหรือว่าผู้ชาย? พูดอีกอย่างคือพวกมันมีแนวคิดเรื่องเพศหญิงเพศชายหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย”
คำสั่งเสียที่นาตาย่าทิ้งเอาไว้ก็คือถ้าหาผู้ถูกเลือกพบ ให้ทุกคนยกนางเป็นผู้นำในการเอาชนะปีศาจและฟื้นฟูทาคิลาขึ้นมาใหม่ ถึงแม้ผู้ถูกเลือกที่หินเวทมนตร์หลากสีแสดงออกมาจะไม่เหมือนที่พวกเธอคิดเอาไว้ อีกทั้งเขายังไม่สามารถใช้งานทัณฑ์สวรรค์ได้ด้วย แต่ในเรื่องจัดการกับปีศาจนั้นกลับให้ผลที่เหมือนกัน
‘ข้าเองก็…ไม่มีปัญหาเหมือนกัน’ เซลีนออกความเห็นเป็นคนสุดท้าย ‘ในเอกสารโบราณไม่ได้บอกเอาไว้เหมือนกันว่าผู้ถูกเลือกจะมีเพียงหนึ่งเดียว เอาไว้พบแม่มดที่เป็นผู้ถูกเลือกคนใหม่ พวกเราค่อยเปลี่ยนก็ได้’
‘ในเมื่อพวกเจ้าต่างก็เห็นด้วย…อย่างนั้นก็ตกลงตามนี้’ อาลิเธียถอนหายใจออกมาอย่างจนปัญญา
“จะมีผู้ถูกเลือกคนใหม่หรือเปล่านั้นยังไม่อาจตอบได้ แต่เรื่องที่จะเปลี่ยนตัวข้าว่าไม่ต้องหรอก’ โซอี้มองไปทางพาซาร์ “เรื่องที่เจ้าเคยกังวล ตอนนี้เหมือนจะเริ่มปรากฏให้เห็นแล้ว”
‘แม่มดพวกนั้นแสดงความรังเกียจเจ้าในตอนที่ทำศึกเหรอ?’
“มันไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้น” เธอเล่าเรื่องคามิล่าออกมารอบหนึ่ง “หลังได้ยินว่าข้าจะเป็นคนสืบสวนปีศาจ นางก็รับปากที่จะเชื่อมต่อวิญญาณเข้ากับปีศาจให้ นี่แสดงให้เห็นว่าในความกังวลว่าแม่มดจะได้รับอันตรายของนางนั้นไม่มีสัตว์ประหลาดอย่างพวกเราอยู่ด้วย”
‘…..’ บรรยากาศคร่ำเครียดขึ้นมาทันที เมื่อร้อยกว่าปีก่อนหน้านี้ พาซาร์เคยพูดถึงความเป็นไปได้แบบนี้ ถึงแม้พวกเธอจะคิดว่าตัวเองเป็นแม่มด แต่แม่มดในยุคสมัยใหม่นั้นอาจจะไม่ได้คิดเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ภายนอก ลักษณะพิเศษหรือเรื่องความสามารถ พวกเธอกับแม่มดสมัยใหม่ก็ไม่มีอะไรคล้ายกันเลย เผลอๆ พวกเธออาจจะไม่ได้ถูกมองว่าเป็นคนด้วยซ้ำ การที่พวกเธอได้รับการยอมรับจากโรแลนด์ วิมเบิลดันเร็วขนาดนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่น่าแปลกมากแล้ว
ในตอนที่ประวัติศาสตร์ของสมาพันธ์ค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คน บางทีผู้ที่ตื่นรู้ขึ้นมาใหม่อาจจะไม่ได้มองพวกเธอว่าเป็นแม่มดอีกแล้วก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกแม่มดอาจจะเอาพวกเธอมาเป็นหนูทดลองในการค้นหาความลับของเวทมนตร์กับเทคโนโลยีของอารยธรรมใต้ดินก็ได้
ถึงแม้ความคิดนี้จะค่อนข้างมองโลกในแง่ร้ายไปหน่อย แต่ในช่วงเวลาที่ยาวนานเป็นร้อยหรือเป็นพันปี มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เมื่อได้ยินโซอี้พูดเยาะเย้ยตัวเอง พาซาร์จึงถอนหายใจออกมา ‘อย่างนี้นี่เอง แต่ว่าข้าไม่เสียใจหรอกนะ’
ทั้งสามคนต่างไม่พูดอะไร เพราะว่านี้เป็นเส้นทางที่พวกเธอเลือกเอง
‘ถ้าสามารถทำความปรารถนาของสามผู้นำให้กลายเป็นจริงได้ ภารกิจของพวกเราก็ถือเป็นอันสิ้นสุด’ เธอชะงักไปเล็กน้อย ‘โลกหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร มันก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะไปควบคุมได้…แต่อย่างน้อยตอนนี้พวกเราสามารถเตรียมตัวเลือกทางเดินให้กับตัวเองในอนาคตได้’
‘ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขา ไม่โผล่หน้าออกมาให้ใครเห็น หรือไม่ก็หาที่ฝังตัวเองงั้นเหรอ?’ อาลิเธียพูดอย่างไม่สบอารมณ์
‘ไม่ใช่แบบนั้นแน่นอน’ พาซาร์พูดพร้อมโบกหนวดหลัก ‘พวกเราจะกลายเป็นขุมกำลังที่อาณาจักรมนุษย์ไม่อาจขาดได้ต่างหาก’