Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 995
“อะไรนะ?” แม่มดที่อยู่ตรงนั้นต่างอุทานตกใจขึ้นมา ทุกคนต่างก็มองไปทางโซอี้ คามิล่าเชื่อมโยงดวงวิญญาณสองดวง ในเมื่อดวงวิญญาณฝั่งหนึ่งหายไปแล้ว อีกทั้งปีศาจเองก็ไม่น่าจะโพล่งออกมาด้วยความโกรธเฉยๆ อย่างนั้นก็เหลือความเป็นได้แค่เพียงอย่างเดียว
การตอบสนองของอาลิเธียนั้นเร็วกว่าคนอื่น ในตอนที่ทุกคนกำลังตกใจ เธอก็รีบตวัดหนวดหลักที่ทรงพลังพอจะบดขยี้ร่างกายของอสูรสยองไปทางโซอี้ จากนั้นจึงกดเธอลงไปกับพื้น ความรุนแรงของพลังที่เธอใช้นั้นเห็นได้จากเตียงหินที่อยู่ด้านหลังโซอี้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้คิดจะออมมือแม้แต่น้อย
เลือดสดๆ ทะลักออกมาจากปากโซอี้
จากนั้นภายในโถงก็ตกอยู่ในความเงียบ
ที่อาลิเธียทำเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ปีศาจมายึดร่างของโซอี้แล้วก็สร้างปัญหาขึ้นมา การสะท้อนทางวิญญาณได้ไปชดเชยในเรื่องของการควบคุมประสาทสัมผัส ทันทีที่ปล่อยให้แม่มดอาญาสิทธิ์ใช้เขตแดนอาญาสิทธิ์ได้ ถึงแม้มันจะแค่นิดเดียว แต่มันก็อาจจะสร้างความเสียหายร้ายแรงขึ้นมาได้
โดยเฉพาะเมื่อแม่มดส่วนใหญ่ที่อยู่ตรงนี้ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจที่มองว่าโซอี้เป็นศัตรูของพวกเธอ
ต้องยอมรับเลยว่าอาลิเธียที่เป็นอดีตผู้บังคับบัญชากองทัพผู้พิทักษ์ศักดิ์สิทธิ์นั้นมีประสบการณ์ด้านการรบเหนือว่าคนอื่นมากจริงๆ
แต่โซอี้ก็ไม่ได้แสดงการดิ้นรนขัดเจรออกมาเหมือนที่พวกเธอคิดเอาไว้เลย นับตั้งแต่ตอนที่ปีศาจประกาศออกมาจนถึงตอนที่ถูกหนวดหลักกดทับ เธอก็เหมือนเป็นตุ๊กตาที่นอนแน่นิ่งไม่ขยับ ดูแล้วไม่เหมือนว่าจะถูกปีศาจควบคุมเอาไว้แต่อย่างใด
“วิญญาณของปีศาจย้ายเข้าไปในร่างนี้จริงๆ เหรอ?” ผ่านไปครู่หนึ่งโรแลนด์จึงพูดทำลายความเงียบขึ้นมา
“หม่อมฉันไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เลยเพคะ…” คามิล่ายังคงหน้าซีดเผือด “ถึงแม้จะเข้าใจว่าการสะท้อนของวิญญาณเป็นเหมือนสะพานเชื่อมได้ แต่มันก็เป็นแค่วิธีการสื่อสารในรูปแบบหนึ่งเท่านั้น การที่ทิ้งร่างกายที่มีอยู่ แล้วบุกเข้าไปในใจของผู้ที่เชื่อมต่อ มันจะเป็นไปได้ยังไง?”
“มีวิธียืนยันไหม?” ทิลลีขมวดคิ้วขึ้นมา
‘นอกเสียจากมันจะพูดขึ้นมาเอง’ อาลิเธียปล่อยหนวดหลัก แต่เธอยังคงเฝ้าระวังเอาไว้อยู่ ‘เพียงแต่ความเป็นไปได้อันนี้ถือว่าไม่น้อยทีเดียว วิญญาณนั้นไม่สามารถคงอยู่นอกร่างได้ ไม่อยากนั้นพวกเราก็คงไม่พึ่งพาอารยธรรมใต้ดินแบบนี้ เรื่องทำลายจิตสำนึกด้วยตัวเองแบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ถึงแม้ปีศาจจะทำเช่นนี้มันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย ดังนั้นพวกเราจึงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด’
“ข้ามีอยู่วิธีหนึ่ง” โรแลนด์ครุ่นคิด “ถ้าเอาลำแสงเวทมนตร์ของโซอี้เข้าไปอยู่ในโลกแห่งความฝัน…”
“หม่อมฉันไม่เห็นด้วยเพคะ!” เวนดี้รีบห้ามทันที “สำหรับพระองค์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงอะไร พระองค์ก็ควรจะหลีกเลี่ยงนะเพคะ”
“ถูกต้อง ถ้าศัตรูมันยึดร่างของพระองค์ไปจะทำยังไงล่ะเพคะ?” ไนติงเกลพูดเสริมขึ้นมา “มันไม่ใช่ผู้แพ้ในสงครามแห่งวิญญาณ หากแต่เป็นปีศาจระดับสูงจริงๆ นะเพคะ!”
“ความเสี่ยงไม่ใช่ว่าจะควบคุมไม่ได้” โรแลนด์ค่อยๆ คิดแผนรับมือออกมา “ถ้ามันเข้าไปในโลกแห่งความฝันได้จริงๆ มันก็จะไปปรากฏตัวอยู่ในสถานที่ที่กำหนดไว้ ขอเพียงจัดนักรบอาญาสิทธิ์กลุ่มหนึ่งเข้าไปในความฝัน เราก็จะสามารถกำจัดมันได้ก่อนที่มันจะรู้ตัว ยิ่งไปกว่านั้นโลกแห่งความฝันกับการสะท้อนวิญญาณมันก็ไม่เหมือนกัน ไม่ว่าในนั้นจะเกิดอะไรขึ้น มันก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อโลกแห่งความจริง ขอเพียงข้าตื่นขึ้นมา เวลาในโลกแห่งความฝันก็จะหยุดเดิน ทุกสิ่งที่ไม่ได้เป็นของโลกแห่งความฝันจะถูกบีบออกมา แบบนี้ข้าก็จะได้รู้ว่าดวงวิญญาณของโซอี้ถูกปีศาจเข้าไปแทนที่จริงหรือเปล่า”
“แต่ว่า…” ไนติงเกลกัดริมฝีปาก ก่อนจะหันหน้าไปทางอันนา “เจ้าก็ช่วยห้ามพระองค์หน่อยสิ”
“ข้าไม่คัดค้านที่พระองค์จะทำเช่นนี้” คำพูดของอันนาเหนือความคาดหมายของทุกคน
“ทำไมล่ะ?” เวนดี้และคนอื่นๆ ต่างงุนงง
“เพราะว่าข้าก็ถูกพระองค์ช่วยมาแบบนี้เหมือนกัน” เธอตอบอย่างจริงจัง “ถ้าตอนนั้นมีคนพูดห้ามพระองค์แบบนี้ เกรงว่าข้าคงจะตายอยู่บนแท่นประหารไปนานแล้ว ตอนนี้ถ้าให้ข้าไปเป็นคนห้ามล่ะก็ หนึ่งคือข้าไม่มีทางบอกให้ตัวเองทำแบบนั้นได้ สองคือข้าเชื่อในการตัดสินใจของโรแลนด์ พระองค์จะต้องรู้แน่นอนว่าตอนนี้พระองค์ไม่ได้ตัวคนเดียวอีกแล้ว”
ในขณะที่พูด ทั้งสองคนยิ้มสบตากัน ในสายตาเต็มไปด้วยความเชื่อใจและรู้ใจกัน
‘….’ อาลิเธียนิ่งเงียบไปนาน ‘ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร หม่อมฉันก็ต้องขอขอบพระทัยพระองค์แทนโซอี้ด้วยเพคะ’
“แต่ข้าอยากจะได้ยินคำนี้จากปากนางมากกว่า” โรแลนด์พยักหน้า
‘ข้าจะเตรียมแม่มดที่มีความสามารถในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดมาให้เพคะ’ พาซาร์พูดอย่างตื้นตัน
“นอกจากนี้ก่อนที่ข้าจะเข้าไปในโลกแห่งความฝัน ให้ทำการสะท้อนวิญญาณต่อไป” เขาแสร้งทำเป็นพูดอย่างสบายๆ “โซอี้บอกเอาไว้ไม่ใช่เหรอว่าถ้านางยังไม่บอกให้หยุด ก็อย่าหยุดการสะท้อนวิญญาณ ถ้านี่เป็นแค่การต่อสู้ในจิตสำนึก มันก็ยังไม่แน่ว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ”
…….
“เฮ้ นังตัวเมีย ลองเดาซิว่าตอนนี้พวกแมลงเพื่อนของเจ้ามันกำลังทำอะไรอยู่?”
โซอี้เงยหน้ามองดูปีศาจระดับสูง ก่อนจะเอาสมาธิกลับมาอยู่ที่ร่างกายของตัวเอง
หน้าอกนูนขึ้นเล็กน้อย ถึงแม้มันจะไม่ได้ต่างอะไรมากกับตอนที่ไม่มี แต่มันก็ดูสบายตากว่าร่างผู้ชายที่หยาบกร้าน มือเท้าอยู่ครบถ้วน สัมผัสก็ชัดเจน มีเพียงผมที่ยาวลงมาปิดหน้าผากเพราะไม่ได้ตัดมานาน เหมือนกับในโลกแห่งความฝันเลย..
“ฮ่าๆ! พวกมันจะต้องล้อมเจ้าเหมือนว่าเจ้าเป็นศัตรูแน่นอน” ปีศาจที่เรียกตัวเองว่าคาบราดาบียิ้มเยาะออกมา “เมื่อพวกมันรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้ามีโอกาส 30% ที่จะถูกมัดเอาไว้บนเตียงเหล็กเหมือนพวกแมลงชั้นต่ำ นอนจมอยู่กับกองขี้กองเยี่ยวของตัวเองทั้งวัน ส่วนอีก 70% ก็คือเจ้าถูกฆ่าทิ้ง ยังไงซะเรื่องที่ฆ่าพวกเดียวกันเพื่อตัดปัญหาแบบนี้ พวกเจ้าก็ทำอยู่เป็นประจำมาตั้งแต่ 400 ปีก่อนแล้วนี่”
“โซอี้มองไปรอบๆ ก่อนจะเห็นว่าทุกที่ล้วนแต่เป็นสีดำ ไม่มีของอะไรซักอย่าง แต่มันก็ไม่ใช่ว่าเป็นความมืดเพียงอย่างเดียว เพราะถ้าไม่มีแสง เธอก็น่าจะมองตัวเองไม่เห็น แต่ตอนนี้ในสายตาของเธอ เธอกลับมองเห็นตัวเองกับปีศาจได้อย่างชัดเจน
“เฮ้ นี่เจ้าตกใจจนเป็นบ้าไปแล้วเหรอ หรือคิดว่าความเงียบมันจะทำให้เจ้าหนีออกไปจากที่ีนี่ได้?” เสียงของคาบราดาบีเริ่มฟังดูหงุดหงิดขึ้นมา “ความอดทนข้ามีจำกัดนะ เจ้าควรจะเข้าใจถึงสถานการณ์ของตัวเองได้แล้ว ที่นี่พวกเราไม่มีทางตายจริงๆ ถ้าเจ้าพยายามทำให้ข้ามีความสุข บางทีข้าอาจจะทำให้เจ้าทรมานน้อยหน่อย!”
“ข้านึกว่าปีศาจจะไม่พูดมากแบบนี้ซะอีก” โซอี้ฉีกเศษผ้าจากปลายแขนเสื้อขึ้นมามัดผมตัวเองเอาไว้ “ถ้าเป็นข้าล่ะก็ ต่อให้ข้าเรียนรู้ภาษาของแมลงได้แล้ว ข้าก็จึงไม่มานั่งพร่ำบ่นอยู่ต่อหน้าแมลงทั้งวันแบบนี้หรอก”
“ปากดีไปเถอะ ยังไงซะเดี๋ยวเจ้าก็ทำได้เพียงแค่กรีดร้องออกมาเท่านั้น” ปีศาจหัวเราะหึหึ “ข้าสามารถสัมผัสได้ถึงพลังในวิญญาณของเจ้าที่มีมากกว่าแมลงอีกจำนวนมาก ถ้าเอาเจ้ามาเป็นคู่ต่อสู้คนสุดของข้า นั่นก็นับเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวทีเดียว”
“จากนั้นล่ะ? หลังข้าถูกฆ่าตาย แล้วเจ้าจะทำยังไง? หรือว่าเจ้าทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อเอาข้ามาระบายอารมณ์โกรธของเจ้าเท่านั้น?”
“แล้วมันผิดตรงไหน? ต่อสู้! ฆ่า! ทรมาน! ยกระดับ! แมลงเอ๋ย นี่ต่างหากที่เป็นสิ่งเผ่าพันธุ์ระดับสูงควรจะมี! หรือว่าข้าต้องไปคุกเข่าขอร้องให้เจ้าให้อภัยข้า?” คาบราดาบีหวีดร้องออกมา “ความตายมันมีอะไรน่ากลัว? สุดท้ายวิญญาณของพวกเราก็จะถูกแหล่งกำเนิดเวทมนตร์รับกลับไป วันใดที่เผ่าพันธุ์เราขึ้นสู่จุดสูงสุด เราก็จะกลับมาบนโลกอีกครั้ง!”
“อย่างนั้นเจ้าทำเวลาหน่อยจะดีกว่า” โซอี้พูดหน้านิ่งๆ “ไม่แน่พวกนางอาจจะลงมือแล้วก็ได้”
“วางใจได้” คาบราดาบีแสยะยิ้มออกมา “เจ้าไม่รู้ถึงความมหัศจรรย์ของเวทมนตร์ ในกระแสจิตสำนึก เวลาจะเดินช้าลงและสามารถควบคุมได้ แม้จะเป็นเวลาแค่ชั่วพริบตาก็จะรู้สึกเหมือนเป็นเวลาหลายปี ในเมื่อเป็นการฆ่าครั้งสุดท้าย มันก็ต้องทำให้ข้ารู้สึกพึงพอใจถึงจะถูก”