Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 998
คำพูดของทหารอาญาสิทธิ์ที่ร่างพิการทำเอาทุกคนต่างขมวดคิ้วขึ้นมา
ศัตรูทำศึกสองด้านพร้อมกัน ยิ่งไปกว่านั้นอีกด้านหนึ่งต่างหากที่เป็นศึกหลักของพวกมันอย่างนั้นเหรอ?
สมมติว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดโกหก ก็เท่ากับว่าปีศาจที่มาทำสงครามแห่งโชคชะตากับมนุษย์นั้นเป็นแค่เพียงกองกำลังส่วนเล็กๆ ของพวกนั้น อย่างนั้นสถานการณ์ที่ตอนแรกดูจะสดใส ตอนนี้เหมือนจะไม่ค่อยดีเท่าไรแล้ว
เผ่าพันธุ์ที่อยู่ในภาพวาดยักษ์ในดินแดนของพระเจ้านั้นมีอยู่ 4 เผ่าพันธุ์ ตอนนี้อารยธรรมใต้ดินได้ถูกกำจัดไปแล้ว โรแลนด์เดาว่า ‘อาณาจักรซีสกาย’ ที่ปีศาจพูดถึงนั้นน่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่อยู่ในภาพวาดสุดท้าย หรือก็คือดวงตายักษ์ใต้ท้องทะเลลึกที่อยู่ในภาพวาด
หรือว่าหลังจากที่ศัตรูชิงเอามรดกของอารยธรรมใต้ดินไปได้แล้ว พวกมันจะไปสู้กับพวกสัตว์ประหลาดในทะเลต่อ ขณะเดียวกันก็ยังมีกำลังเหลือพอที่จะมาเอาชนะมนุษย์ในดินแดนรุ่งอรุณ?
ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ อย่างนั้นที่พวกปีศาจระดับสูงจะดูถูกแม่มดจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ส่วนคนธรรมดาที่ไม่มีพลังเวทมนตร์นั้น เกรงว่าคงไม่ได้ต่างอะไรกับต้นหญ้าที่อยู่ริมทางเลย
แต่เขาเองก็รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นไม่มีทางบอกทุกอย่างที่ตัวเองรู้ออกแต่โดยดีแน่ เมื่อดูจากที่มันบุกเดี๋ยวเข้ามาในแนวยิงปืนใหญ่ ปิดบังความคิดตัวเอง แล้วก็การใช้การสะท้อนวิญญาณในการยึดร่างโซอี้แล้ว เขามองออกว่ามันไม่มีทางล้มเลิกความคิดที่จะโจมตีเขาแน่นอน ถึงแม้ว่าจะอยู่ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตก็ตาม ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถแยกแยะคำพูดโกหกของอีกฝ่ายได้ เขาก็ยากที่จะรับประกันได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้จงใจพูดโกหกเพื่อให้ตัวเองรู้สึกหวาดกลัว
เมื่อมองดูสีหน้าคร่ำเคร่งของทุกคนแล้ว โรแลนด์รู้ว่าในเวลานี้จำเป็นต้องดึงสถานการณ์ให้กลับมาอยู่ฝั่งตัวเอง
ด้วยเหตุนี้เขาจึงยักไหล่ แล้วแสร้งทำเป็นพูดกับอาลิเธียอย่างผ่อนคลายว่า
“อย่างนั้น….ตัวนี้ก็คือปีศาจจริงๆ ใช่ไหม?”
อีกฝ่ายเองก็ได้สติคืนมา ‘ถึงแม้หม่อมฉันจะไม่แน่ใจว่าโซอี้ใช้วิธีอะไร แต่หม่อมฉันคิดว่าตัวนางไม่มีทางพูดแบบนี้ออกมาแน่’
“ดีมาก ข้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปนอนกลางวัน” โรแลนด์หันไปพยักหน้าให้โซอี้ “ในโลกแห่งความฝันคืนนี้ เจ้าอยากจะกินอะไรก็ได้”
“ขอบพระทัยเพคะ ฝ่าบาท” โซอี้ยิ้มมุมปากขึ้นมา แต่จากนั้นเธอก็กลับไปทำหน้านิ่งเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว “เสียดายที่เจ้านี่มันชินกับการรับรู้ของมนุษย์แล้ว ถึงแม้มันจะยังไม่สามารถควบคุมแขนขาได้อย่างคล่องแคล่ว แต่การสะท้อนวิญญาณก็ยากจะที่อ่านความคิดที่แท้จริงของมันได้เพคะ”
“นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า อันที่จริงก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยมีมนุษย์คนไหนที่ได้สัมผัสปีศาจระดับสูงอย่าใกล้ชิดมาก่อน การใช้ประสบการณ์ของมนุษย์มาทำการวิเคราะห์ มันก็ไม่แปลกที่จะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น”
“ปีศาจ? พวกเจ้ายังใช้คำเรียกที่มันน่าตลกแบบนี้อยู่อีกเหรอ” คาบราดาบีพูดดูถูกขึ้นมา “โยนทุกสิ่งที่แปลกแยกไปจากตัวเองว่าเป็นความชั่วร้ายและความน่าหวาดกลัว โดยไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองต่างหากที่เป็นเผ่าพันธุ์ชั้นต่ำที่ไร้ค่า แต่พวกเจ้าก็โชคดีได้แค่นี้แหละ จุดกำเนิดเวทมนตร์ปรากฏขึ้นบนโลกอีกครั้งเมื่อไร วันนั้นก็คือวันตายของพวกเจ้า!”
ทุกคนต่างสบตากัน คำพูดประโยคสุดท้ายของมันเหมือนอะไรบางอย่างที่อยู่ในตำนาน
“จุดกำเนิดเวทมนตร์ที่เจ้าว่า…หมายถึงพระจันทร์สีแดงงั้นเหรอ?” โรแลนด์ถาม
“มองเห็นทุกเรื่องแค่เพียงเปลือกนอก สมกับเป็นแมลงชั้นต่ำจริงๆ” ปีศาจระดับสูงไม่ได้ปฏิเสธแล้วก็ไม่ได้ยอมรับ
“หรือว่าพระจันทร์สีแดงอันนั้นก็สร้างขึ้นมาจากพลังเวทมนตร์เหมือนกัน?” อกาธาที่อยู่ข้างๆ พูดแทรกขึ้นมา “แต่นี่ดูไม่สมเหตุสมผลเลย ข้าเคยเห็นพระจันทร์สีแดงมาก่อน ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร มันก็อยู่ห่างไกลจากโลกนี้มาก ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าผู้ยกระดับในตอนสุดท้ายจะเปิดประตูไปสู่จุดกำเนิดเวทมนตร์ หรือว่าจะมีบันไดที่ขึ้นไปบนฟ้าได้?”
“เหอะ” คาบราดาบีหันหน้าไปอีกด้าน เห็นได้ชัดว่าไม่อยากอธิบายปัญหานี้
“อาณาจักรซีสกายอยู่ที่ไหน?”
ไม่มีเสียงตอบ
“พวกเจ้าเป็นคนทำลายอาณาจักรใต้ดิน?”
เงียบ
“เทคโนโลยีใหม่ของพวกเจ้า ข้าหมายถึงไอตัวประหลาดที่ยิงเสาหินสีดำออกมาได้ นั่นก็มาจากชิ้นส่วนสืบทอดของอารยธรรมใต้ดินเหรอ?”
“อย่าพยายามเลย เจ้าแมลง” ในที่สุดคาบราดาบีก็พูดออกมา “สิ่งที่ข้าพูดได้ข้าก็พูดไปหมดแล้ว สิ่งที่พูดไม่ได้ ต่อให้นังตัวเมียนี่มา…” เขากวาดตามองดูโซอี้ ก่อนจะชะงักไปเล็กน้อย “ข้าก็ไม่มีทางปริปากออกมาแม้แต่นิดเดียว! ถ้าจะฆ่าข้าก็รีบลงมือซะ แต่ว่าช้าเร็วพวกเจ้าก็ต้องถูกท่านจักรพรรดิเฮคซอดผู้เป็นราชาแห่งฟากฟ้ากำจัดทิ้ง ส่วนข้าคาบราดาบีก็จะได้ไปเกิดใหม่ในจุดกำเนิดเวทมนตร์!”
เห็นได้ชัดว่าตอนนี้การสอบสวนได้มาถึงจุดที่เป็นคอขวดแล้ว แต่ว่าในเมื่อปีศาจระดับสูงได้ย้ายเข้ามาอยู่ในร่างทหารอาญาสิทธิ์ นั้นก็หมายความว่าเมืองเนเวอร์วินเทอร์จะได้พักหายใจไปอีกชั่วระยะเวลาหนึ่ง ถ้าเอามันให้แม่มดทาคิลาจัดการ สุดท้ายก็น่าจะเค้นอะไรออกมาจากปากมันได้บ้าง
เมื่อคิดถึงตรงนี้ โรแลนด์จึงพูดพร้อมผายมือออก “ในเมื่อเจ้าไม่อยากคุยเรื่องนี้แล้ว อย่างนั้นข้าเปลี่ยนเรื่องก็ได้ ถ้าสงครามครั้งนี้มันเป็นแค่ความพ่ายแพ้เล็กๆ น้อยๆ สำหรับพวกเจ้า อย่างนั้นพวกเจ้าแข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่? กองทัพของอาณาจักรซีสกายล่ะ? ถ้าเทียบกับเจ้าแล้วเป็นยังไง? แล้วยังมีราชาแห่งฟากฟ้าที่เจ้าพูดถึงอีก มันสามารถสู้กับสุดยอดมนุษย์ได้ไหม? ข้าคิดว่าคำถามพวกนี้น่าจะไม่เกี่ยวกับความลับเหล่านั้นหรอกนะ?”
นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะได้ชมตัวเอง จากนิสัยของอีกฝ่ายแล้ว เป็นไปได้สูงที่มันจะอดใจไว้ไม่ไหว
“เหอะ เจ้าแมลง…” เป็นไปตามคาด เสียงดูถูกของคาบราดาบีดังขึ้นมา “ข้าบอกได้เพียงว่าความแข็งแกร่งของพวกข้านั้นเหนือว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้! รู้ไหมว่าทำไมพวกข้าถึงเรียกพวกเจ้าว่าแมลง? เพราะมันเป็นความต่างชั้นกันของเผ่าพันธุ์ชั้นสูงกับเผ่าพันธุ์ชั้นต่ำเหมือนกับนกกับแมลงยังไงล่ะ มันถูกกำหนดขึ้นโดยธรรมชาติของเวทมนตร์ ตรงชายขอบที่เชื่อมระหว่างปลายสุดของทวีปกับอาณาจักรซีสกาย กองทัพของพวกข้านั้นมืดฟ้ามัวดิน เวลาเคลื่อนทัพขึ้นมาสั่นสะเทือนไปทั้งขุนเขา หากไม่เป็นเพราะอาณาจักรซีสกายก็เป็นศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นเดียวกัน พวกเจ้าคงไม่มีทางรอดจนมาถึงทุกวันนี้ได้!”
มันชะงักไปเล็กน้อย “ส่วนสุดยอดมนุษย์ที่เจ้าว่า ถ้าเจ้าหมายถึงนังตัวเมียที่แข็งแกร่งที่สุดไม่กี่คนนั้นล่ะก็ จริงอยู่ที่เมื่อก่อนพวกนางสูสีกับท่านจักรพรรดิ แต่พลังเวทมนตร์ของราชาแห่งฟากฟ้าในตอนนี้แข็งแกร่งขึ้นไปอีกขั้น อีกทั้งยังมีความเฉลียวฉลาดและความรอบคอบในการบัญชาการ ในศึกเช่นนี้ ท่านเพียงคนเดียวก็สามารถจัดการพวกเจ้าได้แล้ว! เจ้าแมลง ต่อไปเวลาที่พวกเจ้าได้ยินชื่อของท่าน พวกเจ้าควรจะคุกเข่าร้องขอชีวิตจะดีกว่า เพราะอย่างน้อยท่านอาจจะทำให้พวกเจ้าไม่ต้องตายอย่างทรมาน!”
โรแลนด์มองข้ามคำพูดโอ้อวดของอีกฝ่ายแล้วจับประเด็นสำคัญๆ ที่อยู่ในคำพูดของมัน การขนส่งของพวกปีศาจนั้นเรียกได้ว่าเป็นจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของพวกมัน หากไม่มีหมอกแดง มันก็ยากที่จะไปไหนได้ ถ้าจะทำให้มีหมอกแดงเพียงพอสำหรับกองทัพทั้งกองทัพ อย่างนั้นมันก็จำเป็นต้องทำศึกภายในขอบเขตของเสาหินสีดำ
การที่สามารถสู้กับปีศาจภายในหมอกแดงได้อย่างสูสี อีกทั้งยังหยุดกองทัพหลักของอีกฝ่ายเอาไว้ได้ด้วย นี่ก็หมายความว่าความน่ากลัวของสัตว์ประหลาดใต้ทะเลลึกคงจะไม่ได้ธรรมดาเหมือนอย่างที่มันว่ามาซะแล้ว การที่มันใช้เพียงคำว่า ‘แข็งแกร่งเช่นเดียวกัน’ ก็แสดงให้เห็นว่ามันไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้เยอะ
นอกจากนี้มันไม่ได้เรียกพวกอาณาจักรซีสกายว่าแมลง นั่นก็หมายความว่าสัตว์ประหลาดใต้ทะเลลึกนั้นได้รับการ ‘ยกระดับ’ เหมือนกัน แต่ตอนนี้เผ่าพันธุ์ที่ถูกกำจัดทิ้งไปมีเพียงแค่หนึ่ง นี่ดูแล้วไม่สอดคล้องกับการคาดเดาในตอนแรกเลย เมื่อกลับมาคิดๆ ดูแล้ว อีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดออกมาชัดๆ เหมือนกันว่าพวกมันเป็นคนกำจัดอารยธรรมใต้ดินไป มันพูดเพียงแค่ว่าเผ่าพันธุ์ที่ไปยังอาณาจักรซีสกายได้ก็จะมีคุณสมบัติได้รับชิ้นส่วนสืบทอด ในนี้น่าจะมีอะไรบางอย่างที่เขายังไม่เข้าใจอยู่
เมื่อเห็นปีศาจระดับสูงยังคงพล่ามถึงความยิ่งใหญ่ของเผ่าพันธุ์ตัวเองไม่ยอมหยุด โรแลนด์จึงพูดตัดบทขึ้นมา
“ความจริงแล้วเจ้าไม่ได้เข้าใจเลยว่าอะไรคือความแข็งแกร่งที่แท้จริง”
“เจ้า…” คาบราดาบีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที “เจ้าแมลง เจ้าจะไปรู้อะไร”
“ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง ไม่ใช่คนที่จะทำให้โลกนี้ตกอยู่ในความมืด หากแต่เป็นคนที่ใช้พลังของตัวเองในการปัดเป่าแมฆหมอกออกไปต่างหาก ในตอนที่โลกกำลังจะล่มสลาย พวกเขาจะยินยอมแม้กระทั่งเผาวิญญาณของตัวเองเพื่อมอบแสงสว่างและความร้อนให้กับสรรพสิ่ง…เหมือนกับพระอาทิตย์”
“เจ้า…จะพูดอะไรกันแน่?”
“ง่ายมาก” โรแลนด์กระแอมลำคอ “ในเมื่อพวกเจ้าแข็งแกร่งขนาดนี้ ทำไมไม่ไปจุดไฟซะล่ะ”
เขาลุกขึ้นยืนพร้อมพาเหล่าแม่มดเดินออกไปจากโถงโดยไม่หันหน้ามามอง ปล่อยปีศาจให้ตกอยู่ในความงุนงง