Reverend Insanity เทพปีศาจหวนคืน - ตอนที่ 1142
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1142 ต้มตุ๋น
แปลโดย iPAT
ผู้อมตะหอกน้ำแข็งพุ่งเข้าโจมตีฟางหยวน
‘มนุษย์กลายพันธุ์…ช่างดื้อรั้นนัก หรือมันจะเป็นเพราะเจตจำนงสวรรค์? ฮืม!’ ดวงตาของฟางหยวนเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม เขามองผู้อมตะหอกน้ำแข็งพุ่งเข้ามาโดยไม่หลบหนี
“บึม!”
ในเวลาต่อมาเขาเปิดทางเข้าออกมิติช่องว่างจักรพรรดิและปล่อยสัตว์อสูรที่มีร่างกายใหญ่โตออกมา
‘หือ นี่คือ!?’ ผู้อมตะหอกน้ำแข็งรู้สึกถึงกลิ่นอายที่ทรงพลัง
เขาหยุดเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันขณะที่เจตจำนงแห่งการต่อสู้สูญสลายไปทันที
สิ่งที่ฟางหยวนปล่อยออกมาไม่ใช่สิ่งใดนอกจากอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด!
อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดที่โตเต็มวัยมีขนาดใหญ่กว่าปลาวาฬหลายเท่า กล่าวได้ว่ามันไม่ด้อยกว่าสัตว์อสูรแรกกำเนิดประเภทมังกรของฝ่ายตรงข้าม
สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดคืออินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดมาด้วยพลังการต่อสู้ระดับแปด!
ตะลึง!
ผู้อมตะลึกลับตกตะลึงไปอย่างสมบูรณ์ พวกเขาไม่เคยคาดหวังว่าฟางหยวนจะมีไพ่ตายใบนี้อยู่ในมือ
แข็งแกร่งเกินไป!
ร่างกายของผู้อมตะหอกน้ำแข็งสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
บรรยากาศของสนามรบเปลี่ยนไปทันที
ฟางหยวนยืนอยู่บนศีรษะของอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดด้วยความภาคภูมิใจและกล่าวอย่างเย็นชา “พวกเจ้าไม่เคยคิดงั้นหรือว่าเพราะเหตุใดข้าจึงปราศจากความหวาดกลัวตั้งแต่ต้น? กระทั่งท่าไม้ตายเขตแดนอมตะของพวกเจ้าจะทรงพลัง แต่มันจะสามารถหยุดอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดได้อย่างไร?”
ร่างของกลุ่มผู้อมตะลึกลับสั่นสะท้านขึ้นเมื่อได้ยินสิ่งนี้
“อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด!”
“ตามตำนานอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดเป็นสัตว์อสูรแรกกำเนิดที่สามารถเจาะทะลวงกำแพงพลังงานและเข้าสู่สวรรค์ทั้งเก้า!”
“ไม่เพียงเท่านั้น มันยังสามารถเจาะทะลวงห้วงมิติและเข้าไปในถ้ำสวรรค์ ท่าไม้ตายเขตแดนอมตะของพวกเราไม่สามารถหยุดมัน!”
กลุ่มผู้อมตะพูดคุยกันด้วยความตื่นตระหนก
ฟางหยวนเผยรอยยิ้มมั่นใจขึ้นบนใบหน้า “แม้พวกเจ้าจะมีมังกรแรกกำเนิด แต่ข้ายังมั่นใจว่าสามารถหลบหนี อย่างไรก็ตามสิ่งที่ข้ากล่าวก่อนหน้านี้เป็นความจริงทั้งหมด! ข้าไม่จำเป็นต้องหลอกลวงพวกเจ้า กระทั่งข้าจะต้องการหลอกลวงพวกเจ้าจริงๆ พวกเจ้าก็สามารถตรวจสอบและเปิดโปงคำโกหกอันตื้นเขินเหล่านี้ เหตุใดข้าต้องเสียเวลาพูดคุย?”
กลุ่มผู้อมตะตกอยู่ในความเงียบ
อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดเป็นหลักฐานที่ดีที่สุดในการยืนยันคำกล่าวของฟางหยวน
“นี่เป็นของจริงหรือไม่?” กลุ่มผู้อมตะลอบพูดคุยอย่างลับๆ
มันค่อนข้างน่าขัน แรกเริ่มเมื่อฟางหยวนถูกซุ่มโจมตี เขาสงสัยว่าศัตรูเป็นของจริงหรือภาพลวงตา แต่ตอนนี้เมื่อฟางหยวนปล่อยอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดออกมา มันกลับกลายเป็นกลุ่มผู้อมตะลึกลับที่พบประสบการณ์เดียวกัน
“มันเป็นของจริง!” ผู้อมตะระดับหกที่ถูกเรียกว่าเสวี่ยเอ๋อกล่าวด้วยความตกใจ
“ยิ่งไปกว่านั้นพลังของอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดตัวนี้ยังน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก อย่าหลงกลรูปลักษณ์ที่งดงามของมัน! หากมันโจมตี มันจะกลายเป็นภัยพิบัติร้ายแรง!”
ในไม่ช้าผู้อมตะระดับเจ็ดก็เริ่มยืนยันทีละคน
“นี่! เขามีเพียงแดนศักดิ์สิทธิ์ แล้วเขาจะเก็บสัตว์อสูรแรกกำเนิดไว้ได้อย่างไร!?”
“แม้มันดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ แต่นี่คือความจริง!”
“เราควรทำอย่างไร? เขามีสัตว์อสูรแรกกำเนิด พวกเราต้องส่งมังกรหินแรกกำเนิดออกไปจริงๆงั้นหรือ?”
ในความเป็นจริงมังกรที่อยู่ในกลุ่มเมฆาหมอกไม่ได้น่ากลัวเช่นการปรากฏตัวของมัน แม้กลิ่นอายของมันจะเป็นของจริง แต่มันไม่สามารถปลดปล่อยพลังโจมตีระดับแปด
มีหลายเหตุผล
ท่าไม้ตายเขตแดนอมตะสนามรบสีเทาไม่ใช่ท่าไม้ตายอมตะระดับแปด มันไม่สามารถรองรับสิ่งมีชีวิตระดับแปดที่แท้จริง
อีกเหตุผลหนึ่งคือร่างหลักของผู้อมตะเผ่ามนุษย์หินและมนุษย์หิมะกลุ่มนี้อยู่ใต้ดิน ร่างในสนามรบสีเทาเป็นเพียงหุ่นเชิดของพวกเขาเท่านั้น มังกรหินแรกกำเนิดก็เช่นกัน
กล่าวคือท่าไม้ตายเขตแดนอมตะสนามรบสีเทาสามารถสร้างหุ่นเชิดที่สอดคล้องกับผู้ใช้งาน
นั่นเป็นเหตุผลที่มังกรหินแรกกำเนิดไม่เคยเคลื่อนไหวตั้งแต่การต่อสู้เริ่มขึ้น
ฟางหยวนไม่กล้าตรวจสอบมันตั้งแต่แรก เช่นเดียวกับผู้อมตะหอกน้ำแข็งที่ไม่กล้าโจมตีอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด
พลังการต่อสู้ระดับแปดของกลุ่มผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์เป็นเพียงการข่มขวัญขณะที่พวกเขาไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับฟางหยวนและคิดว่าตนเองเป็นฝ่ายอ่อนแอกว่า
ด้านฟางหยวน เขายังไม่รู้ว่ามังกรหินแรกกำเนิดมีไว้เพื่อข่มขวัญ ดังนั้นเขาจึงคิดว่าตนเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
แต่การตัดสินใจของเขาถูกต้อง
อย่างไรก็ตามอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดกำลังจะตายด้วยความหิวโหย เขาต้องใช้วิธีบนเส้นทางแห่งเลือดเพื่ออำพรางให้มันดูเหมือนยังแข็งแรงดี
นี่ทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าโจมตี
เหตุผล?
หากพวกเขาโจมตีแต่ไม่สามารถสังหารและปล่อยให้ศัตรูหลบหนี สถานการณ์จะยิ่งเลวร้าย
แม้พวกเขาจะเรียกมังกรหินแรกกำเนิดมาจากใต้ดิน แต่มันจะหยุดการหลบหนีของอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดได้อย่างไร
ตั้งแต่ฟางหยวนเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา พวกเขาก็รู้สึกหวั่นวิตก
ตัวตนของพวกเขา!
เมื่อข่าวของพวกเขาถูกแพร่กระจายออกไป ผู้อมตะภาคเหนือจะนำกองทัพมากวาดล้างพวกเขาทันที
กองกำลังมนุษย์มีความแข็งแกร่งและสามารถสังหารพวกเขามาตั้งแต่ยุคบรรพกาล มนุษย์จะไม่ปล่อยให้กองกำลังของเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์คงอยู่
ดังนั้นผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์จึงต้องซุ่มโจมตีฟางหยวน พวกเขาไม่สามารถเปิดเผยตัวตน
ผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ระดมผู้อมตะเก้าคนรวมถึงสัตว์อสูรแรกกำเนิดมาที่นี่เพื่อจัดการกับฟางหยวนเพียงผู้เดียว
นี่เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดอุบัติเหตุใดๆ
แต่ถึงกระนั้นก็ยังเกิดเหตุไม่คาดคิดเพราะการประเมินศัตรูต่ำเกินไป ฟางหยวนเพียงผู้เดียวแต่กลับสามารถเรียกสัตว์อสูรแรกกำเนิดอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดออกมา
หากกลุ่มผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์รู้เรื่องนี้มาก่อน พวกเขาจะจบลงในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจเช่นนี้ได้อย่างไร?
ฟางหยวนรออยู่ชั่วครู่ เมื่อกลุ่มผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ไม่ได้กล่าวสิ่งใด เขาจึงส่ายศีรษะและเผยรอยยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “เอาล่ะ ข้าพูดไปแล้ว เหตุใดพวกเจ้ายังไม่เชื่อข้า? เป็นไปได้หรือไม่ที่พวกเจ้าต้องการต่อสู้จนถึงแก่ความตาย แต่โดยธรรมชาติข้าจะไม่ใช่หนึ่งในคนที่ต้องตาย”
“มนุษย์! เราจะเชื่อใจเจ้าได้อย่างไร?” ผู้อมตะระดับเจ็ดกล่าวด้วยความโกรธ
ฟางหยวนลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่ออีกฝ่ายกล่าวเช่นนี้ มันก็หมายความว่าพวกเขาถูกหลอกแล้ว ตอนนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความสามารถของเขา
ฟางหยวนกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคย
กลิ่นอายของท่าไม้ตายอมตะกระจายออกไปทำให้ผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ตื่นตัวและถอยห่างออกไป
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ตกใจ ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างขณะมองไปที่ฟางหยวนในร่างมนุษย์ขน
“ข้าเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงและได้รับมรดกที่แท้จริงบางส่วนของเหรินหว่าง ข้าสามารถหลอกลวงพวกเจ้าได้อย่างง่ายดายโดยการแปลงร่างเป็นมนุษย์ขน แต่เหตุใดข้าถึงไม่ทำเช่นนั้น?” ฟางหยวนกล่าวด้วยความจริงใจ
ผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์มองฟางหยวนแต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใด
ฟางหยวนกล่าวต่อ “ข้าทำเช่นนี้เพราะต้องการแสดงความจริงใจ! ตั้งแต่ข้าตระหนักถึงตัวตนของพวกเจ้า เราก็ถือเป็นฝ่ายเดียวกัน แม้ข้าจะเป็นผู้อมตะมนุษย์ แต่ข้าก็เป็นสมาชิกของแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา ต้นกำเนิดของแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาคือบรรพชนผมยาว ปัจจุบันมันอยู่ภายใต้การนำของจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยา นิกายหลางหยาถูกสร้างขึ้นและข้าเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสสูงสุดของนิกาย หากพวกเจ้าเชื่อข้า เพียงยกเลิกท่าไม้ตายเขตแดนอมตะและข้าจะส่งข้อความกลับไปรายงานนิกาย”
ผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์มองหน้ากันแต่ไม่มีผู้ใดเคลื่อนไหว
ทั้งสองฝ่ายติดอยู่ในทางตัน
ในการปัดเป่าเจตจำนงสวรรค์ที่ส่งอิทธิพลต่อความคิดของพวกเขา ฟางหยวนต้องพูดคุยเพื่อเปลี่ยนใจพวกเขา
เจตจำนงสวรรค์ไม่ใช่เจตจำนงปลอม มันส่งอิทธิพลต่อความคิดของผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ไม่มากนัก ท้ายที่สุดความฉลาดของมนุษย์กลายพันธุ์ก็เป็นรองเพียงมนุษย์เท่านั้น
“เอาล่ะ ข้าจะแสดงความบริสุทธิ์ใจก่อน” ฟางหยวนถอนหายใจก่อนจะเก็บอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดกลับเข้าไปในมิติช่องว่างจักรพรรดิ
การเคลื่อนไหวนี้ทำให้กลุ่มผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ตกใจ
“ระวัง แม้อินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุดจะถูกเก็บเข้าไปแล้วแต่มันก็สามารถออกมาได้ตลอดเวลา”
“พอแล้ว เก็บสนามรบสีเทา”
“ท่านผู้นำ…”
“พวกเจ้าคิดว่าสนามรบสีเทายังสามารถหยุดเขาได้งั้นหรือ?”
ผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์คนอื่นๆไม่สามารถโต้เถียง
จากสิ่งที่พวกเขาเห็น มันเป็นเรื่องจริง
ท่ามกลางความเงียบงัน สนามรบสีเทาถูกถอนออกไปอย่างช้าๆ วิสัยทัศน์ของฟางหยวนกลับมาสดใสอีกครั้ง
เขาอดทนต่อแรงกระตุ้นของการหลบหนีและกล่าวกับกลุ่มผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ “ดีมาก มิตรภาพมักเกิดขึ้นหลังจากต่อสู้ ข้าจะแจ้งข่าวกลับไปที่นิกายหลางหยาทันทีและรอให้นิกายส่งผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนมาที่นี่”
การแสดงออกของฟางหยวนไร้ขอบกพร่องใดๆ นอกจากนี้เขายังไม่ได้หลบหนี นี่เป็นอีกข้อพิสูจน์ที่ดี
“หากเป็นเช่นนั้นเราจะต้อนรับท่านในฐานะแขก” หลังจากกลุ่มเมฆหมอกกระจายหายไปมีผู้อมตะเพียงผู้เดียวที่เหลืออยู่ เขาคือผู้ควบคุมสนามรบสีเทา
“ฮ่าฮ่าฮ่า โปรดนำทาง” ฟางหยวนติดตามผู้อมตะเผ่ามนุษย์หินผู้นี้ลงไปใต้ดิน
ข้อเท็จจริงได้รับการพิสูจน์แล้วว่าอิทธิพลของเจตจำนงสวรรค์ไม่ได้ยิ่งใหญ่นัก อย่างน้อยฟางหยวนก็สามารถใช้คำพูดเพื่อปัดเป่าอิทธิพลนี้
แน่นอนว่าเหตุผลหลักมาจากอินทรีย์สวรรค์ชั้นสูงสุด
การดำรงอยู่ของสัตว์อสูรแรกกำเนิดทำให้กลุ่มผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์เปลี่ยนความคิด
เจตจำนงสวรรค์ไม่สามารถทำลายความมีเหตุมีผลของพวกเขา การท้าทายสัตว์อสูรแรกกำเนิดเป็นเพียงการรนหาที่ตายเท่านั้น
ในส่วนลึกของแดนน้ำแข็งมีโลกที่งดงามซ่อนตัวอยู่
ผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์หลายคนนำฟางหยวนเดินไปตามเส้นทางขณะที่เขามองทิวทัศน์อย่างเหม่อลอย
ผู้อมตะเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกระทั่งนิกายหลางหยาส่งผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนมาที่นี่
ผมที่สิบสองและผมที่หกร่วมอยู่ในคณะเดินทาง