Reverend Insanity เทพปีศาจหวนคืน - ตอนที่ 944
ความกลัวในใจ
แปลโดย iPAT
ภาคกลาง นิกายคฤหาสน์วิญญาณ
ภูเขาที่ตั้งตระหง่านถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาทึบ
ฟงจินฮวงนั่งอยู่บนก้อนไม้และมองไปที่น้ำตกด้วยน้ำตาที่ไหลนอง
คณะผู้อมตะที่เดินทางไปตรวจสอบความจริงเบื้องหลังการล่มสลายของวังแปดสิบแปดเปลวเพลิงที่แท้จริงกลับมาถึงภาคกลางเรียบร้อยแล้ว
แน่นอนว่าฟงจิวเก้อไม่ได้กลับมา
ฟงจิวเก้อหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยที่ภาคเหนือ จากมุมมองของฟงจินฮวง มีความเป็นไปได้สูงมากที่บิดาของนางจะตายไปแล้ว
หลายวันที่ผ่านมา ฟงจินฮวงไม่สามารถกินดื่มหรือบ่มเพาะ นางร้องไห้ทุกวันจนร่างกายซูบผอม
ชีวิตและความตาย นี่เป็นเรื่องที่หนักหน่วงสำหรับนาง
ไม่ใช่ว่านางไม่เคยเห็นผู้ใดตาย
แต่เมื่อมันเกิดขึ้นกับคนในครอบครัวของนางเอง นางกลับไม่สามารถยอมรับ
หน้าฉาก นางยังบ่มเพาะตามปกติ แต่ในความเป็นจริงนางแทบไม่สามารถรักษาความสงบและจดจ่ออยู่กับมัน
ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังฟงจินฮวงอย่างเงียบๆ
“ลูกสาว…” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น
ฟงจินฮวงหันหน้ากลับไปเพื่อพบกับมารดาของนาง
“ท่านแม่!” ฟงจินฮวงไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป นางพุ่งเข้าสู่อ้อมกอดของเทพธิดาไป่ชิงและร้องไห้อย่างหนัก
เทพธิดาไป่ชิงปลอบใจฟงจินฮวงอยู่เป็นเวลานานก่อนที่นางจะสงบลง
“ท่านแม่ ท่านพ่อแข็งแกร่งมาก ท่านต้องไม่เป็นไรใช่หรือไม่?” ฟงจินฮวงเงยหน้ามองเทพธิดาไป่ชิงด้วยความคาดหวัง
แต่เทพธิดาไป่ชิงกลับส่ายศีรษะ “กระทั่งผู้อมตะระดับเก้าก็ไม่สามารถหลบหนีจากความตายโดยไม่ต้องกล่าวถึงพ่อของเจ้า มนุษย์ล้วนต้องตายในวันหนึ่ง ฮวงเอ๋อ แม่จะเล่านิทานให้เจ้าฟัง”
มันเป็นเรื่องของมนุษย์คนแรก
ตำนานกล่าวว่ามนุษย์คนแรกพยายามร้องขอให้มนุษย์วิหคช่วยบุตรสาวของตน
อย่างไรก็ตามมนุษย์วิหคเป็นเผ่าพันธุ์ที่รักอิสระ พวกมันไม่ยินดีทำตามคำสั่งของผู้ใด
มนุษย์คนแรกวางแผนแต่ล้มเหลว มนุษย์วิหคยอมตายดีกว่าสูญเสียอิสรภาพ
มนุษย์คนแรกรู้สึกสับสนมาก
เขาไม่สามารถช่วยชีวิตลูกๆของเขาไม่ว่าจะเป็นลูกคนใดก็ตาม
ในเวลานี้ วิญญาณตัวตนจึงเปิดปากกล่าว “มนุษย์ หากเจ้าต้องการช่วยหยางเมิ้ง ข้ามีวิธี”
มนุษย์คนแรกต้องการช่วยเหลือลูกๆ อย่างน้อยก็คนใดคนหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงเร่งถาม “โอ้ วิธีใด?”
วิญญาณตัวตนหัวเราะ “สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกนี้ล้วนต้องตายเพราะวิญญาณโชคชะตานำทางเข้าสู่ประตูแห่งชีวิตและความตาย มนุษย์ เจ้าเคยเข้าสู่ประตูแห่งชีวิตและความตายแต่เจ้าไม่ได้เดินตามรอยเท้าของวิญญาณโชคชะตา เจ้าก้าวเข้าสู่เส้นทางสายใหม่และนำตนเองออกมาจากประตูแห่งชีวิตและความตาย”
“ตราบเท่าที่หยางเมิ้งเดินตามรอยเท้าของเจ้า เขาจะสามารถออกจากประตูแห่งชีวิตและความตายเช่นกัน นี่คือวิธีที่จะทำให้บุตรชายของเจ้ารอดชีวิต”
มนุษย์คนแรกลังเลแต่เขาก็ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจปล่อยบุตรสาวคนที่สี่ให้อยู่ในเหวธรรมดาต่อไปขณะที่ทำตามคำแนะนำของวิญญาณตัวตนเพื่อช่วยบุตรชายคนแรก
มนุษย์คนแรกเริ่มออกเดินทางไปยังประตูแห่งชีวิตและความตายอีกครั้ง วันหนึ่งเขาได้พบกับมนุษย์อสูร
มนุษย์อสูรที่มีร่างกายเต็มไปด้วยมัดกล้ามและเขี้ยวที่แหลมคมตะโกน “อย่าเข้ามา อย่าเข้ามา ข้ากลัวแล้ว!”
มนุษย์คนแรกถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “มนุษย์อสูร เจ้ากลัวสิ่งใด?”
มนุษย์อสูรตอบ “ข้ากลัวเงาของตนเอง มันติดตามข้าไปทุกหนทุกแห่ง ข้าไม่สามารถกำจัดมันออกไป ข้าวิ่งไปเรื่อยๆและเริ่มหิวกระหาย ข้ากำลังจะตาย!”
มนุษย์คนแรกรู้สึกขบขัน “โอ้ มนุษย์อสูร เจ้ามีร่างกายใหญ่โตแข็งแรงแต่เจ้ากลับกลัวเงาที่ไม่มีอันตรายเช่นนั้นหรือ? เจ้าขี้กลัวเกินไปแล้ว”
ในจังหวะนี้วิญญาณดวงหนึ่งบินออกมาจากหัวใจของมนุษย์อสูรและหัวเราะ “มนุษย์ อย่ากล่าวเรื่องไร้สาระ เจ้าไม่รู้สึกกลัวเพราะเจ้าไม่เคยพบข้า วิญญาณความหวาดกลัว ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
“วิญญาณความหวาดกลัว?” มนุษย์คนแรกก้าวถอยหลัง
เมื่อวิญญาณความหวาดกลัวปรากฏตัว ความหวาดกลัวก็เริ่มแทรกตัวเข้าสู่หัวใจของมนุษย์คนแรก
เขารู้สึกกลัว
วิญญาณความหวาดกลัวหัวเราะอย่างเย่อหยิ่งและกล่าวกับมนุษย์อสูร “ข้าจะปล่อยเจ้าไปเดี๋ยวนี้ อสูรน้อย เจ้าหนูผู้น่าสงสาร”
มนุษย์อสูรที่ได้รับอิสระร้องไห้ด้วยความยินดี
วิญญาณความหวาดกลัวหันหน้ากลับมาทางมนุษย์คนแรก “มนุษย์ เจ้ากล้าดูแคลนข้า ข้าจะทำให้เจ้าทรมานด้วยความหวาดกลัวอย่างไม่รู้จบสิ้น!”
หลังกล่าวจบคำ วิญญาณความหวาดกลัวพุ่งเข้าสู่หัวใจของมนุษย์คนแรกทันที
มนุษย์คนแรกหวาดกลัวมาก
วิญญาณความหวาดกลัวทำให้มนุษย์คนแรกกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวทุกครั้งที่สายลมพัดผ่าน
เขากลัวงู กลัวใบไม้ กลัวสายฝน และกลัวทุกสิ่งทุกอย่าง
เดิมทีเขาต้องการไปที่ประตูแห่งชีวิตและความตายแต่ตอนนี้เขากลัวทุกสิ่งจนแทบไม่สามารถเคลื่อนที่ไปที่ใด
แน่นอนว่าวิญญาณความหวาดกลัวทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวต่อความตาย
มนุษย์คนแรกไม่กล้าเดินไปที่ประตูแห่งชีวิตและความตายอีกต่อไป
วิญญาณตัวตนถอนหายใจ “มนุษย์ ความตายไม่น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวจริงๆก็คือความกลัวในใจของเจ้า”
“ถูกต้อง” วิญญาณความหวาดกลัวกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “สิ่งเดียวที่ควรค่าแก่ความหวาดกลัวก็คือความกลัวในใจของเจ้าเอง”
เทพธิดาไป่ชิงกล่าวเรื่องนี้ขณะที่ฟงจินฮวงนิ่งเงียบอยู่ในอ้อมกอดของนาง
เทพธิดาไป่ชิงกล่าวกับบุตรสาวด้วยความรัก “ฮวงเอ๋อ เจ้าต้องเข้มแข็งขึ้นและเผชิญหน้ากับความตาย ทุกคนล้วนต้องตายไม่เว้นแม้แต่ผู้อมตะระดับเก้า พ่อของเจ้าอาจตายหรืออาจมีชีวิตอยู่ แต่วันหนึ่งไม่ว่าจะเป็นข้าหรือเจ้า พวกเราก็ต้องตาย อย่ายอมแพ้ความหวาดกลัวในหัวใจของตนเอง”
ร่างกายของฟงจินฮวงสั่นสะท้านขึ้น
นางถอนตัวออกจากอ้อมกอดของมารดา แม้นางจะยังหลั่งน้ำตาแต่นางดูเข้มแข็งมากขึ้น
นางกัดฟันกล่าว “ท่านแม่ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะอดทน ข้าจะไม่หวาดกลัวและเผชิญหน้ากับความจริง ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร ข้า ฟงจินฮวง ก็จะไม่ทำให้ท่านพ่อท่านแม่เสื่อมเสียชื่อเสียง!”
“เด็กดี” เทพธิดาไป่ชิงเผยรอยยิ้มอ่อนโยน
แต่ในความเป็นจริงในใจนางกลับปั่นป่วนวุ่นวาย
การหายตัวไปของฟงจิวเก้อส่งอิทธิพลต่อนางเป็นอย่างมาก
การคงอยู่ของฟงจิวเก้อทำให้นิกายอื่นเกรงกลัวนิกายคฤหาสน์วิญญาณ แต่เมื่อฟงจิวเก้อหายตัวไป อิทธิพลของนิกายคฤหาสน์วิญญาณจึงลดลง มันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ไม่เพียงปัญหาภายนอก ยังมีความขัดแย้งภายใน
ปราศจากฟงจิวเก้อ คลื่นใต้น้ำที่เคยสงบนิ่งมาตลอดก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง
ความยิ่งใหญ่ของฟงจิวเก้อทำให้เทพธิดาไป่ชิงเกือบลืมไปว่ามีผู้คนมากมายในนิกายที่ต่อต้านพวกนาง
หลายวันที่ผ่านมา พวกเขาพยายามสร้างปัญหาและกดดันเทพธิดาไป่ชิงอย่างหนักหน่วง
เทพธิดาไป่ชิงต้องการไปที่ภาคเหนือเพื่อช่วยเหลือสามีของตนแต่นางยังต้องควบคุมอารมณ์และอยู่ดูแลบุตรสาวให้ดีที่สุด
หากนางจากไปแล้วฟงจินฮวงจะอยู่อย่างไร?
‘นางเป็นแค่เด็ก!’ นี่คือความคิดของเทพธิดาไป่ชิง
จากมุมมองของพ่อแม่ ลูกทุกคนยังเป็นเด็กเสมอ
…..
ที่ราบภาคเหนือ
ศพที่ไร้ศีรษะของไห่เจิ้งนอนอยู่บนพื้นโคลน
ไห่ลั่วหลันสังหารไห่เจิ้ง กระทั่งดวงวิญญาณของไห่เจิ้งก็ถูกจับและทรมานโดยไห่ลั่วหลัน
นางมารผลาญสวรรค์วางฝ่ามือลงบนหน้าท้องของซากศพ เปลวเพลิงลุกไหม้ขึ้นก่อนที่บางสิ่งจะลอยออกมา
“นี่คือมิติช่องว่างของไห่เจิ้ง เสี่ยวหลันรับมันไว้ อีกเจ็ดวันเจ็ดคืน ท่าไม้ตายอมตะของข้าจะสิ้นสุดลง มิติช่องว่างนี้จะผสานเข้ากับมิติช่องว่างของเจ้า น่าเสียดายที่วิญญาณทั้งหมดถูกทำลายไปแล้ว”
นางมารผลาญสวรรค์กล่าวขณะส่งมอบไข่มุกเพลิงให้กับไห่ลั่วหลัน
ไห่ลั่วหลันรับมันไว้อย่างเงียบๆ
เทพธิดาหลี่ซานกับฟางหยวนลอบตกตะลึงกับวิธีการของนางมารผลาญสวรรค์
นางมารผลาญสวรรค์หัวเราะ “อย่ามองข้าเช่นนั้น มันไม่ใช่ทักษะที่ข้าคิดค้นขึ้นด้วยตนเองแต่เป็นมรดกของผู้อมตะเฒ่ากงเจีย ข้าเรียนรู้วิธีนี้มาจากทะเลตะวันออกและผสานมันเข้ากับเส้นทางแห่งไฟของข้า”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางมารผลาญสวรรค์เป็นปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งไฟที่หาได้ยาก
ด้วยความสำเร็จระดับนี้ มันเป็นเรื่องง่ายที่นางจะทำความเข้าใจทักษะบนเส้นทางสายอื่นด้วยรากฐานบนเส้นทางแห่งไฟของนางเอง
“เอาล่ะ ตอนนี้มาคุยเรื่องของเจ้า ฟางหยวน” เทพธิดาหลี่ซานหันหน้าไปทางฟางหยวนและกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา