Reverend Insanity เทพปีศาจหวนคืน - ตอนที่ 961
เรื่องที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
แปลโดย iPAT
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าประสบความสำเร็จในที่สุด!”
ฟางหยวนเดินออกมาจากถ้ำใต้พิภพด้วยความสุข
ช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาใช้ความพยายามอย่างมากในการแก้ไขท่าไม้ตายอมตะ สุดท้ายเขาก็ประสบความสำเร็จ
ท่าไม้ตายอมตะนี้ใช้วิญญาณอมตะกินความแข็งแกร่ง วิญญาณอมตะยกภูเขา และวิญญาณอมตะดึงแม่น้ำเป็นแกนกลางโดยมีวิญญาณระดับมนุษย์อีกนับแสนดวง
ในการกระตุ้นใช้งาน ฟางหยวนต้องตั้งสมาธิและใช้เวลาถึงสองชั่วโมง
หลังจากสามวันสามคืน เขาจะสามารถสับเปลี่ยนร่างกายระหว่างร่างผีดิบอมตะกับร่างมนุษย์ที่มีชีวิต
แม้มันจะไม่สะดวกเหมือนท่าไม้ตายอมตะเพลิงนิพพานแต่ฟางหยวนก็พอใจมากแล้ว
ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณแสงแห่งปัญญาและท่าไม้ตายอมตะเพลิงนิพพานที่ทำให้เขาสามารถลอกเลือนแบบและสร้างท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางความแข็งแกร่ง
แน่นอนว่าหากปราศจากความสำเร็จบนเส้นทางแห่งปัญญาระดับปรมาจารย์ เขาอาจไม่ประสบความสำเร็จ
‘ต่อไป ข้าจะใช้ซากศพผีดิบอมตะบนเส้นทางความแข็งแกร่งเพื่อสร้างมิติช่องว่างแห่งชีวิตและความตายระดับสูง’ ฟางหยวนคิดและถอนหายใจ
หลังจากค้นหาวิธีฟื้นฟูร่างกายมาอย่างยาวนาน เขาก็มาถึงจุดนี้ในที่สุด
สำหรับหุบเขาเหล่าโป ไท่เป่ยหยุนเฉิงซ่อมแซมมันเรียบร้อยแล้ว
ฟางหยวนทดลองเข้าไปฝึกฝนในหุบเขาเหล่าโปมาแล้วและพบว่ามันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับการบ่มเพาะจิตวิญญาณเช่นเดียวกับภูเขาตงฮัน
การจับคู่ระหว่างภูเขาตงฮันกับหุบเขาเหล่าโปทำให้การบ่มเพาะจิตวิญญาณของฟางหยวนพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด
แต่ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขาคือการฟื้นคืนสู่ชีวิต การบ่มเพาะจิตวิญญาณยังไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน
อย่างไรก็ตามในจังหวะที่เขากำลังจะเริ่มดำเนินการ เขากลับได้รับจดหมายจากนางมารผลาญสวรรค์
เนื้อหาในจดหมายทำให้แผนการฟื้นฟูร่างกายของฟางหยวนหยุดชะงัก
“ผีดิบอมตะสุดยอดกายาเทพยุทธ์ที่แท้จริงระดับแปด!?” หัวใจของฟางหยวนแทบกระโดดออกมาจากหน้าอก
มันเป็นข้อมูลเกี่ยวกับภูเขาไร้นามที่ภาคใต้
ตอนนี้เรื่องของคฤหาสน์วิญญาณอมตะสนามรบแห่งความโกลาหลได้แพร่กระจายไปทั่วภาคใต้แล้ว
แน่นอนว่าภาคใต้มีกองกำลังพันธมิตรผีดิบอยู่เช่นกัน
ในฐานะผู้นำกองกำลังพันธมิตรผีดิบของภาคเหนือ เป็นธรรมดาที่นางมารผลาญสวรรค์จะได้รับข้อมูลนี้อย่างรวดเร็ว
“นางมารผลาญสวรรค์ช่างมีความทะเยอทะยานสูงนัก นางรู้ว่าข้ามีวิญญาณท่องแดนอมตะ ดังนั้นนางจึงติดตามข่าวสารต่างๆของทั้งห้าภูมิภาคอยู่เสมอ ในฐานะผู้นำกองกำลังพันธมิตรผีดิบของภาคเหนือ ความสามารถในการรวบรวมข่าวสารของนางจึงเหนือกว่าเทพธิดาหลี่ซาน”
ฟางหยวนรู้สึกถึงความอ่อนด้อยในเรื่องของการรวบรวมข่าวสารอีกครั้ง
ในชีวิตก่อนหน้าเขามีเครือข่าวกว้างขวางและด้วยวิญญาณบนเส้นทางแห่งเลือด เขาจึงสามารถรวบรวมข้อมูลได้ค่อนข้างดี
แต่ในชีวิตนี้ ฟางหยวนพึ่งพาเพียงความทรงจำในชีวิตก่อนหน้าเท่านั้น ข้อมูลส่วนใหญ่ที่เขาได้รับมาจากเทพธิดาหลี่ซานกับจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยา
เมื่อเกิดเรื่องที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนมากขึ้นเรื่อยๆ ช่วยไม่ได้ที่ฟางหยวนจะรู้สึกว่าความทรงจำในชีวิตก่อนหน้าของเขาเริ่มไม่น่าเชื่อถือ
ความจริงของประวัติศาสตร์ถูกซ่อนเอาไว้ลึกเกินกว่าความตระหนักรู้ของฟางหยวน ความทรงจำในชีวิตก่อนหน้าของเขาเป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น
กระทั่งเรื่องที่เขาเคยประสบด้วยตนเอง มันก็อาจไม่ง่ายเช่นที่เขาคิด
สาเหตุของเหตุการณ์มากมายมีความซับซ้อนกว่านั้น
‘ในชีวิตก่อนหน้า ข้ามีช่วงเวลาที่ยากลำบาก ข้าค่อยๆไต่ขึ้นจากจุดต่ำสุด เครือข่ายและทรัพยากรของข้าถูกสะสมอย่างช้าๆ ข้ามีจุดอ่อนมากมาย หลังจากเกิดใหม่ ข้าได้รับโอกาสและก้าวขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว แต่ในหลายแง่มุม ข้ายังตามไม่ทัน’
‘ดูเหมือนข้าต้องหาทางรวบรวมข้อมูลให้มากขึ้น ข้าสามารถพึ่งพานางมารผลาญสวรรค์ แต่ในระยะยาว ข้าต้องพึ่งพาตนเองเท่านั้น!’
ฟางหยวนครุ่นคิด
การขาดข้อมูลหมายถึงการสูญเสียโอกาส
เช่นเดียวกับตอนนี้ ฟางหยวนไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นและเกือบพลาดโอกาสครั้งสำคัญ
สามวันต่อมา ฟางหยวนเดินทางไปยังภาคใต้ใกล้กับภูเขาไร้นามโดยลำพัง
นางมารผลาญสวรรค์ยังอยู่ในเมืองคลื่นทมิฬ นางบอกฟางหยวนว่านางกำลังยุ่งกับการหลอมรวมวิญญาณอมตะและสร้างค่ายกลวิญญาณ นางไม่สามารถออกมาในเวลานี้ แต่หากจำเป็น นางก็จะเคลื่อนไหวทันที
สำหรับไห่ลั่วหลันกับเทพธิดาหลี่ซาน พวกนางยังอยู่ที่หุบเขาเหล่าโปเพื่อบ่มเพาะจิตวิญญาณ พวกนางสนใจสนามรบแห่งความโกลาหลเช่นกันแต่กลิ่นอายของผู้อมตะภาคเหนือจะดึงดูดผู้คนมากเกินไป
ฟางหยวนมาที่นี่เพื่อหาข้อมูลเพิ่ม
แม้เขาจะเป็นผู้อมตะภาคเหนือแต่เขามีท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คลุมเครือ ผู้อมตะทั่วไปไม่สามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเขา
บนยอดเขาไร้นาม ภาพมายาฉายซ้ำอีกครั้ง
แต่ไป่หนิงปิงไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไป
ฟางหยวนเฝ้ามองมันสามรอบและไตร่ตรองก่อนจะมุ่งหน้าเข้าไปหาภูเขาไร้นาม
เป็นเช่นเดียวกับสิ่งที่นางมารผลาญสวรรค์กล่าวไว้ในจดหมาย สถานที่แห่งนี้เป็นเขตต้องห้ามของผู้อมตะ ยิ่งฟางหยวนเข้าใกล้มากเท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกอ่อนแรงมากเท่านั้น เขารู้สึกว่ามิติช่องว่างของเขาถูกกดทับโดยพลังงานที่ไร้รูปลักษณ์
ฟางหยวนต้องหยุดเคลื่อนไหว มิฉะนั้นมิติช่องว่างของเขาอาจถูกทำลาย
เขาต้องถอย!
แต่ในจังหวะนี้เขากลับได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆมาจากด้านหลัง
รูม่านตาของฟางหยวนหดเล็กลงขณะที่เร่งหันหลังกลับ
เขาเห็นหญิงสาวในชุดชมพูกับเส้นผมสีแดงที่ดูเย้ายวนยืนอยู่ใกล้ๆ
ฟางหยวนระวังตัวมากขึ้น
หญิงผู้นี้เป็นผู้อมตะระดับหก
เห็นการจ้องมองของฟางหยวน นางจึงเปิดปากแนะนำตัว “ข้าชื่อหลี่เหมยฮัว ผู้คนเรียกข้าว่าท่านยายเหมยฮัว หนุ่มน้อยผู้หล่อเหลา ข้าไม่คุ้นหน้าเจ้า เจ้ามาจากที่ใดงั้นหรือ?”
ฟางหยวนเผยรอยยิ้มบางและคิด ‘นางก็คือท่านยายเหมยฮัว’
แม้ฟางหยวนจะไม่เคยพบท่านยายเหมยฮัวด้วยตนเอง แต่เขาเคยพบหลานสาวของนาง ฮูเหม่ยเอ๋อ
ความสวยงามเป็นธรรมชาติของผู้หญิง
สำหรับผู้อมตะ อายุไม่มีความสัมพันธ์กับรูปลักษณ์
ตอนนี้ฟางหยวนอยู่ในชุดคลุมเขียว เขาปลอมตัวเป็นผู้อมตะระดับหกวัยกลางคนที่มีดวงตาสีเขียวหยกที่น่าขนลุก อาจดูแปลกตาแต่เขาก็ดูดีมาก
“ท่านยายเหมยฮัว ข้าได้ยินเรื่องราวของท่านมานานแล้ว ข้าคือเจิ้งอิง ข้าเป็นเพียงคนจรเท่านั้น” ฟางหยวนตอบ
“เจิ้งอิง…” หลี่เหมยฮัวพยายามทบทวนความทรงจำแต่นางจำไม่ได้ว่ามีคนผู้นี้อยู่ในภาคใต้
อย่างไรก็ตามนางไม่แปลกใจ
เมื่อได้ยินการแนะนำตัวของฟางหยวน นางคิดว่าเขาเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษ
ภาคใต้มีภูเขาอยู่นับไม่ถ้วน มีผู้บ่มเพาะสันโดษมากมายที่ไม่เคยแสดงตัวและไม่มีผู้ใดรู้จักพวกเขา
แต่เนื่องจากคฤหาสน์วิญญาณอมตะสนามรบแห่งความโกลาหล มันจึงดึงดูดผู้อมตะมากมายเข้ามา
ฟางหยวนในนามเจิ้งอิงก็เป็นหนึ่งในนั้น
หลายวันมานี้หลี่เหมยฮัวได้พบกับผู้อมตะหลายคนที่คล้ายกับฟางหยวน
ด้านฟางหยวน เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับการต้อนรับที่อบอุ่นของหลี่เหมยฮัว
ฟางหยวนกำลังจะถามแต่หลี่เหมยฮัวชิงตอบตัดหน้า
ฟางหยวนเข้าใจทันที
หลี่เหมยฮัวเชิญฟางหยวนให้ติดตามไป ฟางหยวนตกลงและเดินทางไปยังภูเขาหัวขาดที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งพันลี้พร้อมกันกับนาง
เขาเห็นปีศาจอมตะและผู้บ่มเพาะสันโดษหลายคนรออยู่ที่นี่ ทุกคนต่างแสดงออกด้วยสีหน้าเย็นชาและไร้ปรานี
ไม่มีผู้ใดรู้จักฟางหยวน ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดพูดคุยกับเขา
แต่หลี่เหมยฮัวกลับได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เมื่อนางมาถึง หลายคนเร่งเผยรอยยิ้มทักทาย “หลี่เหมยฮัว เจ้านำมาอีกคนแล้ว?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ครั้งนี้พวกเราปีศาจอมตะและผู้บ่มเพาะสันโดษมารวมตัวกันเพื่อต่อรองกับฝ่ายธรรมะ ท่านยายเหมยฮัวทำได้ยอดเยี่ยมนัก”
“ท่านยกย่องข้าเกินไปแล้ว ข้าเพียงทำอย่างเต็มที่เท่านั้น” หลี่เหมยฮัวทักทายกลับด้วยรอยยิ้ม
“ให้ข้าแนะนำพวกท่าน นี่คือน้องเจิ้งอิง เขาเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษ” หลังจากทักทายทุกคน หลี่เหมยฮัวจึงเริ่มแนะนำฟางหยวน
“ดังนั้นก็คือน้องเจิ้ง” ปีศาจอมตะผู้หนึ่งป้องหมัดขึ้น
“ข้าคือจงอี้ซื่อ”
“ดูเหมือนท่านจะบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง โอ้ ชื่อของข้าคือ หลานเทียนหง ข้าเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษเช่นกัน”
…..
ฟางหยวนแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขาไร้ทักษะในการเข้าสังคมและไม่มีปฏิสัมพันธ์กันผู้ใดมากนัก
หลังจากทักทายกันเล็กน้อย ภูเขาหัวขาดก็กลับคืนสู่ความเงียบอีกครั้ง
สำหรับหลี่เหมยฮัว นางไม่ได้อยู่ที่นี่นานนัก นางต้องกลับไปที่ภูเขาไร้นามเพื่อรอผู้บ่มเพาะสันโดษคนอื่นๆ
ก่อนจากไป นางชี้นิ้วไปที่ภูเขาลูกหนึ่งและกล่าวกับฟางหยวน “ภูเขาต้นสนเป็นค่ายพักแรมของฝ่ายธรรมะ”
แม้นางจะไม่แนะนำแต่กลิ่นอายที่รุนแรงของผู้อมตะก็แผ่พุ่งออกมาจากที่นั่น แน่นอนว่าฟางหยวนรู้อยู่แล้ว
หลังจากแยกทางกับหลี่เหมยฮัว ฟางหยวนพักอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งโดยไม่ได้ออกมา
เขาอยู่ที่นี่เป็นเวลาสิบวัน ในช่วงเวลานี้ภูเขาหัวขาดและภูเขาต้นสนมีผู้อมตะทั้งฝ่ายปีศาจและธรรมะมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ
พวกเขาส่วนใหญ่เป็นผู้อมตะระดับหก เมื่อใดที่ผู้อมตะระดับเจ็ดปรากฏตัว ความโกลาหลจะปะทุขึ้น สุดท้ายกระทั่งผู้อมตะระดับแปดยังมารวมตัวกันถึงสี่คน
ท่ามกลางผู้อมตะระดับแปดทั้งสี่มีปีศาจอมตะหนึ่งคน ผู้บ่มเพาะสันโดษหนึ่งคน และผู้อมตะฝ่ายธรรมะอีกสองคน
นี่ทำให้เกิดสมดุลระหว่างสองฝ่าย
หลังจากเจรจาเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน ทั้งสองจึงบรรลุข้อตกลงในที่สุด
พวกเขาจะเข้าสู่การแข่งขันครั้งใหญ่ที่สุดในรอบพันปี!
ผู้ชนะจะได้ครอบครองภูเขาไร้นามขณะที่คนอื่นๆจะไม่โจมตีผู้ชนะเป็นเวลาสามปีต่อจากนี้