Reverend Insanity เทพปีศาจหวนคืน - บทที่ 1439 จ้าวเหลียนหยุนก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ผู้อาวุโสฟางหยวน เจ้ากลับมาแล้ว!” จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาหัวเราะเสียงดังขณะเดินเข้าไปหาฟางหยวน
ฟางหยวนหัวเราะเช่นกัน “ข้ารู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน หัวใจของข้ารู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยมากจริงๆ”
ทั้งสองกอดกันแน่นด้วยการแสดงออกที่อบอุ่น
“ผู้อาวุโสฟางหยวน ชื่อของเจ้าทำให้โลกทั้งใบสั่นสะเทือน ยินดีด้วย ยินดีด้วย” จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยามองฟางหยวนแตกต่างไปจากเดิมอย่างสมบูรณ์
ตอนนี้ฟางหยวนมีพลังการต่อสู้ระดับแปด นี่เป็นพลังการต่อสู้ของเขาเองและมันเพียงพอให้จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาให้ความสำคัญกับเขามากขึ้น
นอกจากนี้ฟางหยวนยังสามารถหลบหนีจากการไล่ล่าของวังสวรรค์และกลับมายังแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาได้อย่างปลอดภัย
ความสำเร็จในครั้งนี้จะทำให้โลกทั้งใบสั่นสะเทือนหากมันถูกเปิดเผยออกไป
จากมุมมองของจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยา เขาเต็มใจที่จะเห็นฟางหยวนเกลียดชังกองกำลังอันดับหนึ่งของมนุษย์เช่นวังสวรรค์
ยิ่งฟางหยวนถูกไล่ล่ามากเท่าใด จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาก็ยิ่งมีความสุขเท่านั้น
เพราะเขาเป็นมนุษย์ขนและเป้าหมายของเขาก็คือการนำเผ่ามนุษย์ขนปกครองโลก
แน่นอนว่าความปลอดภัยของแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาสำคัญที่สุด หากเขาไม่มั่นใจว่าฟางหยวนสะอาดหมดจดและไม่เปิดเผยร่องรอยให้วังสวรรค์สามารภติดตาม จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาจะไม่ต้อนรับเขาเช่นนี้
“ผู้อาวุโสฟางหยวน แผนการต่อไปของเจ้าเป็นอย่างไร?” จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาถาม
ฟางหยวนกล่าวอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ลังเล “สถานการณ์ตอนนี้ค่อนข้างอันตราย ข้าตั้งใจพักผ่อนและจัดระเบียบใหม่อยู่ที่นี่สักระยะ ตอนนี้ข้าได้รับมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจจิตวิญญาณและกลายเป็นผู้นำนิกายเงา ตราบเท่าที่ข้ามีเวลาเพียงพอ ข้าจะสามารถยกระดับรากฐานและเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตนเอง วังสวรรค์ไม่สามารถติดตามข้าได้อีกต่อไป คิดย้อนกลับไป มันอันตรายมากจริงๆ โชคดีที่ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งให้การสนับสนุนข้าอย่างเต็มที่!””
จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยารู้สึกเขินอายเล็กน้อย เขาทำได้เพียงหัวเราะเสียงดังเท่านั้น
เขาไม่ได้สนับสนุนฟางหยวนอย่างเต็มที่และช่วยเขาหลอมรวมวิญญาณอมตะตามกฎของนิกายที่เขาตั้งขึ้นด้วยตนเองเท่านั้น
หากเขาต้องการสนับสนุนฟางหยวน เขาคงส่งผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนออกไปช่วยฟางหยวนนานแล้ว
ทั้งสองสนทนากันขณะเดินไปข้างหน้า
ระหว่างทางผู้ใช้วิญญาณเผ่ามนุษย์ขนหลายคนโค้งคำนับพวกเขาด้วยความเคารพ
พัฒนาการของนิกายหลางหยาก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ตั้งแต่จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาเปลี่ยนกลยุทธ์ในการพัฒนาโดยส่งเสริมให้มนุษย์ขนจากสามทวีปทำสงคราม ผู้ใช้วิญญาณเผ่ามนุษย์ขนที่โดดเด่นปรากฏตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ชนชั้นสูงเหล่านี้ได้รับคัดเลือกให้ขึ้นมาบ่มเพาะอยู่บนทวีปเมฆา
ภาพจิตรกรรมฝาผนังของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของนิกายหยางหลาปรากฏอยู่ทุกหนทุกแห่งบนทวีปเมฆา
เมืองเมฆาที่สองของฟางหยวนยังมีรูปปั้นยักษ์ของเขาตั้งอยู่เช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ผู้ใช้วิญญาณเหล่านี้จึงคุ้นเคยกับผู้อมตะทั้งหมดของนิกาย
ในการสนทนาไม่ต้องสงสัยเลยว่าจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาให้ความสนใจกับมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจจิตวิญญาณเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันฟางหยวนก็ต้องการหยิบยืมพลังอำนาจของนิกายหลางหยาเพื่อหลอมรวมวิญญาณอมตะ
ฟางหยวนมีความสามารถบางอย่างบนเส้นทางการหลอมรวมแต่เมื่อเปรียบเทียบกับนิกายหลางหยา เขายังไม่ถือเป็นสิ่งใด
ทั้งสองตกลงทำการแลกเปลี่ยนกันหลายสิ่งหลายอย่างจนเป็นที่พึงพอใจ
ฟางหยวนเดินไปยังห้องหลอมรวมเพื่อพบกับผมที่หก
“ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่สอง ขออภัยด้วยที่ไม่ได้ออกไปต้อนรับ” ผมที่หกกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เขาอยู่ในสภาพที่น่าสมเพช เมื่อเห็นฟางหยวน ความรู้สึกซับซ้อนปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
มันมีทั้งความยินดี ความเหงา ความไม่แน่ใจ และการถอนหายใจ
เหตุการณ์ในชีวิตดำเนินไปในทางที่ลึกลับ ก่อนหน้านี้ผมที่หกต้องการกำจัดฟางหยวน
แต่ตอนนี้ฟางหยวนกลับกลายเป็นผู้นำของนิกายเงาและเป็นความหวังเดียวในการช่วยร่างหลักของเทพปีศาจจิตวิญญาณ
เมื่อฟางหยวนช่วยชีวิตอิงอู๋เซี่ยและต่อต้านวังสวรรค์ ผมที่หกจึงเลือกที่จะยอมรับตำแหน่งของฟางหยวน
“ผมที่หกคารวะท่านผู้นำนิกาย โปรดยกโทษให้ข้าที่ไม่สามารถแสดงความเคารพได้มากกว่านี้” ผมที่หกลอบส่งเสียงไปหาฟางหยวน
นี่คือแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาสามารถสังเกตเห็นทุกสิ่งได้อย่างชัดเจน
“มันเป็นเรื่องผิวเผิน ข้าไม่สนใจสิ่งเหล่านี้” ฟางหยวนตอบ “ข้าต้องขอบคุณสำหรับความพยายามของเจ้าที่ช่วยข้าหลอมรวมวิญญาณอมตะ วังสวรรค์เป็นศัตรูกับข้า วันหนึ่งข้าจะบุกวังสวรรค์และใช้กำลังทั้งหมดเพื่อช่วยเทพปีศาจจิตวิญญาณ”
ผมที่หกพยักหน้า ดวงตาของเขาส่องประกายขึ้นก่อนที่เขาจะนำทางฟางหยวน “เชิญทางนี้”
ในความเป็นจริงผมที่หกรู้ว่าฟางหยวนไม่มีความมั่นใจในเรื่องนี้ กระทั่งฟางหยวนจะไม่ทำตามคำพูด เขาก็ไม่สามารถกล่าวโทษ
แต่สำหรับมนุษย์ที่มีชีวิต พวกเขาต้องการความหวัง แม้จะมีความหวังเพียงน้อยนิดก็ตาม
ยิ่งไปกว่านั้นผมที่หกรู้ดีว่าหากฟางหยวนไม่เข้าร่วม เพียงผู้อมตะที่เหลืออยู่ของนิกายเงา พวกเขาไม่สามารถทำสิ่งใดและจะถูกกำจัดไปในไม่ช้า
วังสวรรค์ไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวเพราะฟางหยวนอาจเป็นคนแรกที่กำจัดสมาชิกนิกายเงาเพื่อรับผลประโยชน์
ราชันภูเขาม่วงทำนายอนาคตไว้แล้ว ดังนั้นเพื่อรักษากองกำลังที่เหลืออยู่ของนิกายเงา เขาจึงส่งต่อนิกายเงาให้กับฟางหยวน
ฟางหยวนเข้าใจเจตนาของราชันภูเขาม่วง แต่เขายอมรับมันและมีความสุขกับเรื่องนี้เช่นกัน
ฟางหยวนเดินตามผมที่หกไปถึงด้านหน้าค่ายกลวิญญาณบนเส้นทางแห่งการหลอมรวม
ที่นั่นเปลวเพลิงกำลังลุกไหม้ขึ้นแต่มันปลดปล่อยมวลอากาศเย็นออกมา
ความเย็นสร้างชั้นน้ำแข็งบางๆปกคลุมคิ้วและปลายผมของฟางหยวนอย่างรวดเร็ว
“ท่านผู้นำ การหลอมรวมวิญญาณอมตะล้างใจมาถึงขั้นตอนสำคัญแล้ว แต่ข้าล้มเหลวหลายครั้งในขั้นตอนนี้ โชคของข้าด้อยกว่าท่าน ท่านผู้นำเหมาะสมกว่าที่จะเป็นผู้ดำเนินการในขั้นตอนนี้” ผมที่หกส่งเสียงไปหาฟางหยวน
จากนั้นเขาก็เริ่มอธิบายขั้นตอนการหลอมรวมวิญญาณอย่างละเอียดรวมถึงประสบการณ์และความเข้าใจทั้งหมดของเขา
ฟางหยวนฟังทุกคำอย่างตั้งใจ
วิญญาณอมตะล้างใจเป็นกุญแจสำคัญในแผนการต่อไปของเขา
…..
เกือบจะในเวลาเดียวกัน ภาคกลาง นิกายคฤหาสน์วิญญาณ
ผู้ใช้วิญญาณหญิงระดับห้าขั้นสุดยอดกำลังเผชิญหน้ากับช่วงเวลาสำคัญในชีวิตของนาง
ตอนนี้นางอยู่ในชุดต่อสู้ ผิวของนางขาวสะอาด ดวงตาของนางส่องประกายราวกับดวงดาว
“เริ่มได้” ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของนิกายคฤหาสน์วิญญาณซูเฮากล่าว
ด้านข้างเป็นผู้อมตะหญิงและเป็นภรรยาของเขา หลี่จุนอิง
จ้าวเหลียนหยุนพยักหน้าและสูดหายใจลึกก่อนจะเริ่มกระบวนการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ
ในทะเลวิญญาณของนาง คลื่นน้ำที่บ้าคลั่งพุ่งเข้าปะทะกำแพงคริสตัลที่อยู่รอบๆ
ในไม่ช้ามันก็เริ่มแตกร้าว
ร่างของจ้าวเหลียนหยุนลอยขึ้นสู่อากาศ
ดวงตาของนางปิดสนิท ความสนใจทั้งหมดของเขาอยู่ในทะเลวิญญาณ
ปราณสวรรค์เริ่มปั่นป่วน เมฆสีดำลอยเข้ามาปกคลุมท้องฟ้าพร้อมกับเสียงฟ้าร้อง
ปราณพิภพลอยขึ้นจากพื้นและทำให้แผ่นดินเกิดการสั่นสะเทือน
ปราณสวรรค์และปราณพิภพทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้นทะเลวิญญาณของจ้าวเหลียนหยุนก็แตกออก
ปราณมนุษย์ไหลออกจากร่างกายของนาง
ปราณสวรรค์ ปราณพิภพ และปราณมนุษย์หลอมรวมกันอยู่รอบตัวจ้าวเหลียนหยุน
“อดทนไว้” หลี่จุนอิงพึมพำ
การช่วยจ้าวเหลียนหยุนให้นางก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะคืองานของนิกายคฤหาสน์วิญญาณ อย่างไรก็ตามมันยังเกี่ยวข้องกับซูเฮาและหลี่จุนอิงซึ่งเป็นกลุ่มต่อต้านฟงจิวเก้ออีกด้วย
จ้าวเหลียนหยุนเป็นบุคคลสำคัญในการต่อต้านฟงจิวเก้อ
ซูเฮาต้องช่วยนางอย่างเต็มที่
การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะของจ้าวเหลียนหยุนแตกต่างจากคนอื่นๆ เนื่องจากนางมีผนึกศักดิ์สิทธิ์ มันทำให้ภัยพิบัติต่างๆไม่สามารถเข้ามาหานาง
การก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะดังกล่าวไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ หลังจากทั้งหมดเทพปีศาจปล้นสวรรค์สร้างผนึกศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาหลังจากเขากลายเป็นผู้อมตะไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้ซูเฮาจึงต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดและพร้อมให้ความช่วยเหลือจ้าวเหลียนหยุนทันที
อย่างไรก็ตามแม้ซูเฮาจะมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า เขาก็ยังไม่สามารถทำสิ่งใด
เมื่อปราณทั้งสามรวมกันตัว จ้าวเหลียนหยุนต้องควบคุมมันด้วยตนเอง คนนอกไม่สามารถยุ่งเกี่ยว
ก่อนหน้านี้จ้าวเหลียนหยุนได้ฝึกฝนและเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ด้วยการฝึกสอนจากผู้อมตะ นางจึงคุ้นเคยกับกระบวนการทั้งหมด
พลังปราณทรงกลมหดเล็กลงเรื่อยๆ
นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี
มันแสดงให้เห็นว่าจ้าวเหลียนหยุนประสบความสำเร็จในการควบแน่นปราณทั้งสาม
หลังจากชั่วครู่จ้าวเหลียนหยุนก็เปิดเปลือกตาขึ้นและส่งวิญญาณหลักของนางเข้าสู่ใจกลางปราณทั้งสาม
“เปรี้ยง!”
เสียงดังเหมือนฟ้าร้อง
จ้าวเหลียนหยุนรู้สึกมึนงงขณะที่ดวงตาของนางกลายเป็นว่างเปล่า
แต่นางสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง นางเพ่งจิตเข้าไปในทะเลวิญญาณ แต่ตอนนี้ไม่มีทะเลวิญญาณอีกต่อไป มันถูกแทนที่ด้วยมิติช่องว่างอมตะ
มิติช่องว่างอมตะระดับหก!
“ข้าทำสำเร็จแล้ว!” จ้าวเหลียนหยุนกรีดร้องเสียงดัง