Reverend Insanity เทพปีศาจหวนคืน - บทที่ 1608 ทักษะการเรียกค่าไถ่
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1608 ทักษะการเรียกค่าไถ่
เห็นได้ชัดว่าฟางหยวนกําลังยุ่งอยู่กับสิ่งใด
การมีผู้อมตะภาคใต้อยู่ในกํามือทําให้เขาสามารถทําทุกสิ่ง
เขามีตัวประกันที่ล้ำค่า เขาสามารถรีดไถได้ตามต้องการ
แต่ฟางหยวนระวังตัวมากและไม่หักโหมเกินไป เขาเริ่มต้นรีดไถเพียงสามกองกําลัง
ตระกูลเซี่ยเป็นเป้าหมายหลักอย่างไม่สามารถปฏิเสธ ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่หนึ่งของตระกูลเซี่ยเป็นผู้อมตะระดับแปด นางเป็นเสาหลักของตระกูล เป็นธรรมดาที่ตระกูลเซียจะไม่สามารถสูญเสียนาง มิฉะนั้นกองกําลังของพวกเขาจะหดตัวลงเจ็ดสิบถึงแปดสิบส่วน
ตระกูลอี้เป็นกองกําลังที่สอง
เนื่องจากผู้อมตะตระกูลอี้ที่ตกเป็นเชลยของฟางหยวนคืออี้หยาง
ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งห้วงมิติผู้นี้เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับเจ็ดที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลอี้ ทุกคนยังมองโลกในแง่ดีว่าเขามีคุณสมบัติที่จะก้าวเข้าสู่ระดับแปด สิ่งสําคัญที่สุดคือเขามีสายเลือดใกล้ชิดกับผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่หนึ่งของตระกูลอี้และเป็นผู้สืบทอดที่ได้รับการเลี้ยงดูโดยผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่หนึ่ง
ระหว่างสงครามห้าภูมิภาคในชีวิตแรกของฟางหยวนเกิดความขัดแย้งภายในอย่างไม่รู้จบสิ้นที่ภาคใต้ อี้หยางถูกวางแผนต่อต้านและตกอยู่ในมือของตระกูลเฉิง ผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่หนึ่งของตระกูลอี้ไม่ลังเลที่จะจ่ายราคามหาศาลเพื่อนําตัวอี้หยางกลับไป
ดังนั้นฟางหยวนจึงค่อนข้างคาดหวังกับการเรียกค่าไถ่ตระกูลอี้
อันดับสามคือตระกูลจื่อ
ผู้อมตะที่ตกเป็นเชลยของฟางหยวนคือผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สองของตระกูลจื่อซึ่งเป็นตําแหน่งที่สําคัญมาก นอกจากนั้นจื่อชิวหยูก็เคยทําธุรกรรมกับฟางหยวนมาก่อนหน้านี้ ด้วยงานวิจัยบนเส้นทางแห่งความฝัน เป็นเรื่องปกติที่ตระกูลจื่อจประนีประนอม
ฟางหยวนเข้าใจความคิดของมนุษย์เป็นอย่างดี เป้าหมายในการกรรโชกครั้งแรกของเขาไม่ใช่ตระกูลวที่เกลียดชังเขาอย่างสุดซึ้งหรือตระกูลไปที่เกลียดชังผู้บ่มเพาะบนเส้นทางสายปิศาจอย่างสุดใจ
ตราบเท่าที่สามกองกําลังแรกยอมแพ้ มันจะกลายเป็นเรื่องง่ายสําหรับฟางหยวนที่จะรีดไถกองกําลังอื่น
ด้วยตัวอย่างที่ชัดเจน กองกําลังฝ่ายธรรมะของภาคใต้จะไม่แสดงท่าทีแข็งกร้าวอีกต่อไป
ในมิติช่องว่างจักรพรรดิ
สวรรค์สีเขียวน้อย ค่ายกลวิญญาณอมตะ
ท่าไม้ตายอมตะมือปีศาจปล้นวิญญาณ!
มือปีศาจปล้นวิญญาณบินเข้าสู่มิติช่องว่างของหยางและนําวิญญาณอมตะระดับเจ็ดกลับออกมา
อิงอู๋เซี่ยและจิตวิญญาณค่ายกลเฝ้ามองจากด้านข้างอย่างเงียบๆ
พวกเขาไม่แปลกใจกับภาพนี้อีกต่อไป
ในช่วงเวลาที่ผ่านมาฟางหยวนปล้นสะดมวิญญาณอมตะของเชลยออกมาเป็นจํานวนมาก ยิ่งไปกว่านั้นเขายังปล้นวิญญาณอมตะระดับแปดสองดวงมาจากเซี่ยชา หากเปรียบเทียบกับวิญญาณอมตะฤดูใบไม้ผลิระดับแปดและวิญญาณอมตะฤดูร้อนระดับแปด วิญญาณอมตะดวงอื่นก็ดูไม่โดดเด่นนัก
ฟางหยวนสร้างค่ายกลวิญญาณอมตะอีกหลังหนึ่งเพื่อปรับแต่งวิญญาณอมตะ
ค่ายกลวิญญาณอมตะหลังนี้ใช้วิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาเป็นแกนกลางและใช้ค่ายกลวิญญาณอมตะหลอมรวมปัญญาเป็นรากฐาน
ค่ายกลวิญญาณอมตะหลอมรวมปัญญาถูกสร้างขึ้นโดยใช้แสงแห่งปัญญาพร้อมกับวิญญาณอมตะหัวใจหญิงงามและวิญญาณอมตะคลี่คลายปริศนาเพื่อปรับแต่งวิญญาณอมตะดวงอื่นๆ หากมีเจตจํานงของฝ่ายตรงข้าม ผลลัพธ์จะยิ่งโดดเด่นมากขึ้น ฟางหยวนเคยใช้เจตจํานงปลอมของโม่เหยาเพื่อสนับสนุนการปรับแต่งวิญญาณอมตะที่ได้รับมาจากร่างผีดิบอมตะของโป้ชิงรวมถึงวิญญาณอมตะเปลี่ยนวิญญาณซึ่งมีความสําคัญในการต่อสู้บนภูเขาอี้เทียนมาแล้ว
ปัจจุบันฟางหยวนยังใช้แสงแห่งปัญญาเป็นแกนกลาง ดังนั้นค่ายกลวิญญาณอ มตะหลอมรวมปัญญาจึงก้าวเข้าสู่ระดับใหม่
วิญญาณสติปัญญาเป็นวิญญาณอมตะระดับเก้า มันสามารถกําหราบวิญญาณอมตะระดับเจ็ดได้อย่างง่ายดาย
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยค่ายกลวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งปัญญาของฟางหยวน ผลลัพธ์ของมันยิ่งโดดเด่นมากขึ้น
หลังจากไม่นานฟางหยวนก็ประสบความสําเร็จในการปรับแต่งวิญญาณอมตะที่พึ่งขโมยมา
นี่คือวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งห้วงมิติที่มีลักษณะเหมือนหยดน้ำสีฟ้าที่มีปีกสีขาว
ฟางหยวนจํามันได้ วิญญาณอมตะดวงนี้ถูกเรียกว่าวิญญาณอมตะท่องมิติ มรดกของนิกายเงาบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับมันเอาไว้ เดิมทีวิญญาณอมตะดวงนี้ถูกจับมาจากร่างของม้าบินแรกกําเนิด
ฟางหยวนเก็บวิญญาณอมตะท่องมิติเอาไว้ เขาไม่ได้บ่มเพาะบนเส้นทางแห่งห้วงมิติขณะที่ความสําเร็จบนเส้นทางแห่งห้วงมิติของเขาก็อยู่ในระดับสามัญเท่านั้น นอกจากนั้นเขาก็มีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งห้วงมิติอยู่ไม่มาก
อย่างไรก็ตามเขามีมรดกที่แท้จริงมากเกินไป หากเขาต้องการใช้วิญญาณอมตะดวงนี้ มันก็ไม่ใช่ปัญหาสําหรับเขา
ปัญหาเรื่องการขาดแคลนหินวิญญาณอมตะถูกแก้ไขแล้ว
หินวิญญาณอมตะหนึ่งล้านก้อนของตระกูลเชี่ยเหมือนน้ำทิพย์ที่ร่วงหล่นลงมาจากสวรรค์
หินวิญญาณอมตะหนึ่งล้านก้อนหมายถึงองุ่นเขียวอมตะหนึ่งล้านผลและเท่ากับลูกพลัมแดงอมตะหนึ่งหมื่นผล นี่เป็นลูกพลัมแดงอมตะจํานวนมากที่สุดเท่าที่ฟางหยวนเคยสะสมไว้ในคลังของเขา
ฟางหยวนยังใช้มือปีศาจปล้นวิญญาณต่อไปแต่เขาไม่สามารถขโมยวิญญาณอมตะออกมาจากร่างของหยางได้อีก
เขาโยนหยางกลับเข้าไปในอาณาจักรแห่งความฝันและนําผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สองของตระกูลจื่อออกมา
ฟางหยวนเคลื่อนไหวโดยไม่ลังเล
เขาจะนําวิญญาณอมตะทั้งหมดของเชลยออกมาและเก็บไว้ในกระเป๋าของตน
สําหรับร่างกายของพวกเขา ฟางหยวนต้องปล่อยไปบางส่วน
การเรียกค่าไถ่ก็เหมือนกับการทําธุรกรรมประเภทหนึ่ง ตราบเท่าที่ผู้ขายมีอํานาจเพียง พอ ผู้ซื้อก็ไม่สามารถทําสิ่งใด ผู้ซื้อและผู้ขายต้องให้ความสนใจกับชื่อเสียง หากเขาไม่ปล่อยตัวประกัน แผนเรียกค่าไถของเขาจะดําเนินต่อไปได้อย่างไร
ฟางหยวนตั้งใจปล่อยตัวผู้อาวุโสสูงสุดลําดับที่สองของตระกูลจื่อและหยางของตระกูล
ก่อนหน้านี้เขาทําธุรกรรมกับตระกูลจื่อและตั้งใจสนับสนุนตระกูลจื่อเพื่อต่อต้านวังสวรรค์ แต่ครั้งนี้เขาไม่ลังเลที่จะรีดไถทั้งสองตระกูลจนถึงขีดสุด
อย่างไรก็ตามราคาของตัวประกันมีขีดจํากัด
กองกําลังฝ่ายธรรมะเหล่านี้สามารถอยู่ในอํานาจมาถึงปัจจุบัน นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ใช่คนโง่
หากฟางหยวนเรียกร้องค่าตอบแทนสูงกว่าค่าตัวของผู้อมตะ พวกเขาจะไม่ทําธุรกรรมนี้
กล่าวได้ว่าการเรียกค่าไถ่ถือเป็นทักษะประเภทหนึ่ง
หลายวันต่อมาฟางหยวนได้รับหินวิญญาณอมตะอีกหนึ่งล้านสองแสนก้อน
นี่คือค่าไถแรกจากตระกูล
ในความเป็นจริงค่าตัวของหยางไม่สามารถเปรียบเทียบกับเซี่ยชา แต่ตระกูลอี้มั่งคั่งมาก อย่างน้อยพวกเขาก็ร่ํารวยกว่าตระกูลเซี่ย ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถจ่ายราคานี้
โดยทั่วไปกองกําลังใหญ่มักสํารองหินวิญญาณอมตะไว้ประมาณหนึ่งล้านก้อนเสมอ
นั่นคือเหตุผลสําคัญที่ทําให้ฟางหยวนได้รับหินวิญญาณอมตะจํานวนดังกล่าว
ขั้นแรกทําให้พวกเขายอมแพ้ ต่อมาข่มขู่พวกเขาให้มากขึ้นและค่อยๆขูดเลือดขูดเนื้อพวกเขาออกมา นี่คือทักษะการรีดไถ่ของฟางหยวน
“แม้ข้าจะสามารถจับผู้อมตะภาคใต้ แต่ข้ายังไม่รู้ว่าวังสวรรค์เตรียมสิ่งใดไว้ในสายธารแห่งกาลเวลาบ้าง”
ฟางหยวนรู้สึกขมขื่น
ค่ายกลวิญญาณอมตะปีแห่งความตายไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อจัดการผู้อมตะภาคใต้เท่านั้น แต่ฟางหยวนยังต้องการใช้มันเป็นเหยื่อล่อให้วังสวรรค์เคลื่อนไหวอีกด้วย
หากวังสวรรค์ซุ่มโจมตีและเห็นความโกลาหลที่เกิดขึ้น พวกเขาสามารถนํากําลังเสริมออกมาจากสายธารแห่งกาลเวลาเพื่อโจมตีฟางหยวน
อย่างไรก็ตามตั้งแต่ต้นจนจบฟางหยวนกลับไม่พบการซุ่มโจมตีของวังสวรรค์
แผนการของเขาไร้ประโยชน์ในเรื่องนี้ นั่นทําให้เขารู้สึกระแวงและสงสัยมากขึ้น