Reverend Insanity เทพปีศาจหวนคืน - บทที่ 1726 เพลงพรหมลิขิต
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1726 เพลงพรหมลิขิต
ฮัวช่ายหยุนเผยรอยยิ้มขมขื่น
พวกเขาเกือบประสบความสําเร็จแต่มันกลายเป็นกับดักขนาดใหญ่ที่วังสวรรค์วางไว้อย่างพิถีพิถัน
“ถูกต้อง” จางหยินและคนอื่นๆยิ้ม
“เพื่อทําให้พวกเรามั่นใจ พวกเจ้าปล่อยให้ข้ากดขี่ตาแก่ไปเฟิง แผนการของพวกเจ้าช่างล้ำลึกนัก!” เฉินกงเจิ้งกล่าวเสียงเย็น
“นี่ไม่ใช่ความตั้งใจของเรา มันไม่ใช่ส่วนหนึ่งในแผนการของท่านราชันมังกร” จางหยินสายศีรษะ “สิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่เป็นส่วนหนึ่งในการอนุมานของเทพธิดาจื่อเว่ย นางเป็นผู้มอบภารกิจนี้ให้กับพวกเรา”
ซ่งฉีหยวนมองวังมังกรอีกครั้ง “นี่หมายความว่าวังมังกรเป็นคฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับแปดบนเส้นทางแห่งทาส มันสามารถกดขี่ผู้อมตะระดับแปดได้ถึงสี่คน หลังจากนั้นมันยังสามารถกําหราบตี้จางเฉิง นี่ต้องเป็นคฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับแปดบนเส้นทางแห่งทาสอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์!”
การแสดงออกของกลุ่มจางหยินไม่เปลี่ยนแปลง
ชิงอวี๋อัน ฮัวช่ายหยุน และเฉินกงเจิ้งมองซ่งฉีหยวน พวกเขายังไม่ยอมแพ้
แม้จะเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด แต่ซ่งฉีหยวนและคนอื่นๆเป็นผู้อมตะระดับแปด พวกเขาจะยอมแพ้ง่ายๆได้อย่างไร
แม้พวกเขาจะถูกลอบโจมตีและได้รับบาดเจ็บ แต่พลังการต่อสู้ของพวกเขายังอยู่ หากพวกเขายังสามารถต่อสู้ พวกเขาก็ยังมีความหวัง
มันไม่ง่ายที่จะโจมตีผู้อมตะระดับแปด ท่าไม้ตายอมตะที่ทรงพลังจะปลดปล่อยกลิ่นอายออกมา ด้วยเหตุนี้กลุ่มของจางหยินจึงไม่สามารถใช้ท่าไม้ตายที่น่าสะพรึงกลัว พวกเขาต้องปกปิดกลิ่นอายไม่ให้รั่วไหลออกมา
ท่าไม้ตายอมตะที่สามารถปกปิดกลิ่นอายหาได้ยาก
ในปัจจุบันอาจมีเพียงวูหยงของภาคใต้เท่านั้นที่มีวิธีการดังกล่าว คนอื่นๆรวมทั้งสมาชิกวังสวรรค์ไม่มีวิธีการเช่นนี้
“บึม บึม บึม”
การต่อสู้ปะทุขึ้นอีกครั้ง
สมรภูมิแดนศักดิ์สิทธิ์ไร้ที่ติ
เพียทั้งซุ้ยล่าถอยไปพร้อมกับเฉินอี้
วูหยงและผู้อมตะภาคใต้บังคับให้นางออกจากค่ายกลวิญญาณอมตะ
เพียงซุ้ยเคลื่อนที่ไปรอบๆเพื่อหลบการโจมตีที่รุนแรงซ้ำแล้วซ้ำอีก
ผู้อมตะภาคใต้กดดันนางเป็นอย่างมากโดยเฉพาะวูหยงที่สามารถซ่อนกลิ่นอายของท่าไม้ตายอมตะก่อนจะปลดปล่อยออกไป เพียทั้งซุ้ยต้องระวังตัวเป็นอย่างมาก แม้วหยงจะไม่โจมตี นางก็ยังต้องระวังเขาตลอดเวลา
“ปล่อยข้า เจ้าควรหนีไป” เฉินอี้กล่าว
เขาถูกโจมตีโดยท่าไม้ตายอมตะอําลาสหาย เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวและทําได้เพียงรอคอยความตาย
ตอนนี้คิ้ว เส้นผม แขน และขาของเขาหายไปแล้ว ท่าไม้ตายอมตะอําลาสหายกําลังกัดเซาะร่างกายส่วนที่เหลือของเขา
โชคดีที่ท่าไม้ตายนี้ไม่แพร่กระจายไปสู่อีกคน มันมีเป้าหมายที่เฉินอี้เท่านั้น
“คิดว่าข้าต้องการปกป้องเจ้างั้นหรือ?” เพ่ยกังซุ้ยถ่ายทอดเสียงอย่างลับๆ
เฉินอี้ตะลึง
เพ่ยกังซุ้ยกล่าวต่อ “ข้าแสร้งทําเป็นไม่ยอมแพ้ต่อเจ้า ตกอยู่ในอันตราย และดึงดูดความสนใจของกลุ่มผู้อมตะภาคใต้เพื่อซื้อเวลา เจ้ากําลังจะตายแต่เจ้ายังมีประโยชน์ ข้าอาจตาย ช่นกัน แต่เราต้องถ่วงเวลาเพื่อวังสวรรค์ เพื่อโลกใบนี้ มันไม่สําคัญหากเราจะเสียสละตนเอง”
เฉินอี้เงียบ
แม้เขาจะหมกมุ่นอยู่กับอํานาจ แต่เขาก็ไม่กลัวการเสียสละ มิฉะนั้นเทพธิดาจื่อเว่ยจะไม่อนุญาตให้เขาเข้าสู่วังสวรรค์
เขาต้องการเผยรอยยิ้มขมขื่นแต่ใบหน้าของเขาไม่สามารถขยับ เขาทําได้เพียงให้ความร่วมมือกับเพ่ยกังซุ้ยและหลอกลวงกลุ่มผู้อมตะภาคใต้เท่านั้น
“ให้ข้าทําประโยชน์ในวาระสุดท้ายของชีวิต” เฉินอี้ตั้งใจตาย
แต่ในจังหวะนี้เขากลับได้ยินเสียงเพลงดังขึ้น
ในการต่อสู้ที่ดุเดือด ผู้ใดยังกล้าร้องเพลง?
เฉินอีตะลึง เพ่ยกังซุ้ยและกลุ่มของวูหยงก็เช่นกัน
มันเป็นเพลงที่ลึกซึ้ง เต็มไปด้วยความขัดแย้ง และมีเอกลักษณ์
แรกเริ่มมันเหมือนลําธารเล็กๆที่ไหลช้าๆอยู่บนภูเขา ต่อมากระแสน้ำค่อยๆกลายเป็นลาวาไหลลงสู่แม่น้ำและเคลื่อนที่ผ่านช่องเขา
ธารลาวาบนภูเขากลายเป็นกระแสน้ำเชี่ยวกรากและสร้างคลื่นน้ำขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ลาวาและคลื่นน้ำปะทะกันทําให้เกิดไอน้ำปกคลุมท้องฟ้า ไอน้ำรวมตัวเป็นก้อนเมฆลอยขึ้นสู่สวรรค์ชั้นสูง
ทันใดนั้นสายฟ้าพลันแลบลั่นและส่งเสียงคํารามออกมาจากก้อนเมฆ ผู้อมตะทั้งหมดรู้สึกราวกับกําลังร่วงหล่นลงจากท้องฟ้า มันทําให้พวกเขารู้สึกว่างเปล่า
จริงและลวง สูงและต่ำ ภูมิใจและสิ้นหวัง สงบสุขและภัยพิบัติ มันเต็มไปด้วยความขัดแย้ง
ผู้คนทั้งหมดหมกมุ่นอยู่กับบทเพลงและหลงลืมทุกสิ่ง
แต่เพลงกลับหยุดลงอย่างกะทันหัน ทุกคนตื่นขึ้นทันที
จ่อชิวหยูแสดงออกอย่างเคร่งขรึม “บทเพลงนี้ช่างน่ากลัวนัก มันทําให้พวกเราหมกมุ่นอยู่กับมันโดยไม่สามารถต่อต้าน!”
เฉียวงื่อไคกล่าวด้วยความหวาดกลัว “โชคดีที่มันหยุดลงแล้ว มิฉะนั้นพวกเราจะสูญเสียตัวตนและอาจถูกโจมตีอย่างรุนแรง”
“มันคือสิ่งใด?” อี้ห่าวฟางถาม
ผู้อมตะระดับแปดผู้หนึ่งเดินออกมาจากค่ายกลวิญญาณอมตะ เขาอยู่ในชุดคลุมสีขาวแดง เขาเผยรอยยิ้มที่สง่างาม “นี่คือเพลงพรหมลิขิตที่ข้าพึ่งสร้างขึ้น”
มันคือฟงจิวเก้อ!
“โอ้ พรหมลิขิต? ช่างกล้าพูด!” ปาชื่อปากนเสียงเย็น
“เหลือเชื่อ! เพลงพรหมลิขิตช่วยชีวิตข้าไว้” เฉินอี้มีความสุข เขาเหลือเพียงร่างกายและศีรษะ แต่ท่าไม้ตายอมตะอําลาสหายหยุดทํางานแล้ว แม้เขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่เขายังสามารถรักษาชีวิต
กลุ่มผู้อมตะภาคใต้ตกตะลึง
ท่าไม้ตายอมตะอําลาสหายของวูหยงเป็นท่าไม้ตายอมตะระดับแปด เพลงพรหมลิขิตของฟงจิวเก้อใช้วิญญาณอมตะเกราะโชคชะตาเป็นแกนกลาง มันเป็นท่าไม้ตายอมตะระดับแปดเช่นกัน
“เป็นเจ้าอีกครั้ง!” วูหยงมองฟงจิวเก้อด้วยความโกรธ
คราวก่อนวูหยงต้องการฆ่าฟางหยวนแต่ฟงจิวเก้อหยุดเขา
คราวนี้วหยงต้องการฆ่าเฉินอี้แต่ฟงจิวเก้อยังหยุดเขาอีกครั้ง
ฟงจิวเก้อทําลายแผนการของวูหยงถึงสองครั้ง!
ทั้งสองครั้งล้วนเป็นช่วงเวลาสําคัญ
แม้วหยงจะมีความอดทนสูง แต่เขาก็ยังโกรธมาก
“ฟงจิวเก้อ เจ้าเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง” วูหยงหรี่ตามองและกล่าวเสียงเย็น “มาเถอะ แสดงทุกสิ่งที่เจ้ามีให้ข้าเห็น”
หลังกล่าวจบคํา สายลมกรรโชกแรงก็พัดมา
นี่คือวายุไร้ขอบเขตของวูหยง มันเหมือนเสาขนาดใหญ่ที่ค้ำยันสวรรค์กับพื้นพิภพ
มันเป็นท่าไม้ตายที่ต้องใช้ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋นับหมื่นร่องรอยเพื่อกระตุ้นใช้งาน
ลมพายุขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆและพุ่งเข้าไปหาฟงจิวเก้อด้วยพลังอํานาจอันน่าสะพรึงกลัว
ฟงจิวเก้อเผยรอยยิ้มขมขื่น “ท่านรูหยงช่างทรงพลังนัก ข้าคงต้องขอหลีกเลี่ยง”
เพ่ยกังซุ้ยเร่งกล่าว “ถึงเวลาแล้ว ไปกันเถอะ!”
ค่ายกลวิญญาณอมตะฟื้นตัวขึ้นแล้ว พวกเขาประสบความสําเร็จในการล่าถอยกลับเข้าไป
ภายในค่ายกลวิญญาณอมตะ ฟงจิวเก้อกระอักเลือดคําโตออกมา ใบหน้าของเขากลายเป็นซีดขาว ร่างกายของเขาสั่นสะท้านอย่างไม่หยุดยั้ง
“เกิดสิ่งใดขึ้น?” เพ่ยกังซุ้ยเร่งสนับสนุน
ฟงจิวเก้อเผยรอยยิ้มอ่อนแรง “เพลงพรหมลิขิตยังไม่สมบูรณ์ ข้าสร้างมันขึ้นอย่างเร่งรีบ มันยังไม่ถึงครึ่งเพลง แต่ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากต้องใช้มันออกมา ดังนั้นข้าจึงได้รับบาดเจ็บสาหัส
“ท่านฟังเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยข้า ข้าจะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้!” เฉินอี้ถอนหายใจ
“ตอนนี้ภาคกลางกําลังตกสู่ความโกลาหล ข้าช่วยท่านเพราะเห็นแก่ส่วนรวม” ฟงจิวเก้อส่ายศีรษะ
เฉินอี้มองฟงจิวเก้อและเพ่ยกังซุ้ย “ไม่ว่าจะอันตรายเพียงใด คนเช่นพวกเราก็ไม่กลัวการเสียสละ ภาคกลางต้องชนะ วังสวรรค์ต้องชนะอย่างแน่นอน!”
วังสวรรค์
เทพธิดาอเว่ยเผยรอยยิ้มเมื่อสังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่แดนศักดิ์สิทธิ์ไร้ที่ติ
“ช่างน่าเหลือเชื่อนัก ฟงจิวเก้อและเพลงพรหมลิขิต!”
เทพธิดาจื่อเว่ยรู้แผนการของวังสวรรค์และถ้ำสวรรค์นิรันดร ทั้งสองฝ่ายต่างต้องการหลอมรวมวิญญาณอมตะพรหมลิขิต อย่างไรก็ตามคนที่มีความคืบหน้ามากที่สุดกลับไม่ใช่สองกองกําลังใหญ่แต่เป็นผู้อมตะผู้หนึ่ง
“ฟงจิวเก้อ!” เทพธิดาจื่อเว่ยพึมพํา
แม้นางจะตระหนักถึงพรสวรรค์และความสามารถของฟงจิวเก้อมาตลอดแต่ตอนนี้นางรู้สึกว่านางยังประเมินเขาต่ำเกินไป
ในมุมมองของเทพธิดาจื่อเว่ย ท่าไม้ตายอมตะอําลาสหายไม่สามารถยกเลิก แต่ผู้ใดจะคิดว่ามันจะถูกทําลายโดยฟงจิวเก้อในวันนี้
สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ ปฏิเสธไม่ได้ว่าฟงจิวเก้อเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยตัวเขาเองอีกครั้ง
สมรภูมิเมืองจักรพรรดิ
เสียงโห่ร้องดังขึ้นในเมืองจักรพรรดิ
การแข่งขันรอบสุดท้ายสิ้นสุดลงแล้ว นี่หมายความว่ามันไม่ใช่จุดอ่อนของวังสวรรค์อีกต่อไป
กลุ่มผู้อมตะของทะเลทรายตะวันตกตระหนักถึงสถานการณ์และเร่งหลบหนี
พวกเขาไม่สามารถทําลายเมืองจักรพรรดิหรือการแข่งขันใหญ่บนเส้นทางแห่งการหลอมรวม
“ทุกอย่างจบแล้ว”
“เห้อ.วังสวรรค์ประสบความสําเร็จในที่สุด”
กลุ่มผู้อมตะจากทะเลทรายตะวันตกรู้สึกหมดหนทาง มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะล่าถอย
หัวใจของฟางหยวนหนักอึ้ง
เขาพยายามอย่างดีที่สุดแล้วแต่ยังไร้ประโยชน์
วิธีการของวังสวรรค์เหนือความคาดหมายของเขา เขาไม่สามารถรับมือมันได้จริงๆ
แม้พลังการต่อสู้ของฟางหยวนจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่วังสวรรค์สะสมรากฐานมานานถึงสามล้านปี ฟางหยวนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา