Reverend Insanity เทพปีศาจหวนคืน - บทที่ 1854 สนามรบสิบสองราศี
บทที่ 1854 สนามรบสิบสองราศี
สายธารแห่งกาลเวลาไหลอย่างเขื่อยเฉื่อยและเรืองแสงหลากหลายสีสันออกมา
อย่างไรก็ตามมันเป็นเพียงสาขาของสายธารแห่งกาลเวลาเท่านั้น
นี่คือสาขาของสายธารแห่งกาลเวลาที่ไหลเข้าสู่ถ้ําสวรรค์นักรบอสูร
ทันใดนั้นร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้น
เขามีใบหล่อเหล่า ดวงตามืดมิดราวกับขุมนรก เส้นผมสีดําของเขายาวลงไปถึงเอวราวกับน้ําตก
มันคือร่างหลักของฟางหยวน!
‘ได้เวลาแล้ว’ ฟางหยวนมองสาขาของสายธารแห่งกาลเวลาและสะบัดมือ
ดวงแสงสิบสองดวงถูกยิงออกไป
ดวงแสงทั้งสิบสองตกลงไปในสาขาของสายธารแห่งกาลเวลาและกลายเป็นอสูรปีแรกก่าเนิดสิบสองตัว
อสูรปีแรกกําเนิดทั้งสิบสองมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันได้แก่ หนู วัว เสื้อ กระต่าย มังกร อสรพิษ ม้า แพะ ลิง ไก่ สุนัข และหมู ท่ามกลางพวกมัน หนู วัว และสุนัขมีความโดดเด่นและแข็งแกร่งที่สุด
ย้อนกลับไปเมื่อฟางหยวนต่อสู้กับวังสวรรค์ในสายธารแห่งกาลเวลา อสูรปีแรกกําเนิดที่โดดเด่นทั้งสามตัวปรากฏตัวขึ้นและโจมตีเรือรบหมื่นปีของฟางหยวน อสูรปีชวดแรกกําเนิดบุกขึ้นเรือเพื่อขโมยวิญญาณอมตะปีไหลผ่านราวกับสายน้ํา
โชคดีที่ฟางหยวนเตรียมรับมือเรื่องนี้ไว้แล้ว เขาสร้างวิญญาณอมตะปีไหลผ่านราวกับสายน้ําปลอมขึ้นมา เพื่อเป็นเหยื่อล่อหนูตัวนั้นถูกหลอกและนําเหยื่อจากไป นี่ทําให้เรือรบหมื่นปีสามารถหลบหนีจากอันตราย
หลังจากครั้งนั้นฟางหยวนกลับไปที่สายธารแห่งกาลเวลาอีกครั้งเพื่อปราบปราบและจับกุมอสูรปีแรกกําเนิดทั้งสาม
นั่นทําให้ฟางหยวนสามารถรวบรวมอสูรปีแรกกําเนิดได้ครบสิบสองชนิดในที่สุด
ฟางหยวนต้องการใช้พวกมันสร้างค่ายกลวิญญาณอมตะรูปแบบการต่อสู้โบราณสนามรบสิบสองราศี
“ข้าต้องฝึกใช้งานสนามรบสิบสองราศให้ชํานาญก่อนการต่อสู้กับวังสวรรค์ สําหรับถ้ําสวรรค์นักรบอสูร มันเกินพอแล้ว” ฟางหยวนมีแผนการอยู่ในใจ
อสูรปีแรกกําเนิดทั้งสิบสองคํารามเสียงดังก่อนที่พวกมันจะกลายเป็นรูปปั้นทองคําและระเบิดเสาแสงสีทองจะพุ่งขึ้นสู่อากาศ
เสาแสงพุ่งเข้าหลอมรวมกันก่อนจะพุ่งกลับลงมาและกลายเป็นหมอกสีทองปกคลุมสาขาของสายธารแห่งกาลเวลาเอาไว้ทั้งหมด
หมอกสีทองส่งอิทธิพลต่อสาขาของสายธารแห่งกาลเวลาและทําให้มันเคลื่อนที่เร็วขึ้นเรื่อยๆ
สนามรบสิบสองราศีเป็นค่ายกลวิญญาณอมตะรูปแบบการต่อสู่โบราณ ขณะที่ฟางหยวนเป็นกึ่งปรมาจารย์สูงสุดบนเส้นทางแห่งกาลเวลา เมื่อเขากระตุ้นใช้งานมัน เขาสามารถทําให้มันหลุดพ้นจากขีดจํากัดของค่ายกลวิญญาณอมตะรูปแบบการต่อสู้โบราณและทําให้มันส่งอิทธิพลต่อเวลาของถ้ําสวรรค์นักรบอสูร
เรื่องนี้ส่งผลกระทบที่รุนแรง
“ตอนนี้จิตวิญญาณสวรรค์กิเลนต้องสังเกตเห็นมันแล้ว” ฟางหยวนยิ้มและโบกมือส่งกองทัพอสูรปีออกมาจากมิติช่องว่างจักรพรรดิ
ท่ามกลางพวกมันมีอสูรปีเดียวดายและอสูรปีบรรพกาลรวมอยู่ด้วย
พวกมันพุ่งออกมาจากหมอกสีทองและบุกเข้าไปในถ้ําสวรรค์นักรบอสูรทันที
โดยทั่วไปผู้บุกรุกจะบุกเข้าถ้ําสวรรค์นักรบอสูรผ่านรูช่องโหว่ พวกเขาไม่สามารถบุกเข้าไปผ่านสาขาของสายธารแห่งกาลเวลา
แต่ในฐานะกึ่งปรมาจารย์สูงสุดบนเส้นทางแห่งกาลเวลา ฟางหยวนสามารถทําสิ่งนี้ได้โดยธรรมชาติ
จิตวิญญาณสวรรค์ก็เลนตกใจมาก “ไม่! สาขาของสายธารแห่งกาลเวลาเกิดการเปลี่ยนแปลง ผู้บุกรุกเป็นผู้เชี่ยวชาญบนเส้นทางแห่งกาลเวลา เขาเปลี่ยนกระแสเวลาของถ้ําสวรรค์นักรบอสูร เราต้องหยุดเขา!”
ผู้คนในถ้ําสวรรค์นักรบอสูรไม่รู้จักโลกภายนอก พวกเขาคิดว่าถ้ําสวรรค์นักรบอสูรคือโลกทั้งใบ พวกเขาไม่แม้แต่จะสามารถเชื่อมต่อสวรรค์สีเหลือง
แต่จิตวิญญาณสวรรค์ก็เลนเกิดจากเจตจํานงของผู้อมตะนักรบอสูร มันไม่ได้ถูกจํากัดด้วยสิ่งนี้
หลังจากฟางหยวนเคลื่อนไหว จิตวิญญาณสวรรค์กิเลนตระหนักได้ทันทีว่าถ้ำสวรรค์นักรบอสูรตกอยู่ในอันตราย
เวลาที่เดินเร็วขึ้นหมายความว่าถ้ําสวรรค์นักรบอสูรจะพบกับภัยพิบัติเร็วขึ้น แม้ถ้ําสวรรค์นักรบอสูรจะได้รับการปกป้องจากท่าไม้ตายอมตะกลืนกินสิ่งมีชีวิต แต่มันก็ไม่สามารถอดทนต่อภัยพิบัติอย่างต่อเนื่อง
จิตวิญญาณสวรรค์ก็เลนไม่ปรากฏตัวแต่มันใช้หลายวิธีเพื่อบอกใบผู้คนที่อาศัยอยู่ในถ้ําสวรรค์นักรบอสูร นอกจากนี้ฟางหยวนยังตั้งใจให้พวกเขาสังเกตเห็น เขาส่งกองทัพอสูรปีออกจากสาขาของสายธารแห่งกาลเวลาและปรากฏตัวขึ้นทุกหนทุกแห่งในถ้ําสวรรค์นักรบอสูร
ความโกลาหลและหายนะครั้งใหญ่ปะทุขึ้น
เมืองภูผาได้รับผลกระทบเช่นกัน เจ้าเมืองภูผาซึ่งเป็นผู้อมตะต้องออกมาต่อสู้ด้วยตนเอง
“เพื่อยุติภัยพิบัตินี้ เราต้องจัดการแหล่งที่มาของมัน เมื่อข้าจากไป เมืองภูผาจะอยู่ในมือของพวกเจ้า!” เจ้าเมืองภูผาตะโกน
ลูกน้องของเขาพยักหน้าด้วยการแสดงออกที่เคร่งขรึม
เมื่อเจ้าเมืองภูผาไม่อยู่ พวกเขาจึงขาดความมั่นใจ
“ท่านอาจารย์ อย่ากังวล ข้าอยู่ที่นี่!” เจิ้งปู้ตู๋ตะโกนเสียงดัง ใบหน้าที่ไร้เดียงสาของเขาเต็มไปด้วยเจตจํานงแห่งการต่อสู้ มันดูค่อนข้างตลกและท่าให้ทุกคนสามารถหัวเราะออกมาได้อีกครั้ง
“อนาคตเป็นของเจ้า ศิษย์ข้า” เจ้าเมืองภูผาตบไหล่เจิ้งปู้ตู๋ก่อนจะเดินจากไป
ร่างแยกเจิ้งปู้ตู๋ของฟางหยวนมองชายชราจากไปและคิด ‘ร่างหลักโจมตีและจัดตั้งค่ายกลในสาขาของสายธารแห่งกาลเวลา เมื่อเจ้าเมืองภูผาไปที่นั้น เขาจะถูกขังและต้องรอความช่วยเหลือจากข้า ฉากถูกจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว มันเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น’
หนึ่งเดือนภายในถ้ําสวรรค์นักรบอสูรผ่านไปอย่างรวดเร็ว
อสูรปียังโจมตีถ้ําสวรรค์นักรบอสูรอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ร่างหลักของฟางหยวนคอยควบคุมไม่ให้พวกมันสร้างความเสียหายมากเกินไป
เมื่อถึงจุดนี้ผู้ใช้วิญญาณวัยเยาว์ของถ้ําสวรรค์นักรบอสูรก็ถูกระดมกําลังเช่นกัน
เจิ้งปู้ตู๋เป็นหนึ่งในนั้น
เขาถูกนําตัวไปยังหุบเขาแห่งหนึ่งและรวมกลุ่มกับผู้ใช้วิญญาณที่อายุใกล้เคียงกัน
นี่เป็นเส้นทางที่จิตวิญญาณสวรรค์ก็เลนสร้างขึ้นอย่างลับๆ มันอนุญาตให้คนผู้หนึ่งเข้าและออกจากสาขาของสายธารแห่งกาลเวลา
ผู้นํากลุ่มคือราชาอสูรรุ่นปัจจุบัน เขาเป็นชายชราร่างผอม เขาบอกสถานการณ์กับเด็กเหล่านี้ด้วยตนเองที่เราพบหมอกสีทองในแม่น้ําสายนี้ ที่นั่นพิเศษมาก ยิ่งคนผู้หนึ่งอายุน้อยเท่าใด คนผู้นั้นก็ยิ่งเข้าไปได้ง่ายเท่านั้น ตอนนี้นักรบอสูรส่วนใหญ่ติดอยู่ที่นั่น พวกเจ้าต้องเข้าไปช่วยพวกเขาออกมา
นี่เป็นการจัดเตรียมของฟางหยวน จุดประสงค์ของเขาก็คือเพื่อทําให้แน่ใจว่าร่างแยกเจิ้งปู่จะได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมในภารกิจนี้
ปัจจุบันเจิ้งปู้ตู๋เป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสอง เขาเป็นผู้เยาว์ที่โดดเด่นและครอบครองอินทรีย์หางศร
ด้วยความมุ่งมั่นของเจิ้งปู้ตู๋ที่ต้องการช่วยเหลืออาจารย์ เขาจึงต้องการรับภารกิจนี้แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตของเขาก็ตาม
การแสดงที่น่าทึ่งของเขาทําให้ทุกคนเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริงและยกย่องเขาเป็นอย่างมาก
“เราต้องพึ่งพาพวกเจ้าแล้ว แม้พวกเจ้าจะอายุยังน้อย แต่โลกกําลังตกอยู่ในอันตราย เราต้องการความแข็งแกร่งของพวกเจ้า พวกเจ้าต้องเป็นผู้กอบกู้โลก!“ราชาอสูรประกาศและปลุกเร้าจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของทุกคน
เจิ้งปู้ตู๋ลอบกลอกตาอยู่ในใจ แต่ภายนอกเขาแสดงออกอย่างกระตือรือร้น เขาเป็นคนแรกที่เข้าไปในสาขาของสายธารแห่งกาลเวลา
สาขาของสายธารแห่งกาลเวลาที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีทองสามารถเดินไปได้ราวกับมันเป็นพื้นดินทั่วไป
มีอสูรปีจํานวนมากอยู่ที่นี่ อสูรปีที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ในระดับจักรพรรดิอสูร ไม่มีสัตว์อสูรเดียวดาย แต่พวกมันยังเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่สําหรับผู้ใช่วิญญาณวัยเยาว์
นักรบอสูรทั้งหมดที่เข้ามาก่อนหน้ากลายเป็นรูปปั้นสีทองที่ไม่สามารถเคลื่อนไหว
เจิ้งปู้ตู๋เริ่มสังหารอสูรปีและช่วยเหลือผู้คน เขาทําหน้าที่เป็นผู้นํากลุ่มและมีความโดดเด่นที่สุด
ผู้อมตะได้รับการช่วยเหลือจากเจิ้งปู่ต์ที่ละคน เขากลายเป็นผู้มีพระคุณของคนเหล่านั้น
“ผู้ใดจะคิดว่าวันหนึ่งข้าจะได้รับการช่วยเหลือจากเด็กน้อยผู้หนึ่ง” ผู้อมตะหลายคนถอนหายใจด้วยความคิดที่คล้ายคลึงกัน
“ขอบใจเด็กน้อย หากเจ้าพบปัญหาในอนาคต เจ้าสามารถมาหาข้าที่เมืองอินทรีย์ศักดิ์สิทธิ์!“นักรบอินทรีย์ผู้นี้เคยถูกฟางหยวนฆ่าตายในชีวิตก่อนหน้า แต่ในชีวิตนี้ร่างแยกของฟางหยวนกลับช่วยชีวิตเขา
“อาจารย์ของข้าคือเจ้าเมืองภูผา ผู้ใดเห็นท่านบ้าง?” เจิ้งปู้ตู๋ถามทุกคน
“เสี่ยวเป็นเด็กดีจริงๆ เขาไม่เคยยอมแพ้ที่จะช่วยเหลืออาจารย์ของเขา”
“เขาเป็นเด็กดีที่มีความกตัญญ”
“เสี่ยวตู๋ เจ้าเข้าไปไม่ได้ หมอกสีทองสามารถเร่งเวลาด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อ อายุขัยของเจ้าจะลดลงอย่างรวดเร็ว”
“ข้าไม่กลัว! ข้าต้องช่วยท่านอาจารย์ ความสําเร็จทั้งหมดของข้าในวันนี้เกิดจากการชี้แนะของท่านอาจารย์ ข้ายินดีสละชีวิตของข้าเพื่อช่วยท่าน!“ เจิ้งปู้ตู๋ไม่ยอมทิ้งโอกาสที่จะแสดงบุคลิกของวีรบุรุษที่มีคุณธรรมของตนเองออกมา
“นี่เป็นสิ่งที่ดีเช่นกัน ยิ่งเวลาเดินเร็วเท่าใด ข้าก็ยิ่งก้าวหน้าเร็วเท่านั้น อีกไม่กี่วันข้าก็จะกลายเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสามแล้ว ยิ่งขาแข็งแกร่งขึ้นเท่าใด ข้าก็ยิ่งสามารถช่วยเหลือผู้คนได้มากเท่านั้น ข้าต้องช่วยท่านอาจารย์ของข้า! “ เจิ้งปู้ตู๋ตะโกนเสียงดังและทําให้แน่ใจว่าหลายคนจะได้ยินคํากล่าวของเขา
“เด็กน้อย ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเสียสละตนเองโดยเปล่าประโยชน์ นี่คือวิญญาณอายุยืน มันสามารถยืดอายุขัย และลดการสูญเสียของเจ้า“ราชาอสูรมาถึงและมอบวิญญาณอายุยืนให้เจิ้งปู้ตู๋
แต่เจิ้งปู้ตู๋ปฏิเสธ” ท่านปู่ ท่านแก่แล้ว ท่านควรใช้มัน มันจะทําให้ท่านอายุยืนยาว”
ราชาอสูรมีความสุขมาก เขารู้สึกว่าตนเองมองคนไม่ผิด เขากล่าวด้วยน้ําเสียงสนุกสนาน”เด็กดี เด็กดี ข้ามีมากกว่านี้ ตอนนี้เจ้าต้องใช้มันเพื่อรักษาความเยาว์วัยเอาไว้ มิฉะนั้นเจ้าจะไม่สามารถเข้าไปในหมอกสีทอง”
“อา…ข้าเกือบลืมไป ไม่แปลกใจเลยที่ข้ารู้สึกยากลําบากมากขึ้นเรื่อยๆ” เจิ้งปู้ตู๋แสดงออกราวกับเขากําลังตัดสินใจเรื่องที่ยากลําบากก่อนจะรับวิญญาณอายุยืนเอาไว้และใช้มัน
ทั้งหมดเป็นแผนการของฟางหยวน
มันทําให้ร่างแยกเจิ้งปู้ตู๋มีข้ออ้างที่ยอดเยี่ยมในการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตนเอง ในไม่ช้าเขาก็ก้าวเข้าสู่ระดับห้าภายใต้สายตาของทุกคน