Reverend Insanity เทพปีศาจหวนคืน - บทที่ 1917 บิดาปรากฏตัว
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1917 บิดาปรากฏตัว
ถ้ําสวรรค์นักรบอสูร
ท้องฟ้าไม่สามารถมองเห็นได้ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ถ้ําสวรรค์ทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยควันพิษสีดํา
บางครั้งควันพิษจะกลายเป็นควันรูปมังกรและอาละวาดไปทั่ว
เสียงกรีดร้องดังขึ้นในถ้ําสวรรค์นักรบอสูรอย่างไม่รู้สิ้นสุด
เมืองหลอมรวมดาราเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของถ้ําสวรรค์นักรบอสูร ตอนนี้มันกลายเป็นจุดรวมพลที่ใหญ่ที่สุดของมนุษย์ชาติ
เจิ้งปู้ตู๋ยืนอยู่บนหอคอยที่สูงที่สุดภายในเมืองหลอมรวมดารา
เขาดูอ่อนล้าและมีบาดแผลอยู่ทั่วร่าง
ด้านหลังเขามีนักรบอสูรหญิงกําลังรักษาอาการบาดเจ็บให้กับเขา
‘ร่างหลักของข้าเร่งเวลาในถ้ําสวรรค์นักรบอสูรมากเกินไป มันทําให้เกิดภัยพิบัติบ่อยมาก ทุกภัยพิบัติของถ้ําสวรรค์นักรบอสูรจะกลายเป็นภัยพิบัติสัตว์อสูร เมื่อภัยพิบัติก่อนหน้าถูกทําลาย ภัยพิบัติใหม่ก็ปรากฏขึ้นทันที นี่ทําให้ความเสียหายสะสมและมีสัตว์อสูรจํานวนมากอยู่ที่นี่ เห้อ…ครั้งนี้ร่างหลักของข้าทําพลาดไปแล้ว’
คิ้วของเจิ้งปู้ตู๋ขมวดแน่น
นักรบอสูรหญิงที่กําลังรักษาเขาแนะนํา “เสี่ยวตู๋ เจ้าควรพักผ่อนบ้าง เจ้าต่อสู้ติดต่อกันมาเป็นเวลาสามวันสามคืนโดยไม่ได้นอน หากเจ้ายังทําเช่นนี้ต่อไป ไม่ว่าร่างกายของเจ้าจะแข็งแกร่งเพียงใด เจ้าก็จะล้มลงในที่สุด”
เจิ้งปู้ตู๋ถอนหายใจ “ตอนนี้ข้าเป็นนักรบอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดของที่นี่ ข้าต้องต่อสู้อย่างสุดความสามารถ หากข้าอยู่ในสนามรบ การเสียสละจะน้อยลง”
“เสี่ยวตู้ เจ้าทําได้ดีมากแล้ว หากเจ้าไม่รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติและแจ้งทุกคนล่วงหน้า เราจะไม่สามารถย้ายพลเมืองเข้ามาในสถานที่ปลอดภัย เจ้าคู่ควรกับการเป็นผู้กอบกู้ของพวกเราอย่างแท้จริง เจ้าช่วยชีวิตผู้คนนับแสน” นักรบอสูรหญิงกล่าว
แม้นางจะเป็นนักรบอสูรอาวุโสแต่นางรู้สึกชื่นชมเจิ้งปู้ตู๋เป็นอย่างมาก
เจิ้งปู้ตู๋ได้รับการยอมรับจากทุกคนในช่วงเวลาที่ผ่านมา ไม่เพียงเขาจะมีพลังการต่อสู้สูงที่สุดแต่สิ่งสําคัญกว่านั้นก็คือเขารักผู้คน เขายินดีเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น เขาออกไปต่อสู้ที่แนวหน้าซ้ําแล้วซ้ําอีก
ตอนนี้เจิ้งปู้ตู๋กลายเป็นวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ เขาเป็นแบบอย่างของสามัญชนทั้งหมด
แต่ในความเป็นจริง เจิ้งปู้ตู๋พยายามอย่างดีที่สุดเพื่อรักษาสมบัติของเขา ไม่ว่าจะเป็นเจิ้งปู่ตีหรือฟางหยวน พวกเขาถือว่าสวรรค์นักรบอสูรเป็นทรัพย์สินของพวกเขาแล้ว
แม้ถ้ําสวรรค์นักรบอสูรจะสามารถรักษาชีวิตของผู้คนส่วนใหญ่จากการแจ้งเตือนของเจิ้งปู้ตู๋แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นยังทําให้เพิ่งรู้สึกขมขื่น
“มันมาอีกแล้ว!” การแสดงออกของเจิ้งปู้ตู๋การเป็นเคร่งเครียด
นักรบอสูรที่อยู่รอบๆมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและเห็นมังกรควันพิษบินลงมา
ร่างกายของมันใหญ่โตราวกับภูเขา หากมันโจมตี ครึ่งหนึ่งของเมืองหลอมรวมดาราถูกทําลายทันที ผู้คนนับแสนจะเสียชีวิต
แน่นอนว่าเจิ้งปู้ตู๋จะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น
ด้วยเสียงกรีดร้องของอินทรีย์ อินทรีย์หางศรบินออกมาจากมิติช่องว่างของเขา
ในเสี้ยวพริบตา เขาแปลงร่างเป็นนักรบอสูรหัวอินทรีย์และกระพือปีกบินขึ้นสู่ท้องฟ้า
เจิ้งปู่คู่ต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง ดาบสายลมจํานวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกไปราวกับพายุ
ดาบสายลมนับแสนเล่มพุ่งเข้าโจมตีศีรษะของมังกรควันพิษอยู่ชั่วครู่ก่อนที่มันจะแตกสลายไป
“นั่นเสี่ยวตู๋!”
“เขาช่วยเราเอาไว้อีกครั้ง!”
“สมกับเป็นเสี่ยวตู๋!”
กลุ่มนักรบอสูรชมเชย
ผู้คนที่อยู่ในเมืองหลอมรวมดาราต่างเห็นฉากนี้ พวกเขาตะโกน “ผู้กอบกู้โลกเจิ้งปู้ตู๋!”
ในไม่ช้าเสียงโห่ร้องก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมือง
แต่เจิ้งปู้ตู๋ยังไม่สามารถผ่อนคลาย เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าและตะโกน “ทุกคน ระวัง การโจมตีระลอกต่อไปกําลังจะมา!”
ทันใดนั้นมังกรควันพิษหลายสิบตัวก็ปรากฏขึ้นและพุ่งลงมายังเมืองหลอมรวมดารา
เสียงโห่ร้องหยุดลงทันที
ใบหน้าของกลุ่มนักรบอสูรกลายเป็นซีดเผือด
ในอดีต มังกรควันพิษจะปรากฏตัวขึ้นไม่เกินห้าตัวต่อครั้งแต่ตอนนี้จํานวนของมันเพิ่มขึ้นถึงห้าเท่านี่ไม่ใช่ สิ่งที่พวกเขาสามารถรับมือ
“เราจะจบแค่นี้งั้นหรือ?”
“บัดซบ!”
“ข้าไม่อยากตาย!”
ในช่วงเวลาคับขัน เปลือกหอยทากดาราก็ส่องประกายขึ้นและกลายเป็นนักรบหอยทากดารา
เจิ้งปู้ตู๋แสร้งประหลาดใจแต่ในใจเขารู้อยู่แล้ว ในที่สุดตาแก่ผู้นี้ก็เริ่มเคลื่อนไหว
นี่คือราชาอสูรรุ่นปัจจุบัน เขาใช้ศพของหอยทากดาราเพื่อแปลงร่าง เขามีพลังการต่อสู้สูงที่สุดในสวรรค์นักรบอสูรและเป็นไพ่ตายใบสุดท้ายของที่นี่
ย้อนกลับไปเมื่อฟางหยวนกลายเป็นปีศาจหัววัว เขาเคยต่อสู้กับราชาอสูรผู้นี้มาแล้ว
นักรบหอยทากดาราส่งหมัดออกไปราวกับอุกกาบาตที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
อุกกาบาตทําลายศีรษะของมังกรควันพิษหลายตัวลงอย่างไร้ปรานี
จากนั้นนักรบหอยทากดาราก็ยกมือขึ้นราวกับกําลังแบกท้องฟ้าเอาไว้
ในเวลาต่อมาม่านแสงดาวก็ปรากฏขึ้นและปกป้องเมืองหลอมรวมดาราเอาไว้
มังกรควันพิษถูกกีดขวางเป็นการชั่วคราวขณะที่ร่างกายของนักรบอสูรทั้งหมดเรืองแสงสีฟ้าออกมาก่อนที่พวกเขาจะบินออกไปต่อสู้กับฝูงมังกรพิษอย่างดุเดือด
อย่างไรก็ตามมังกรควันพิษตัวใหม่ยังปรากฏขึ้นเรื่อยๆ นี่ทําให้ฝ่ายของนักรบอสูรกลายเป็นเสียเปรียบ
หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าเกรงว่าวันนี้เมืองหลอมรวมดาราจะถูกทําลาย เมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ ราชาอสูรก็ตัดสินใจ
เขาตะโกนเสียงดังไปทั่วสนามรบ “สถานการณ์เร่งด่วน เสี่ยวตู๋ ไปรับมรดกสุดท้าย เจ้าคือความหวังของเรา!”
เจิ้งปู้ตู๋ได้รับมรดกที่แท้จริงของถ้ําสวรรค์นักรบอสูรจากสถานที่อื่นมาหมดแล้ว ตอนนี้มันเหลือเพียงส่วนสุดท้ายเท่านั้น
เขาอยู่ในเมืองหลอมรวมดารามาหลายวันแต่ราชาอสูรรุ่นปัจจุบันยังไม่เคยกล่าวถึงเรื่องนี้ เจิ้งปู้ตู๋ต้องแสร้งทําเป็นไม่รู้ว่ามรดกส่วนสุดท้ายอยู่ในเมืองหลอมรวมดารา
“เสี่ยวตู๋ ข้าจะปกป้องที่นี่”
“ไปเร็ว เสี่ยวตู๋ ตอนนี้มันขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว!”
“เราจะซื้อเวลาให้เจ้า แม้นจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต เราก็จะทําหน้าที่ของเราอย่างดีที่สุด!”
กลุ่มนักรบอสูรเร่งเร้า
ผู้คนในถ้ําสวรรค์นักรบอสูรแตกต่างจากผู้คนของโลกภายนอก พวกเขามีจิตวิญญาณของการเสียสละและสามารถอุทิศชีวิตของตนเอง
เจิ้งปู้ตู๋บินไปยังห้องโถงใต้ดินและพบแท่นบูชาสุดท้ายในที่สุด
แท่นบูชาส่องประกายสว่างไสวพร้อมกับจิตวิญญาณสวรรค์กิเลนที่ปรากฏตัวขึ้น
“เด็กน้อย เจ้ามีคุณสมบัติที่จะรับสืบทอดมรดกที่แท้จริง ได้เวลาบอกความจริงเกี่ยวกับโลกใบนี้กับเจ้าแล้ว” เสียงของจิตวิญญาณสวรรค์กิเลนดังขึ้น
หลังจากได้รับการถ่ายทอดความทรงจํา เจิ้งปู่แสดงออกด้วยความตกใจและไม่อยากจะเชื่อ “ดังนั้นโลกที่เราอยู่ก็เล็กมาก วิธีที่แท้จริงในการใช้วิญญาณไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนร่าง!”
“จิตวิญญาณสวรรค์ ตอนนี้ข้าควรทําอย่างไร?”
จิตวิญญาณสวรรค์กิเลนก้มศีรษะลงต่อหน้าเจิ้งปู่ต์ “นายท่าน ตอนนี้ข้าไม่มีวิธีใดแล้ว ตั้งแต่เกิดการเปลี่ยนแปลงของสายธารแห่งกาลเวลา ภัยพิบัติก็ปรากฏขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ท่ามกลางภัยพิบัติเหล่านี้ มันมีกระทั่งหมื่นภัยพิบัติ ข้าเกรงว่าเราอาจไม่รอด ข้าจะเปิดประตูเดี๋ยวนี้ นายท่านต้องรีบหลบหนี”
ช่วงเวลาที่เจิ้งปู้ตู๋รับสืบทอดมรดกที่แท้จริงทั้งหมด จิตวิญญาณสวรรค์กิเลนก็ยอมรับเขาเป็นเจ้านายคนใหม่แล้ว
เจิ้งปู้ตู๋ถอนหายใจแต่ทันใดนั้นการแสดงออกของเขาก็เปลี่ยนเป็นประหลาดใจ “ไม่จําเป็น ร่างหลักของข้ามาถึงแล้ว!”
ในช่วงเวลาสําคัญ ร่างหลักของฟางหยวนก็มาถึงในที่สุด
อย่างไรก็ตามฟางหยวนรู้สึกปวดหัวเช่นกันเมื่อมองไปยังควันพิษที่ปกคลุมสวรรค์นักรบอสูรเอาไว้
เจิ้งปู้ตู๋สั่งให้จิตวิญญาณสวรรค์กิเลนเปิดประตูทางเข้าถ้ําสวรรค์ นั่นทําให้ฟางหยวนสามารถเข้ามาได้โดยปราศจากสิ่งกีดขวาง
เนื่องจากจิตวิญญาณสวรรค์กิเลนยอมรับเจิ้งปู่ตู้เป็นเจ้านาย ท่าไม้ตายอมตะกลืนกินสิ่งมีชีวิตจึงไม่ส่งผลกระทบต่อร่างหลักของฟางหยวน เขาสามารถเข้ามาได้ด้วยร่างกายดังเดิมของตน
ด้วยเหตุนี้นักรบอสูรในสนามรบจึงเห็นฉากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด
ชายผู้หนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ กลิ่นอายของเขายิ่งใหญ่ราวกับมหาสมุทร มังกรควันพิษราวกับถูกกระตุ้น โดยผู้มาเยือนลึกลับ พวกมันหันหน้าไปทางฟางหยวนและต้องการฆ่าเขา
“เขาคือผู้ใด?”
“หนีไป!”
“ไม่ มันสายไปแล้ว!”
กลุ่มนักรบอสูรตะโกนด้วยความสิ้นหวังขณะเฝ้ามองฟางหยวนถูกปิดล้อมโดยฝูงมังกรควันพิษ
เมื่อฝูงมังกรควันพิษบินใกล้เข้าไป ฟางหยวนก็เริ่มเคลื่อนไหว
“บึม!”
พลังปราณระเบิดออกไปทุกทิศทุกทางและทําให้ท้องฟ้าเปลี่ยนสีอย่างกะทันหัน
ฟางหยวนลอยอยู่บนท้องฟ้าอย่างภาคภูมิใจ มังกรควันพิษที่อยู่รอบๆสูญสลายไปหมดแล้ว ควันพิษที่ปกคลุมท้องฟ้าเกิดรูช่องโหว่ขนาดใหญ่ แสงแดงสาดส่องลงมาจากรูช่องโหว่และอาบย้อมร่างกายของฟางหยวนเอาไว้
กลุ่มนักรบอสูรอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
ทันทีที่ฟางหยวนเคลื่อนไหว เขาก็แสดงพลังอํานาจอันเป็นที่สุดออกมา นอกจากนี้เขายังไม่ได้เคลื่อนที่จากตําแหน่งเดิมแม้แต่น้อย
ฉากนี้ทําลายตรรกะทั้งหมดของกลุ่มนักรบอสูรไปอย่างสิ้นเชิง
ทุกคนตกลงสู่ความเงียบ
เป็นเพียงเวลานี้ที่ฟางหยวนค่อยๆเปิดปากกล่าว เสียงของเขาดังขึ้นในหูของทุกคน “เสี่ยวตู๋ เจ้าอยู่ที่ใด? พ่ออยู่นี้แล้ว”
กลุ่มนักรบอสูรตกตะลึงอีกครั้ง
เจิ้งปู้ตู๋บินออกไป เขาแสดงออกด้วยความประหลาดใจและมีน้ําตาเล็กน้อย “ท่านพ่อ ในที่สุดท่านก็ออกจากการปิดประตูฝึกตน โปรดช่วยโลกใบนี้ด้วย”
ในเวลาต่อมาเมืองหลอมรวมดาราก็ตกสู่ความโกลาหล
ปรากฏว่าชายลึกลับผู้นี้คือบิดาของเจิ้งปู้ตู๋ พวกเขาไม่แปลกใจอีกต่อไปว่าเหตุใดคนผู้นี้จึงแข็งแกร่งนัก
นี่คือผู้เชี่ยวชาญที่เก็บตัวบ่มเพาะอยู่อย่างสันโดษ
เมื่อฟางหยวนปรากฏตัว ทุกคนรู้สึกว่าพวกเขารอดแล้ว
ฟางหยวนถอนหายใจก่อนกล่าว “ข้าไม่เคยคาดหวังว่าภัยพิบัติดังกล่าวจะเกิดขึ้นระหว่างการปิดประตูฝึกตนของข้า น่าเสียดายที่ข้าเก็บตัวมานานเกินไป หากข้ารู้ล่วงหน้า ข้าจะไม่ปล่อยให้มังกรควันพิษสร้างความเสียหายร้ายแรงเช่นนี้”
หลังกล่าวจบคํา ฟางหยวนก็โจมตีควันพิษอีกครั้ง
“ท่านพ่อ ตอนนี้เราสามารถควบคุมสถานการณ์แล้ว ลงไปพักผ่อนก่อนเถอะ” เจิ้งปู้ตู๋กล่าว
“ตกลง” ฟางหยวนพยักหน้า
หลังจากนั้นคู่พ่อลูกก็ค่อยๆบินลงไปที่เมืองหลอมรวมดาราท่ามกลางสายตาแห่งความซาบซึ้ง ความหวาดกลัว และความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนจํานวนนับไม่ถ้วน