Reverend Insanity เทพปีศาจหวนคืน - บทที่ 1960 ทําลายชะตากรรม
“ปัง!”
ราชันมังกรส่งวังมังกรบินกลับไปด้วยหมัดมังกร
เส้นทางถูกเปิดออกแต่ราชันมังกรไม่มีความสุขเพราะฟางหยวนเข้าใกล้หอคอยดวงตาสวรรค์มากแล้ว
ไม่เพียงฟางหยวนแต่วหยงปิงชายฉวน เฉินกงเจิ้ง และคนอื่นๆก็พุ่งเข้าไปเช่นกัน
“ใช้ยอมจํานนต่อโชคชะตาเร็วเข้า!” ราชันมังกรตะโกน
ผู้อมตะที่อยู่ในหอคอยดวงตาสวรรค์เร่งกระตุ้นใช้งานท่าไม้ตายอมตะยอมจํานนต่อโชคชะตาด้วยความตื่นตระหนก
แสงสีขาวส่องประกายขึ้นและกลืนกินวังสวรรค์เข้าไปทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นผู้อมตะของวังสวรรค์หรือผู้อมตะของสามภูมิภาค ทั้งสองฝ่ายต่างคุ้นเคยกับท่าไม้ตายนี้
ไม่ว่าจะเป็นผู้อมตะหรือคฤหาสน์วิญญาณอมตะ ทั้งหมดล้วนได้รับบาดเจ็บและความเสียหายจากท่าไม้ตายนี้
“บัดซบ!” รูหยงกัดฟันแน่นขณะที่เลือดไหลออกมาจากริมฝีปากของเขา “ท่าไม้ตายนี้อีกครั้ง!วิญญาณชะตากรรมช่วยพลิกสถานการณ์ให้กับวังสวรรค์เสมอ!”
“หือ?” วหยงเห็นบางสิ่งเคลื่อนที่ผ่านเขาไปและรู้สึกซับซ้อน
แสงสีแดงเลือดพุ่งผ่านพื้นที่สีขาว
มันคือผ้าคลุมเปื้อนเลือดที่สะบัดตัวราวกับธงสงคราม!
“ออออ!” เจตจํานงของเทพปีศาจคลั่งให้หมัดทุบหน้าอกของตนเองราวกับสิ่งที่กําลังเร้าร้อน
เขาตื่นเต้นมากและตะโกนอย่างบ้าคลั่ง “ถูกต้อง ในสวรรค์พิภพแห่งนี้ไม่มีผู้ใดอีกนอกจากข้าในช่วงเวลาสําคัญ เจ้ายังต้องพึ่งพาข้า ข้าเจ๋งมาก!”
ด้วยอัตลักษณ์ของปีศาจต่างโลกที่สมบูรณ์ ท่าไม้ตายอมตะยอมจํานนต่อโชคชะตาไม่สามารถทําร้ายฟางหยวน
ท่ามกลางความสิ้นหวัง เสื้อคลุมสีขาว เส้นผมสีดํา และผ้าคลุมเปื้อนเลือดของฟางหยวนสะบัดตัวไปตายสายลม
เขาพุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง!
“เรายังมีความหวัง” ภายในแท่นบูชาแห่งโชค ชิงช่ายฉวนเบิกตากว้างและมองไปยังฟาง
หยวน
เฉินกงเจิ้งกระอักเลือดออกมาซ้ําแล้วซ้ําอีกแต่ยังมองฟางหยวนด้วยความคาดหวัง
เขาตะโกนอยู่ในใจ “ฟางหยวน ตอนนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว!”
ฟางหยวนพุ่งไปข้างหน้าราวกับลูกศรที่แหลมคม เขาเหมือนดาวแห่งหายนะที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าและท้าทายสวรรค์พิภพด้วยตัวเขาเอง
“บุกเข้าไป! โจมตีมัน! ความยิ่งใหญ่ของบุรุษจะปรากฏขึ้นเมื่อพวกเขาพุ่งไปข้างหน้าโอ้เย่!” เจตจํานงของเทพปีศาจคลั่งโห่ร้องอย่างไม่หยุดยั้ง
ไม่ว่าจะเป็นราชันมังกร ฟงจิวเก้อ ผู้อมตะวังสวรรค์ หรือผู้อมตะของทั้งสามภูมิภาคทุกคนต่างมองไปที่ฟางหยวน
ฉากสีขาวราวกับไร้จุดสิ้นสุด ราวกับมันปกคลุมอดีตอันไกลโพ้นมาจนถึงปัจจุบัน
กว่าสามล้านปีมาแล้ว เมื่อเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ยังครองอํานาจ มีทาสมนุษย์ผู้หนึ่งที่ไม่โดดเด่น เขาชื่อเว่ยอวีซู
“เว่ยอวีซู เมื่อข้าซื้อเจ้ากลับมา เจ้าเป็นเพียงเด็กที่ไม่รู้จักแม้แต่วิธีการบ่มเพาะ!”
“ข้าสอนเจ้าทีละขั้นตอนและเลี้ยงดูเจ้าจนกลายเป็นผู้อมตะ แต่มันกลับทําให้เจ้ามีความกล้าหาญเช่นนี้งั้นหรือ?”
“บอกข้า เหตุใดเจ้าถึงทรยศ?”
“ข้าหรือองค์หญิงเยถงรังแกเจ้างั้นหรือ? เจ้าใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายและสงบสุขเจ้ารับใช้ข้าเพียงผู้เดียวขณะที่ข้าไม่เคยปฏิบัติต่อเจ้าอย่างโหดร้าย!”
ผู้อมตะหญิงระดับแปดเผ่ามนุษย์หมึกถามด้วยน้ําเสียงที่เฉียบขาด
เว่ยอวีซูเผยรอยยิ้มโศกเศร้า “แม้ข้าจะมีชีวิตที่ดีขึ้น ข้าก็ยังเป็นทาสของท่าน!”
ผู้อมตะหญิงระดับแปดโกรธจัด “การเป็นทาสของข้ามันเลวร้ายมากงั้นหรือ? มนุษย์หมึกมากมายต้องการเป็นเช่นเจ้าแต่ไม่ได้รับโอกาสนี้!”
เว่ยอวีซูกล่าวอย่างช้าๆ “ข้าไม่เคยคิดว่ามันเลวร้ายมาก่อน แต่เมื่อข้าได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับวังสวรรค์ของเผ่ามนุษย์…ข้าเข้าใจในที่สุดว่าเหตุใดข้าจึงรู้สึกหดหูอยู่เสมอมันเป็นเพราะข้าขาดสิ่งหนึ่ง”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าเคยอ่านต่นานมนุษย์คนแรก ข้าช่างโง่เขลานัก ข้าโง่ยิ่งกว่านกไร้ปีกเสือดาวไร้ฟันปลาไร้เหงือกอย่างน้อยพวกมันก็รู้ว่าตนเองสูญเสียอิสรภาพและเดิมพันชีวิตเพื่อไล่ล่าอิสรภาพแต่ข้าไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองสูญเสียอิสรภาพไปแล้ว!”
“ดังนั้นเจ้าจึงต้องการไปที่วังสวรรค์งั้นหรือ?” ผู้อมตะหญิงเย้ยหยัน “ไร้เดียงสาเจ้าเชื่อคําลวงของปีศาจเหล่านั้นจริงๆงั้นหรือ?”
เว่ยอซปิดเปลือกตาลงและกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง “ไม่ใช่ว่าข้าเชื่อ แต่ข้าอยากเชื่อ”
“วังสวรรค์ไม่ใช่จุดสําคัญ!”
“หากไม่มีวังสวรรค์ก็อาจมีวังพิภพหรือวังมนุษย์!”
“สิ่งสาคัญคือมนุษย์จะรวมตัวกันและไล่ล่าอิสรภาพเสมอ!”
หนึ่งล้านปีก่อน
ราชันมังกรก่นเสียงเย็น “บอกข้าไหงถึงผู้ใดในโลกนี้ที่สามารถทําตามความต้องการของตนเองความคิดของเจ้ายังเด็กเกินไปเจ้าคิดว่าการเป็นเทพอมตะและนําทางฝ่ายธรรมะไม่มีราคาที่ต้องจ่ายงั้นหรือ?การปกครองวังสวรรค์มีราคาที่เจ้าต้องจ่ายมันต้องมีการเสียสละหากเจ้าไม่มีความคิดที่จะเสียสละเจ้าก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าสู่วังสวรรค์!”
ราชันมังกรขมวดคิ้วด้วยใบหน้าเย็นชา “เจ้าต้องการชุบชีวิตผู้ใด?”
“ทุกคนที่เสียสละเพื่อข้า ท่านพ่อท่านแม่ของข้า ภรรยาของข้า และคนอื่นๆอีกมากมาย
“แม่โศกนาฏกรรมที่โหดร้ายกว่าจะเกิดขึ้นข้าก็จะยอมรับมัน! ท่านอาจารย์ศิษย์มักมีคําถามอยู่ในใจเสมอเพราะเหตุใด?เหตุใดเราต้องยอมจํานนต่อโชคชะตา? โลกจะน่าอยู่มากขึ้นหรือไม่หากปราศจากวิญญาณชะตากรรม!”
ยุคปัจจุบัน
ราชันมังกรมองฟงจินฮวงและกล่าวอย่างเคร่งขรึม“ฮวงเอ๋อ เจ้าต้องตระหนักว่าเจ้าคือเทพอมตะแห่งความฝันในอนาคต เจ้าจะสร้างเส้นทางแห่งความฝันและปกครองโลกใบนี้เจ้าจะส่องประกายเจิดจ้าและนําเผ่ามนุษย์ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดอย่ากังวลอย่าลังเลใช้ความสําเร็จแต่ละก้าวเพื่อเดินไปข้างหน้าอย่างไม่ย่อท้อจนกว่าจะถึงจุดสูงสุดของโลกใบนี้!”
ดวงตาของฟงจินฮวงส่องประกายขึ้น นางเผยรอยยิ้มงดงาม
ราชันมังกรยิ้มตอบ
ฟงจินฮวงกล่าว “หากทั้งหมดนี้ถูกกําหนดโดยโชคชะตา…ข้าไม่เชื่อในโชคชะตา!”
“บึม!”
ฟางหยวนทําลายหลังคาของหอคอยดวงตาสวรรค์และบุกเข้าไปข้างในโดยตรง
ผู้อมตะของวังสวรรค์ที่อยู่ภายในต้องการหยุดเขาแต่ถูกฉีกร่างออกเป็นชิ้นๆในเสี้ยวพริบตา
เลือดสาดกระเซ็นลงบนใบหน้าสีขาวราวหิมะของฟางหยวน
เลือดสาดกระเซ็นลงบนเส้นผมสีดําราวกับท้องฟ้ายามราตรีของฟางหยวน
เลือดสาดกระเซ็นลงบนผ้าคลุมเปื้อนเลือดของฟางหยวน
เส้นทางถูกปด้วยเลือด
ฟางหยวนก้าวไปข้างหน้าและบรรลุถึงจุดศูนย์กลางของหอคอยชั้นบนสุด
วิญญาณชะตากรรมอยู่ตรงหน้าเขา มันอยู่ที่นั่นราวกับรอคอยเครื่องเซ่นไหว้มาตลอดหลายล้านปี
ฟางหยวนยื่นมือออกไปคว้าวิญญาณชะตากรรม!
ในจังหวะนี้แม้แต่เจตจํานงของเทพปีศาจคลั่งก็ยังหุบปากเงียบ เขามองฟางหยวนด้วยสายตาว่างเปล่า
เพราะเขาตระหนักว่านี่คือช่วงเวลาสําคัญของมนุษยชาติ ไม่ มันเป็นช่วงเวลาสําคัญของโลกทั้งใบ
ฟางหยวนจับวิญญาณชะตากรรมไว้ในมือสายตาของเขาปรากฏให้เห็นถึงอารมณ์ที่ซับซ้อน
ในที่สุดเขาก็สามารถจับวิญญาณชะตากรรม นี่เป็นฉากที่เขาเคยจินตนาการถึง
เป้าหมายของเขากําลังจะประสบความสําเร็จ แต่ตอนนี้เขาไม่ได้คิดถึงตัวเองตรงข้ามเขาคิดถึงตํานานมนุษย์คนแรก
มนุษย์คนแรกกล่าว “ข้าต้องไล่ล่าอิสรภาพเพื่อปลดโซ่ตรวนแห่งโชคชะตาหลังจากนั้นข้าจะสามารถไปทุกที่ที่ข้าต้องการและอยู่กับทุกคนที่ข้าอยากอยู่ด้วยตลอดไป!”
นกตําหนิ “แต่มนุษย์ถูกลิขิตให้อยู่เพียงลําพัง การพบพานจะจบลงด้วยการพลัดพรากโอ้มนุษย์เจ้าต้องการไล่ล่าอิสรภาพแต่เจ้าต้องทําตามธรรมชาติของตนเองด้วยอย่าเพ้อฝันมากเกินไป”
มนุษย์คนแรกกล่าว “ข้าต้องไล่ล่าอิสรภาพเพื่อปลดโซ่ตรวนแห่งโชคชะตาหลังจากนั้นข้าจะสามารถครอบครองอาหารเลิศรสสุราชั้นดีเสื้อผ้าที่งดงามความมั่งคั่งที่ไม่รู้จบสิ้นและชีวิตที่ไร้กังวล!”
เสือดาวหัวเราะ “แต่มนุษย์ถูกลิขิตให้เกิดมามือเปล่าและจะจากไปมือเปล่าโอ้มนุษย์เจ้าต้องการไล่ล่าอิสรภาพแต่เจ้าต้องทําตามธรรมชาติของตนเองด้วยอย่าเพ้อฝันมากเกินไป”
มนุษย์คนแรกกล่าว “ข้าต้องไล่ล่าอิสรภาพเพื่อปลดโซ่ตรวนแห่งโชคชะตา หลังจากนั้นข้าจะสามารถหายใจได้อย่างอิสระและมีชีวิตอยู่ตลอดไปข้าจะมีชีวิตนิรันดร์!”
ปลาเย้ยหยัน “แต่มนุษย์ถูกลิขิตให้เกิดและตาย เจ้าไม่มีความสัมพันธ์กับชีวิตนิรันดร์โอ้ มนุษย์เจ้าต้องการไล่ล่าอิสรภาพแต่เจ้าต้องทําตามธรรมชาติของตนเองด้วยอย่าเพ้อฝันมากเกินไป”
มนุษย์คนแรกมีนงง
มนุษย์คนแรกไม่พอใจ
มนุษย์คนแรกหงุดหงิด
มนุษย์คนแรกกลายเป็นบ้า
“พวกเจ้าสามารถคิดเช่นนี้แต่เหตุใดข้าจึงไม่สามารถ?”
“เหตุใดมนุษย์ไม่สามารถอยู่กับคนที่พวกเขารักตลอดไป?”
“เหตุใดมนุษย์ไม่สามารถครอบครองความมั่งคั่งที่ไม่รู้จบสิ้นและมีชีวิตอยู่อย่างไร้กังวล?”
“เหตุใดมนุษย์ไม่สามารถมีชีวิตนิรันดร์?”
“เพราะวิญญาณชะตากรรมไม่อนุญาตงั้นหรือ?”
“เพราะมันไม่อนุญาต ข้าจึงไม่สามารถทําได้! ข้าไม่สามารถแม้แต่จะคิดเกี่ยวกับมันงั้นหรือ!?”
“ด้วยพื้นฐานใด?”
“ด้วยผลกรรมใด?”
“ข้าไม่ได้รับอนุญาตให้คิดเกี่ยวกับมันด้วยพื้นฐานใด?”
“ชีวิตนิรันดร์ถูกห้ามด้วยผลกรรมใด?”
“หากความคิดนั้นทําให้ข้ากลายเป็นคนบ้า ข้าก็จะเป็นคนบ้า!”
“หากการไล่ล่าสิ่งนั้นทําให้ข้ากลายเป็นปีศาจ ข้าก็จะเป็นปีศาจ!”
ฟางหยวนมองวิญญาณชะตากรรมด้วยสายตาเย้ยหยัน
เขากําหมัดเบาๆ
“ผัวะ!”
เสียงอันแผ่วเบาดังขึ้น
วิญญาณชะตากรรมถูกบดขยี้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย!
วิญญาณชะตากรรมระดับเก้าถูกทําลาย!