Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1000 ระงับชั่วคราว
ขณะที่การฝึกการต่อต้านการก่อการร้ายจะยังดำเนินต่อไป ประเทศจีนกำลังถูกพิจารณาในช่วงกลางดึก
แต่อีกฟากหนึ่งของโลกอย่างอเมริกาเหนือเป็นเวลาบ่าย
โดยปกติแล้วพนักงานอาคารเพนตากอนส่วนใหญ่จะชอบดื่มกาแฟ นั่งอยู่ในออฟฟิศห้องแอร์ หรือนั่งคุยกับเพื่อนร่วมงานเกี่ยวกับนโยบายนานาชาติหรือเกมในวันเสาร์…
แต่วันนี้กลับต่างออกไป
จากแปดโมงเช้าถึงตอนนี้ อาคารเพนตากอนทั้งอาคารเหมือนเป็นกล่องดนตรีพังๆ ที่ทุกคนเดินไปมาด้วยบรรยากาศตึงเครียด
เหตุผลก็เพราะการฝึกต่อต้านการก่อการร้ายในครั้งนี้ที่ห่างออกไปเป็นพันกิโลเมตร
ด้านในห้องประชุมในอาคารเพนตากอน ผนังห้องกำลังฉายรูปภาพของจานดาวเทียมที่ถ่ายจากฐานทัพโอกินาวะ ประเทศญี่ปุ่น แม้ว่าพวกเขาจะเห็นเพียงแค่แสงแวบๆ ของโมดูลหลบหนีที่บินขึ้นไปสู่ท้องฟ้า แต่พื้นที่ตกกระทบสามารถมองเห็นได้ชัดเจน…
ทุกคนในห้องประชุมมองไปที่จอและกลั้นหายใจ
หนึ่งนาทีผ่านไป ประธานาธิบดีพูดขึ้น
“เล่นใหม่…”
เลขากระทรวงกลาโหมพยักหน้าให้พนักงาน ที่กำลังสูดลมหายใจแล้วกดปุ่ม
วิดีโอเริ่มเล่นบนหน้าจอ
ทุกคนในห้องประชุมเห็นโมดูลหลบหนีพุ่งทะลุผ่านชั้นบรรยากาศ และปล่อยกลุ่มควันออกมา
แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ห่างออกไปหลายพันกิโลเมตร แต่พวกเขาก็รู้สึกราวกับว่าได้กลิ่นควันผ่านหน้าจอ..
หลังจากนั้นสักพัก ผู้อำนวยการนาซา คาร์สันพูดขึ้น
“เวรเอ๊ย! การฝึกฝนการป้องกันการก่อการร้ายบ้าอะไร การฝึกการป้องกันการก่อการร้ายแบบไหนใช้อุปกรณ์แบบนี้”
แน่นอนว่าเขาต้องโกรธ
แต่เพราะเหตุผลอะไรบางอย่าง ห้องประชุมทั้งห้องเงียบลง เจ้าหน้าที่อาวุโสหลายคนมองหน้ากันรวมไปถึงประธานาธิบดีด้วย
ผู้อำนวยการคาร์สันสัมผัสได้ถึงความเงียบ เขาจึงหยุดไปครู่หนึ่งและยังคงเงียบต่อ
หลังจากนั้นสักพักเควิน หัวหน้าคณะทำงานก็ทำลายความเงียบขึ้น
“คนที่อยู่ด้านในแคปซูลไม่ตาย เป็นไปไม่ได้…”
ผู้เชี่ยวชาญด้านการบินและอวกาศดันแว่นขึ้นและพูด “ความเร็วของแคปซูลอากาศผ่านความสูงเหนือระดับน้ำทะเลต่ำสูงมาก แต่ความเร็วในการลงจอดไม่ได้เร็วขนาดนั้น ควันน่าจะไม่ได้มาจากการปะทะ แต่น่าจะมาจากอาวุธมากกว่า อย่างเช่น ระเบิดควัน”
ประธานาธิบดีขัดจังหวะผู้เชี่ยวชาญการบินและอวกาศและพูดขึ้น
“รายงานการวิเคราะห์เกี่ยวกับลักษณะของอุปกรณ์เสร็จแล้วหรือยัง”
รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมจากเพนตากอนและหัวหน้าหน่วยข่าวกรองมองหน้ากัน หัวหน้าหน่วยข่าวกรองพูด
“รายงานกำลัง…”
หลังจากนั้นไม่นานรายงานก็ถูกส่งมาที่ห้องประชุม
ประธานาธิบดีหยิบรายงานขึ้นมาและอ่านทีละบรรทัด
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ทุกคนกำลังรอให้เขาอ่านรายงานให้เสร็จ
เควินนั่งใกล้กับประธานาธิบดี เขารู้สึกว่านิ้วของประธานาธิบดีสั่น
จริงๆ แล้วเควินพูดถูก
แม้แต่ประธานาธิบดีเองก็ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกตัวเองอย่างไร
ระยะเวลาบินน้อยกว่า 50 นาที
ในทางทฤษฎีแล้ว แคปซูลนี้สามารถเคลื่อนกำลังไปมุมไหนของโลกก็ได้ภายในหนึ่งชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นแอนตาร์กติกาหรือป่าอเมซอน ทำเนียบขาวหรือเพนตากอน…
ไม่มีที่ไหนบนโลกนี้ที่ปลอดภัยอีกแล้ว อาคารไหนก็ตามสามารถถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ
ยิ่งไปกว่านั้น ทหารพลร่มเหล่านี้สามารถผ่านน่านฟ้าทุกน่านฟ้าอย่างกฎหมาย
ซึ่งมันฟังดูน่ากลัวจริงๆ …
อยู่ดีๆ ห้องประชุมก็เกิดความวุ่นวายขึ้น
“ถึงเวลาที่จะสร้างอนุสัญญาระหว่างประเทศที่เข้มงวดเพื่อกำหนดขอบเขตอาวุธที่เลวร้ายนี้ เราควรเพิ่มระดับความสูงของน่านฟ้า! อีกอย่างเราควรขยายสนธิสัญญาระหว่างประเทศและป้องกันอาวุธนอกแผนเข้าสู่วงโคจรของการบิน! กระสุนแม้แต่ลูกเดียวก็ไม่ควรปล่อยให้เข้าสู่อวกาศได้! “
“บ้าไปแล้วเหรอ? ลิมิตความสูงของน่านฟ้าเราอยู่แค่ 35 กิโลเมตร! คุณอยากเพิ่มความสูงเหรอ ถ้าเราเพิ่มความสูง แล้วเราจะทำอะไรได้ ถ้าพวกเขาฝ่าฝืนกฎหมายจริงๆ อย่างไรเสียขีปนาวุธของเราก็ยิงไม่ถึงยานอวกาศของพวกเขาอยู่ดี”
ระดับความสูงของน่านฟ้าไม่ได้ถูกระบุอย่างเคร่งครัดในกฎหมายระหว่างประเทศ ระดับความสูงของน่านฟ้าที่ต่ำที่สุดที่ดาวเทียมตรวจจับได้คือ 100 กิโลเมตร ที่สหรัฐอเมริกา ขีดจำกัดสูงสุดของยานอวกาศก็คือ 35 กิโลเมตร เนื่องจากอเมริกามียานอวกาศที่สามารถบินได้สูงกว่า 35 กิโลเมตร ทำให้พวกเขาสามารถบินผ่านบางพื้นที่ได้อย่างถูกกฎหมาย
แต่ถ้าความสูงที่เกินกว่า 110 กิโลเมตร ไม่ได้ถูกจำกัดโดยกฎหมายต่างประเทศ
แม้ว่าเรดาร์ป้องกันภัยทางอากาศที่ล้ำสมัยที่สุดจะสามารถตรวจจับยานอวกาศที่บินในบริเวณนี้ได้ก็ตาม แต่การบังคับใช้กฎหมายก็ค่อนข้างจะจำกัด
ลืมเรื่องยานอวกาศที่สามารถใช้ในการซ้อมรบและเปลี่ยนวิธีกระสุนไปได้เลย
แค่จะยิงดาวเทียมที่อยู่ในระดับความสูงขนาดนั้นยังเป็นเรื่องยากเลย
พวกเขาแทบจะไม่มีทางหยุดทหารพลร่มอวกาศพวกนั้นได้
“เราจะปล่อยให้พวกนั้นมาตรวจตราเหนือหัวเราแบบนี้เหรอ จีนกำลังยั่วโมโหเราอยู่! เราควรจะต้องตอบโต้! “
“แต่นั่นจะไม่ช่วยแก้ไขเรื่องความตึงเครียดทางการเมือง มันจะทำให้เรื่องแย่ลงนะ! “
“แย่ลงอย่างนั้นเหรอ แปลว่าเราควรจะยอมใช่ไหม”
ห้องประชุมเกิดความวุ่นวาย เจ้าหน้าที่แบ่งออกเป็นสองฝ่าย ต่างตะโกนใส่หน้ากัน
“พอแล้ว! “
เสียงคำรามด้วยความโกรธขัดจังหวะความขัดแย้งในห้อง
ประธานาธิบดีโยนรายงานลงบนโต๊ะและมองไปรอบๆ ห้องประชุม หลังจากนั้นเขามองไปที่หัวหน้าคณะทำงานและพูด
“เควิน ผมอยากได้ยินความคิดเห็นของคุณ”
เควินเงียบไปสักพัก
“…การฝึกทางทหารของพวกเขาอาจไม่ได้มุ่งตรงมาที่เราเสมอไปนี่ครับ”
“ซีไอเอระบุว่าการฝึกในครั้งนี้อาจจะมีขึ้นเพราะศาสตราจารย์ลู่ที่กำลังเดินทางไปเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในเดือนสิงหาคม พวกเขาจะได้ตอบโต้ได้เร็วที่สุดถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นมา”
เลขากระทรวงกลาโหมขมวดคิ้ว
“เขากำลังจะไปรัสเซียเหรอ”
เควินพยักหน้า
“ครับ เขาจะเข้าร่วมงานประชุม ICM”
เลขากระทรวงกลาโหม “…”
เจ้าหน้าที่อาคารเพนตากอน “…”
แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าศาสตราจารย์ลู่สำคัญกับรัฐบาลจีนมากขนาดไหน แต่พวกเขาก็ไม่อยากจะเชื่อว่าจีนจะยอมให้การสนับสนุนทางการทหารกับนักวิชาการที่เข้าร่วมประชุมถึงขนาดนี้…
พวกเขาไม่มีอะไรจะพูดต่อ
เควินมองไปที่ประธานาธิบดีและพูด
“จากรายงานของซีไอเอระบุว่านี่คือโอกาสที่ดีในการทำลายความตึงเครียดระหว่างสองประเทศ คำแนะนำของผมก็คือเราควรระวังตัวก่อนที่จะรู้จุดประสงค์ของพวกเขามากกว่านี้”
“ผมรู้” ประธานาธิบดีพูดอย่างใจร้อน เขาสังเกตเห็นว่าทุกคนกำลังมองเขาอยู่ เขาจึงพูดขึ้น
“แน่นอน เผื่อว่าเกิดอะไรขึ้นผมจะโทรหาผู้อำนวยการซีไอเอ”
คนครึ่งห้องในห้องประชุมรู้สึกโล่งใจ
แม้ว่าเควินจะโล่งใจเช่นกันแต่ก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา
ตั้งแต่สงครามเย็น อเมริกาก็กลายเป็นประเทศมหาอำนาจ แต่ตอนนี้พวกเขากลับเป็นคนที่กังวลเกี่ยวกับประเทศอื่น
เควินยิ้มอย่างขมขื่นและพยักหน้า
“ทำแบบนั้นก็ดี…”
………………