Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1097 การทดสอบรอบพิเศษครั้งที่สอง
- Home
- Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ
- ตอนที่ 1097 การทดสอบรอบพิเศษครั้งที่สอง
ณ ห้อง 201 หอพักชาย
หลี่โม่เข้ามาในห้องพร้อมกับสะพายกระเป๋าเป้ของตัวเอง และเขาพูดขึ้นก่อนจะวางกระเป๋าลง
“พวกนายจะต้องไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้แน่ๆ!”
ตวนซื่อฉีวางปากกาลงแล้วหันหลังไปมอง เขาดันแว่นขึ้นไปที่สันจมูกแล้วพูดว่า “…อะไรเหรอ?”
หลี่โม่ “ศาสตราจารย์เพเรลมานน่ะสิ! ตำนานที่ทิ้งโลกคณิตศาสตร์ไว้คนนั้นน่ะ! เขาเข้าร่วมโปรเจกต์วิจัยของเรา!”
อู๋ตี้ที่กำลังเล่นโดต้าออโต้เชสอยู่ เขาพูดโดยไม่ละสายตาจากหน้าจอ “…ฉันไม่รู้ว่านายกำลังพูดถึงอะไร เขาเป็นใครเหรอ?”
“ศาสตราจารย์เพเรลมานไง! นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมันที่พิสูจน์การคาดเดาของปวงกาเร!” หลี่โม่พูดด้วยความตื่นเต้น เขาไม่สนใจว่าคนอื่นๆ จะเข้าใจเขาหรือเปล่า แต่เขาพูดต่อ “ฟาลติ้งส์และชูลทซ์ก็อยู่ที่นั่นด้วย! นี่มันบ้ามาก บอว์บากิกรุ๊ปกำลังอยู่ที่มหาวิทยาลัยของเรา!”
หยางชวงเป็นคนเดียวที่สนใจเขา เห็นได้ชัดว่าทุกคนไม่สนใจเท่าไหร่
ตวนซื่อฉีเป็นนักเรียนอัจฉริยะต่างจากเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆ ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าใครคือเพเรลมานและฟาลติ้งส์ แต่เขาก็ไม่ได้ตื่นเต้นเท่าไหร่
เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็เป็นเพียงน้องใหม่ พวกเขาเพิ่งเริ่มต้นการเดินทางสู่โลกแห่งคณิตศาสตร์ได้ไม่นาน
บางทีเมื่อพวกเขากลายเป็นรุ่นพี่หรือนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาและทำวิจัยจริงๆ พวกเขาอาจจะเข้าใจถึงความสำคัญของชื่อเหล่านี้ได้
แต่ตอนนี้ตวนซื่อฉีรู้สึกเหมือนเพเรลมานและฟาลติ้งส์ไม่น่าประทับใจเท่ากับคนที่พัฒนาเทคโนโลยีการจำลองภาพเสมือนจริงอย่างท่านเทพลู่เท่าไหร่
หากพูดถึงเรื่องนี้แล้วตวนซื่อฉีก็รู้สึกว่าเขาค่อนข้างอิจฉาหลี่โม่พอตัวเลยทีเดียว
หลี่โม่มีความสามารถในการจดจ่ออยู่กับตัวเองมากๆ และไม่สนคนอื่น
นี่คือสิ่งที่เขาทำไม่ได้
บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลที่หลี่โม่เก่งมากๆ ในโลกของคณิตศาสตร์ล้วนๆ ก็ได้
หยางชวงที่กำลังฟังหลี่โม่โม้อยู่ก็สังเกตเห็นหนังสือเรียนอยู่บนโต๊ะ หลังจากที่มองเข้าไปใกล้ๆ เขาก็พูดขึ้น
“…งานวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์? ว้าว บ้าแล้ว เราไม่ได้เรียนเนื้อหาปีนี้ด้วยซ้ำ แต่นายเรียนหมดแล้วเหรอ?”
“ใช่แล้ว” ตวนซื่อฉีดันแว่นขึ้นจมูกแล้วพูดว่า “สุดสัปดาห์นี้ฉันไม่ว่าง ดังนั้นฉันจึงต้องทำให้เสร็จก่อนเวลา”
อู๋ตี้ผู้ที่กำลังเล่นวิดีโอเกมรู้สึกทึ่ง เขาหันกลับมาพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“โอ้ สุดสัปดาห์นี้งั้นเหรอ? บอกหน่อยว่ามันใช่เดทหรือเปล่า?”
ตวนซื่อฉีมองไปที่รอยยิ้มที่ดูกวนๆ ของเพื่อนร่วมห้องและพูด
“หมายความว่าไง? มันไม่เกี่ยวอะไรกับผู้หญิงเลยสักนิด”
เขายังไม่ได้บอกใครเกี่ยวกับการทดสอบระบบให้ใครฟัง เขาเป็นคนเก็บตัวและไม่ต้องการเป็นจุดสนใจนัก มันง่ายที่จะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ
แต่นั้นนั่นเป็นเพียงสำหรับชีวิตจริงของเขา เพราะในสถานะออนไลน์ของเขานั้นแตกต่างออกไปมากโข
เขาคิดถึงผู้ติดตามเว่ยป๋อหลายหมื่นคนและรู้สึกมหัศจรรย์
เขาสามารถดึงดูดความสนใจได้มากด้วยโพสต์เว่ยป๋อเพียงสองโพสต์เท่านั้น ผู้คนต่างพากันตื่นเต้นกับเทคโนโลยีนี้มากจนพวกเขามาติดตามคนไร้ชื่ออย่างเขามากมาย ทุกวันเขาจะได้รับข้อความถามเกี่ยวกับระบบแฟนท่อม
ข้อความเหล่านี้ได้กลายเป็นแรงจูงใจให้เขาตั้งตารอการทดสอบรอบต่อไป
นอกจากแฟนๆ ที่ถามถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการทดสอบแล้ว เขาก็สนใจในการทดสอบมากกว่า
ครั้งนี้จะไม่เหมือนเดิม
เพราะสถาบันจินหลิงเพื่อการศึกษาขั้นสูงยังไม่ได้เปิดเผยข้อมูลใดๆ ออกมาให้แก่ผู้ทดสอบเบต้า
เขาได้แต่เฝ้ารอคอยมัน
…
สุดสัปดาห์
การทดสอบครั้งที่สองกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้า
เช่นเดียวกับที่สถาบันจินหลิงเพื่อการศึกษาขั้นสูงได้กล่าวไว้ว่านี่เป็นการทดสอบไม่เหมือนเดิม
มีกลุ่มคนยืนอยู่ในป่าที่แห้งแล้ง กำลังมองไปรอบๆ ตัวเองอย่างสับสน
ซึ่งข้างๆ พวกเขาคือซากเครื่องบินซึ่งแตกออกเป็นสองชิ้นใหญ่
พนักงานสวมเสื้อคลุมสีขาวยืนอยู่ต่อหน้าฝูงชน เขายิ้มและเริ่มอธิบายสถานการณ์ให้ฟัง
“ขอบคุณผู้เล่นที่เข้าร่วมในการทดสอบครั้งที่สองของเรา เราดีใจที่ได้พบคุณอีกครั้ง
“โดยปกติแล้วนี่เป็นการทดลองจำลองทางสังคมวิทยาขนาดใหญ่ พวกคุณคือผู้รอดชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก และเป้าหมายเดียวของคุณคือการเอาชีวิตรอดเป็นเวลาเจ็ดสิบสองชั่วโมงก่อนที่ทีมกู้ภัยจะมาถึง”
“มีกลางวันและกลางคืน แต่เวลากลางวันมีเพียง 6 ชั่วโมง และกลางคืนมีเพียง 2 ชั่วโมง ดังนั้นคุณจะรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปเร็วขึ้นกว่าเดิม แผงข้อมูลของคุณจะแสดงสถานะสุขภาพของตัวเอง หากมันอยู่ต่ำกว่าเส้นสีแดง คุณจะออกจากการทดสอบทันที”
“ผมต้องบอกว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ระหว่างการทดลองครั้งนี้ แต่ทุกอย่างจะลิมิตอยู่ในโลกเสมือนจริงเท่านั้น ดังนั้นก่อนเริ่มการทดลอง ถ้าใครรู้สึกไม่สบายใจ คุณสามารถถอนตัวได้ตอนนี้ครับ”
แน่นอนว่าไม่มีใครอยากที่จะถอนตัว
พวกเขาคือผู้โชคดีที่ได้รับเลือกให้เข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่สนใจที่จะเอาชีวิตรอดในป่า แต่พวกเขาก็ยังต้องการสัมผัสโลกเสมือนจริงอยู่ดี
เจ้าหน้าที่มองไปรอบๆ ไม่มีใครยกมือขึ้น เขายิ้มและพูดว่า
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้ทุกท่านโชคดี”
ทันใดนั้นชายร่างสูงผอมบางก็พูดขึ้นด้วยท่าทางสงบ
“เดี๋ยวก่อน ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?”
คนงานพยักหน้าและพูดว่า “เชิญครับ”
“พวกสามัญสำนึกใช้กับที่นี่ไหม? เช่น ใช้แรงเสียดสีก่อไฟ ตัดต้นไม้เพื่อทำเครื่องมือ เป็นต้น”
“แน่นอนว่าใช้ได้ครับ” เจ้าหน้าที่ยิ้มและกล่าวว่า “เรากำลังทดสอบเพื่อหาช่องโหว่ในกลไกฟิสิกส์ ดังนั้นเราจึงต้องการให้มันรู้สึกเหมือนจริงมากที่สุด”
ชายหนุ่มพยักหน้า
“…เข้าใจแล้วครับ”
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครมีคำถามเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่ก็หายตัวไป
นาฬิกาในโลกเสมือนจริงเริ่มหมุนขึ้น และการทดลองทางสังคมวิทยาขนาดใหญ่นี้ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว
ชายร่างผอมที่ถามคำถามนั้นเดินไปที่ซากปรักหักพังทันที พยายามค้นหาสิ่งที่อาจเป็นประโยชน์ได้
ชายร่างใหญ่ข้างๆ เขามองไปรอบๆ ผู้เล่นที่เดินไปมาและตะโกนขึ้น
“เรามีเวลากลางวันแค่หกชั่วโมง เราอาจทำอะไรไม่ได้มากในวันแรก ดังนั้นมาค้นหาซากเครื่องบินกันก่อนเถอะครับ มันน่าจะมีเสบียงอยู่ข้างใน”
ทุกคนต่างมองหน้ากัน บางคนสับสนในขณะที่คนอื่นต้องการเล่น ‘เกมนี้’ ด้วยความสมัครใจเท่านั้น พวกเขาไม่ต้องการรับคำสั่งจากใคร
ชายที่มีรูปร่างที่ดีเริ่มเดินไปที่เครื่องบิน
ตวนซื่อฉีรู้สึกแปลกเล็กน้อยๆ
ฉันกำลังเห็นอะไรอยู่เหรอ?
ทำไมฉันรู้สึกว่า…
สองคนนั้นสงบแปลกๆ ราวกับว่าพวกเขาเคยเล่นเกมนี้มาก่อนอย่างนั้นแหละ หรือเคยเข้าร่วมในการทดสอบมาก่อน
เมื่อเวลาผ่านไป ผู้เล่นหลายคนก็เริ่มลงมือทำอะไรบางอย่าง บางคนก็เดินไปที่ส่วนลึกของป่า บางคนเดินไปที่เครื่องบิน และคนอื่นๆ รวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็กๆ และพูดคุยกัน
ผู้หญิงอายุที่ดูมีอายุยี่สิบกลางๆ สวมชุดทำงานและมองไปรอบๆ เธออดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น
“นี่น่าจะเป็นเครื่องจำลองการเดินทางสินะ ดูสิว่าต้นไม้มันดูสมจริงขนาดไหน ฉันจะได้ไปเที่ยวมัลดีฟส์ในบ้านของตัวเองอย่างสบายๆ แล้ว”
ชายในผ้าสักหลาดพูดต่อ
“นี่ทำให้ผมนึกถึงเกมเลยนะ”
หญิงที่สวมเสื้อคอปกสีขาวถามว่า “เกมอะไรคะ?”
“เดอะฟอเรสต์ไง มันเป็นเกมเอาชีวิตรอด มันไม่ได้เกี่ยวกับการเอาชีวิตรอดเท่านั้น แต่ยังมีสัตว์ประหลาดอีกด้วย”
“สัตว์ประหลาดเหรอ?” ผู้เล่นหญิงที่แต่งตัวดีกล่าวว่า “ฟังดูน่ากลัวจัง”
“ไม่ต้องห่วงไปถ้ามีสัตว์ประหลาดจริงๆ คุณก็มาซ่อนข้างหลังผมได้” ชายคนหนึ่งพูดติดตลก “ผมเก่งพอตัวเลยล่ะ”
ตวนซื่อฉีอดไม่ได้ที่จะแอบยิ้มเยาะ เขารู้ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้น ชายคนนั้นจะวิ่งหนีไปให้เร็วที่สุด
แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่สามารถตัดสินคนอื่นได้เช่นกัน
แม้ว่าเขาจะเล่นบาสเกตบอลและเก่งวิชาพลศึกษา แต่เขาก็อ่อนแอเกินกว่าจะต่อสู้กับสัตว์ประหลาดได้…
เขาไม่อยากยืนเฉยๆ และไม่ทำอะไรเลย ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเดินไปที่ซากเครื่องบิน
เขาพลิกดูกระเป๋าเดินทางสองสามใบก่อน แต่มันก็ไม่มีอะไรที่มีประโยชน์นอกจากเสื้อผ้าข้างใน
สิ่งที่มีค่าเพียงอย่างเดียวที่เขาพบคือห่อบิสกิตห่อหนึ่งเท่านั้น เขายัดมันลงในกระเป๋า และเดินไปหาชายที่บอกให้ทุกคนค้นหาเครื่องบิน ผู้ชายคนนี้กำลังค้นหากระเป๋าเดินทางอยู่ ตวนซื่อฉีรู้สึกลังเลเล็กน้อยก่อนพูดว่า “ผมว่าจะไปหาแม่น้ำน่ะ”
“เป็นความคิดที่ดี ระวังตัวด้วย” ชายคนนั้นพูด เขายื่นสวิตช์เบลดให้เขาและพูดว่า “เอานี่ไปด้วย”
เขากำลังจริงจังเหรอ?
ตวนซื่อฉีคิดว่าชายที่ดูเคร่งขรึมคนนั้นกำลังเล่นบทบาทสมมติจริงจังเกินไป
“ไม่มีประโยชน์หรอก ถ้าผมเจอสัตว์ประหลาด ผมก็จะถูกกินอยู่ดี”
“นี่ไม่ใช่สำหรับการต่อสู้กับสัตว์ประหลาด” ชายคนนั้นพูดด้วยใบหน้าที่ดุร้าย “การมีมันในมืออาจจะป้องกันสัตว์ประหลาดได้”
ตวนซื่อฉีกล่าวว่า “ดูเหมือนคุณจะเก่งเรื่องการเอาชีวิตรอดนะ? คุณเป็นพวกตั้งแคมป์เหรอ? หรือแฟนกคลับของแบร์กริลล์?”
ชายคนนั้นดูเหมือนไม่อยากตอบคำถาม เขาลังเลเล็กน้อยและพูดว่า “ผมอยู่ในกองทัพน่ะ”
แม้ว่าผู้ชายคนนี้จะจริงจังกับเกมนี้เกินไป แต่ก็เขาเตือนตวนซื่อฉีถึงเพื่อนร่วมห้องของเขา ดังนั้นตวนซื่อฉีจึงยิ้มและยื่นมือออกมา
“ผมชื่อตวนซื่อฉีแล้วคุณล่ะ?”
ชายตรงหน้าดูเหมือนไม่อยากคุยด้วย เขาขมวดคิ้วและยื่นมือออกมา
“หลี่เกาเหลียง”
ตวนซื่อฉีพยักหน้าและจดบันทึกเพื่อจำชื่อที่ฟังดูแปลกๆ ของชายคนนี้เอาไว้ จากนั้นเขาก็หันกลับไปและเริ่มเดินไปส่วนลึกของป่า
แม้ว่าเขาไม่เคยมีประสบการณ์ในการเอาชีวิตรอดในป่ามาก่อนก็ตาม แต่เขาเป็นนักเรียนที่มีผลการเรียนสูงซึ่งเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยจิน เขาเป็นคนที่ฉลาดมากๆ เลยทีเดียว
เขาเดินในขณะที่คอยทำเครื่องหมายบนต้นไม้ด้วยสวิตช์เบลดเพื่อป้องกันไม่ให้หลงทาง และทำให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้เดินเป็นวงกลม
เขาเดินมาเป็นเวลาสองชั่วโมงจนในที่สุดเขาก็ได้ยินเสียงของคลื่น
เขาเดินไปข้างหน้าและเห็นหาดทรายสีขาว
“นี่มันคือทะเลนี่… เราอยู่บนเกาะเหรอ?”
เขาเห็นตำแหน่งโดยประมาณของชายฝั่งและเริ่มเดินกลับไปในเส้นทางเดียวกัน
เขาต้องใช้เครื่องหมายของเขาเพื่อหาทางกลับจึงใช้เวลาที่นานกว่าเดิมเล็กน้อย
เมื่อเขาเห็นซากเครื่องบินและผู้เล่นอีกครั้ง พระอาทิตย์ก็เริ่มตกดินเสียแล้ว
แสงตะวันสีทองที่ส่องผ่านใบไม้ฉายลงกระทบสู่พื้นดิน มันเป็นภาพที่แทบไม่น่าเชื่อ
อย่างที่เจ้าหน้าที่บอกไว้ว่ามีเวลากลางวันแค่หกชั่วโมงเท่านั้น
ดังนั้นมันก็ใกล้จะเป็นเวลากลางคืนในอีกไม่กี่นาทีแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะแผงข้อมูลคอยเตือนผู้เล่นให้กิน มันอาจจะลืมได้ว่าพวกเขากำลังอยู่ในโลกเสมือนจริงบนดาวเคราะห์ที่หมุนรอบดาวฤกษ์แปดชั่วโมง
ตวนซื่อฉีเดินข้างๆ กับหลี่เกาเหลียงชายที่อ้างว่าตัวเองอยู่ในกองทัพ
หลี่เกาเหลียงมองดูกองไฟที่เขาสร้างด้วยไม้และหินตรงหน้า เขาสังเกตเห็นชายหนุ่มกำลังเดินเข้ามาหาเขา เขาพูดอย่างอารมณ์ดี
“เป็นไงบ้าง?”
ตวนซื่อฉี “หนึ่งกิโลเมตรจากที่นี่ทางตะวันตกเป็นชายหาด ภูมิประเทศเป็นที่ราบและไม่มีเนินเขาหรือแม่น้ำเลย”
“ดังนั้นมันไม่ควรมีสัตว์ขนาดใหญ่อยู่ใกล้ๆ นี้” หลี่เกาเหลียงมองไปรอบๆ และพูดว่า “แต่นี่ก็หมายความว่าแหล่งอาหารของเรากำลังจะมีปัญหา”
เกมนี้มันสมจริงขนาดนั้นเลยเหรอ? เราจำเป็นต้องกินด้วยเหรอ?
ตวนซื่อฉีพูดขึ้น
“บนเครื่องบินไม่มีของกินเหรอ?”
“ก็มีแต่ไม่มากเท่าไหร่” หลี่เกาเหลียงส่ายหัวและมองดูพระอาทิตย์ที่กำลังค่อยๆ ตกดิน “เราควรจุดไฟก่อนที่มันจะมืดนะ”
ตวนซื่อฉีพยักหน้าและกัดบิสกิตในกระเป๋าของเขา
เมื่อเทียบกับการทดสอบครั้งล่าสุดแล้ว ระบบเสมือนจริงของแฟนท่อมตอนนี้นั้นมีความสมจริงมากขึ้นเรื่อยๆ กว่าเดิมมาก เขารู้สึกได้ถึงความหิวในท้องของตัวเอง
น่าเสียดายที่อาหารที่นี่ไม่มีรสชาติอะไร และทุกอย่างก็รสชาติเหมือนกระดาษแข็ง
เขาต้องกินทุกๆ สองชั่วโมงและไปที่ที่สองทันที
ไฟเริ่มลุกไหม้อย่างช้าๆ
เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดลง ทุกคนก็เริ่มเข้ามารวมตัวกัน
กลุ่มคนนั่งรอบกองไฟและกินอาหารกระป๋องรสจืดขณะพูดคุย
“คุณคิดว่าการทดลองนี้เกี่ยวกับอะไร? มันไม่มีอะไรให้ทำเลย”
“ถ้าพวกเขาบอกคุณถึงจุดประสงค์ของการทดสอบ การทดสอบก็จะไม่ทำงาน”
“ทีมกู้ภัยจะใช้เวลาเจ็ดสิบสองชั่วโมงกว่าจะมาถึง นี่หมายความว่าเราต้องใช้เวลาขนาดนั้นในโลกเสมือนจริงเหรอ?”
“ไม่แน่นอน เกมอาจจะเซฟเอาไว้ และเราออกจากเกมหลังจากผ่านไปหนึ่งวัน เพื่อให้ผู้คนสามารถดูแลความต้องการทางกายภาพในชีวิตจริงของพวกเขาได้”
กลุ่มคนเหล่านี้เริ่มพูดคุยกันในขณะที่ตวนซื่อฉีเล่นกับแคมป์ไฟ เขากำลังคิดเรื่องที่เขาควรเขียนในโพสต์เว่ยป๋อหลังจากการทดลองสิ้นสุดลง
จริงแล้วๆ นอกเหนือจากความตื่นเต้นในตอนแรก การทดสอบรอบนี้แปลกไปมากกว่าน่าสนใจเสียอีก
ป่าดูเหมือนจะมีความลับมากมาย ในขณะที่มันก็ไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนเลยสักอย่าง ไม่มีคำใบ้ใดๆ เลยแม้แต่น้อย คนส่วนใหญ่ก็เลยไม่รู้ว่าจะทำอะไรในช่วงเวลากลางที่มีวันหกชั่วโมงนั้น
มีเสียงฟืนจากกองไฟแตกเบาๆ
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังกรอบแกรบมาจากป่า
หลี่เกาเหลียงเงยหน้าขึ้นมอง และจ้องมองไปที่ป่าที่มืดสนิท
ผู้เล่นหญิงที่แต่งตัวดีสังเกตเห็นสิ่งนี้และเธอถามเขาด้วยความสงสัย “อะไรน่ะ?”
หลี่เกาเหลียงพูดในขณะที่เขาคว้ามีดที่เอวของเขาอย่างเงียบๆ
“มีบางอย่างอยู่ตรงนั้น”
ผู้เล่นหญิงกล่าวว่า “ฉันขี้กลัว อย่าทำให้ฉันกลัวเลย”
หลี่เกาเหลียงขมวดคิ้วและไม่สนใจเธอสักนิด
ตวนซื่อฉีส่ายหัว เขาคิดว่าหลี่เกาเหลียงกำลังทำให้เป็นเรื่องใหญ่โดยเปล่าประโยชน์
เขากำลังจะบอกหลี่เกาเหลียงให้สงบลง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกหนาวที่กระดูกสันหลังตัวเอง
เขามองไปที่ป่าตรงนั้นและเห็นบางสิ่งกำลังวิ่งเข้าหาพวกเขา
ตวนซื่อฉีขมวดคิ้วและพยายามมองไปตรงที่มันกำลังเข้ามาหา
มันค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อสิ่งที่มีใบหน้าที่เน่าเฟะโผล่ออกมาจากป่า ก็มีคนตะโกนทันที “เร็วเข้า! วิ่งเข้าไปในห้องโดยสารเครื่องบินเลย!”
พวกผู้ชายตะโกนขณะที่ผู้หญิงนั้นต่างพากันกรีดร้อง ตวนซื่อฉีต้องการที่จะหนีเช่นกัน เขาพยายามถอดสวิตช์เบลดออก แต่ร่างกายของเขากลับแข็งทื่อไม่ขยับไปไหน
มันสมจริงเกินไป…
ใครมันบอกว่าจะไม่มีสัตว์ประหลาดกันเนี่ย?
ใบหน้าที่เน่าเฟะเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
มือเน่าๆ ได้คว้าหน้าอกของเขาไว้ขณะที่เขาทำอะไรไม่ได้
จากนั้นจิตสำนึกของเขาก็ออกจากโลกเสมือนจริงไป เขาเป็นเหยื่อคนแรกของการทดลองนองเลือดในครั้งนี้…
……………………