Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1142 ภัยธรรมชาติ
ห้องเงียบผิดปกติ
จู่ๆ อารยธรรมที่ล้ำหน้ากว่าก็เกิดขึ้น
สมาชิกรัฐสภาจ้องหน้ากันด้วยสายตาแห่งความประหลาดใจ
มันเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากเพราะมันไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์เอ็มไพร์มาก่อน มนุษย์ต่างดาวที่มีปัญญาเดียวที่พวกเขาเคยเจอก็คือกลุ่มสัตว์เลื้อยคลานที่ใช้เครื่องมือง่ายๆ และไม่สามารถจุดไฟได้ด้วยซ้ำ
เอ็มไพร์คาลานไม่ต้องการสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับสายพันธุ์มนุษย์ต่างดาว พวกเขาไม่ต้องการสื่อสารกับสายพันธุ์มนุษย์ต่างดาวเลยแม้แต่น้อย พวกเขาสามารถสร้างผลผลิตที่มากเพียงพอต่อความต้องการของประชากรของพวกเขา การสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับสิ่งมีชีวิตต่างสายพันธุ์ก็หมายถึงพวกเขาจะต้องก่อตั้งกองกำลังและสร้างเทคโนโลยีทางทหารขึ้นมาอีกครั้ง
สิ่งเดียวที่พวกเขาแน่ใจก็คืออารยธรรมยิ่งล้ำหน้าน้อยเท่าไหร่ก็เสียเปรียบมากขึ้นเท่านั้น
แค่การมีอยู่ของอารยธรรมที่ล้ำหน้ากว่าเพียงอย่างเดียวก็สามารถสร้างความวุ่นวายและความสั่นคลอนมาสู่เอ็มไพร์
ดูอย่างปัญหามากมายที่ออราเคิลได้สร้างไว้
เกิดความวุ่นวายขึ้นในสภา
การอ่อนไหวต่อข้อมูลใหม่ๆ นับเป็นข้อได้เปรียบของคาลาเนียน แต่ก็เป็นข้อเสียด้วย
กงสุลพิงหัวบนมือของเขาและเริ่มคิด
นี่เป็นเทคนิคของชาวคาลาเนียน มันทำให้สติของพวกเขาเข้าให้จักรวาล แต่ว่าแม้แต่จักรวาลเองก็ไม่สามารถตอบคำถามของเขาได้
ความเงียบยาวนานหลายนาที
ในที่สุดเขาก็พูดขึ้น
“คุณบอกว่าเขาเริ่มติดต่อเรามาก่อน”
“ใช่แล้วครับ” ศาสตราจารย์เลนมองกงสุลและพยักหน้า เขาพูดด้วยท่าทีจริงจัง “เดิมทีเราคิดว่าควาร์กสตาร์เป็นการตรวจสอบอวกาศหรืออาวุธที่สามารถทำลายดาวเคราะห์ แต่หลังจากที่ทำการวิจัยอย่างละเอียด ผลลัพธ์ที่ได้มันเกินกว่าสิ่งที่เราคาดคิดไว้”
“อุปกรณ์ตรวจจับคลื่นความโน้มถ่วงของเราแสดงให้เห็นว่ามันปล่อยคลื่นเส้นโคจรออกมา ข้อมูลที่อยู่ในคลื่นแต่ละคลื่นดูเหมือนจะไม่ใช่ข้อมูลสุ่ม”
“เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่ามันไม่ใช่การตรวจสอบอวกาศเพราะไม่มีวิธีการสื่อสารข้อมูลวิธีไหนที่สามารถตามความเร็วของแสงทัน”
“ในทางกลับกัน มันก็ไม่ใช่อาวุธเหมือนกัน ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องสร้างอาวุธที่ชัดเจนขนาดนี้ พวกเขาสามารถขยายไฮเปอร์สเปซได้อย่างง่ายดายและทำให้มันตรวจจับไม่ได้”
“ดังนั้นข้อสรุปของเราก็คือมันอาจจะเป็นเครื่องมือแพร่สัญญาณอะไรสักอย่าง มันใช้ไฮเปอร์สเปซในการปล่อยคลื่นความโน้มถ่วงไปพื้นที่รอบๆ “
สภาเงียบไป
ทุกคนต่างเป็นกังวล
แม้ว่าฟิสิกส์ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จะซับซ้อนเกินไปสำหรับพวกเขา แต่ศาสตราจารย์เลนก็อธิบายอย่างง่ายๆ
ถ้ามันเป็นอาวุธ มันจะทำทุกทางเพื่อปกปิดตัวตนของมัน มันไม่จำเป็นต้องทำให้ตรวจจับได้ง่ายขนาดนี้
รัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขมวดคิ้วและพูด
“คุณกำลังบอกว่ามันคือการแพร่สัญญาณข้อมูล…แต่คุณจะเข้าใจในสิ่งที่มันกำลังจะสื่อได้อย่างไร”
ศาสตราจารย์เลนมองไปที่เขาและพูดด้วยน้ำเสียงที่ใจเย็น “ฟิสิกส์ควบคุมจักรวาล ในขณะที่คณิตศาสตร์คือภาษาของจักรวาล เราต้องการแค่สูตรง่ายๆ อย่าง a2+b2=c2 เพื่อต้องการให้อีกฝ่ายรู้ว่าข้อความนี้มาจากเผ่าพันธุ์ที่มีปัญญา อีกอย่างเราสามารถแนบประพจน์ทางคณิตศาสตร์ที่เราแก้ได้แล้วหรือยังแก้ไม่ได้ก็ตามไปด้วย มันจะบอกอีกฝ่ายว่าอารยธรรมของเราอยู่ระดับไหน…เพราะคณิตศาสตร์มีความเกี่ยวพันกันกับความล้ำหน้าของอารยธรรม”
กงสุล “…แล้ว? “
เลน “พวกเขาทำสิ่งที่คล้ายกันกับที่กล่าวมา
“จากการวิเคราะห์ข้อมูลที่อยู่ในคลื่นความโน้มถ่วง เราได้รับชุดนิพจน์ทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนและมันคล้ายกับตารางแฮช แม้ว่าจะต้องทำงานอย่างหนัก แต่ในที่สุดเราก็สามารถถอดรหัสได้…”
รัฐมนตรีกลาโหมกำหมัดแน่นและพูด
“ข้อมูลบอกว่าอย่างไรบ้าง ใช่การขอติดต่อหรือเปล่า การประกาศสงครามเหรอ หรือ”
“ไม่ใช่ครับ” เลนส่ายหัวและพูด “พวกเขาแสดงให้เราเห็นระดับของอารยธรรมของพวกเขา และบอกให้เรารู้เรื่อง…ออราเคิล”
ภาพโฮโลแกรมในอากาศสร้างรูปภาพตัวดำเนินการคำนวณทางคณิตศาสตร์ หลังจากนั้นไม่นาน รูปภาพนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยข้อความ
ภัยธรรมชาติกำลังจะมาถึง
จักรวาลของเรากำลังเผชิญวิกฤตการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ระวังให้ดี!
มันไม่เหมือนกับการประกาศสงคราม การเตือนภัยในครั้งนี้คลุมเครือและน่ากลัวกว่ามาก
แล้วภัยธรรมชาติคืออะไรกันแน่
วิกฤตการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนคืออะไร
แล้วทำไมพวกเขาจะต้องระวังด้วย
ข้อความเผยๆ ทิ้งให้เห็นส่วนที่สำคัญ
ศาสตราจารย์เลนมองไปที่สภาที่เงียบสงบและพูด
“ทุกคน นี่คือสิ่งที่เรียกว่าออราเคิล
“แม้ว่าเราจะสามารถอดรหัสลับมาได้เพียงสามประโยค…แต่ผมก็เชื่อว่ามันคงมากเพียงพอที่เราจะจริงจังกับเรื่องนี้
“ตอนนี้คุณยังคิดอยู่ออราเคิลเป็นแค่ข่าวลืออยู่อีกเหรอ”
ไม่มีใครตอบ
แม้แต่สมาชิกรัฐสภาเองที่เคยหัวเราะเยาะเขาก็รู้สึกหวาดกลัว
กงสุลมองนักวิชาการอยู่นาน
ในที่สุดเขาก็ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“คำถามสุดท้าย คุณตอบไปหรือเปล่า”
“ไม่…” ศาสตราจารย์เลนยักไหล่และพูด “ถึงแม้ว่าเราอยากจะตอบกลับก็ตาม เนื่องจากความกว้างของจักรวาล ทำให้สัญญาณของเราไม่มีทางส่งถึงควาร์กสตาร์ได้”
ตอนที่กงสุลได้ยินแบบนั้น เขารู้สึกโล่งใจ
เกือบจะทุกคนในห้องถอนหายใจด้วยความโล่งใจ
แม้ว่าพวกเขาจะสามารถเพิ่มความเร็วเหนือความเร็วแสงได้ก็ตาม แต่พวกเขาไม่มีทางส่งข้อความได้ไกลขนาดนั้นภายในเวลาอันน้อยนิด
ยังไม่รวมถึงที่ควาร์กสตาร์ทำกำลังเคลื่อนตัวไปยังศูนย์กลางของกาแล็กซีที่ความเร็วทางดาราศาสตร์
กงสุลเอนตัวไปบนเก้าอี้และพูด
“ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ตาม คุณไม่มีสิทธิในการเผยแพร่ข้อมูลนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต”
ศาสตราจารย์เลนรู้ว่าเจ้าหน้าที่ต้องพูดแบบนี้ เขาจึงพยักหน้าและพูด
“ผมรู้ว่ามันเป็นความผิดของผม แต่ผมถูกบังคับให้ทำแบบนั้น ผมรู้ว่าอารยธรรมของเราอ่อนแอขนาดไหน เพื่อป้องกันเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น จะต้องมีใครทำอะไรสักอย่าง”
กงสุลเงยหน้าขึ้น เขาดูเหมือนจะไม่พอใจกับคำตอบของนักวิชาการ เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้น
“แล้วคุณคิดว่าเราควรทำอย่างไร ให้เชื่อข้อความที่ส่งมาจากใครก็ไม่รู้อย่างนั้นเหรอ ให้เชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีจุดประสงค์ที่ดีอย่างนั้นเหรอ แล้วถ้าพวกเขาโจมตีเราหลังจากที่ได้รับความเชื่อใจจากเราแล้วล่ะ มีใครบอกได้บ้างว่านี่ไม่ใช่กับดัก อีกอย่างนะ ถ้ามันเป็นหายนะจริง ๆ แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่แก้ไขกันเองล่ะ ทำพวกเขาต้องมาตั้งความหวังกับอารยธรรมที่อ่อนแอกว่าด้วย”
“แล้วถ้าเกิดพวกเขามีจุดประสงค์ที่ดีจริง ๆ พวกเขาก็น่าจะบอกเราว่าภัยธรรมชาติคืออะไร”
ศาสตราจารย์เลนยักไหล่
“ผมไม่ได้ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น แต่ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นไปไม่ได้ ผมคิดว่ายังมีวิธีหลายร้อยวิธีที่มีประสิทธิภาพมากกว่าในการโจมตีเรา อย่างเช่นการส่งควาร์กสตาร์มายังเส้นทางของเรา”
ประธานสภา “บางทีพวกเขาอาจจะไม่รู้ตำแหน่งของเรา”
ศาสตราจารย์เลนหัวเราะ
“เลิกล้อเล่นได้แล้ว ขนาดคนตาบอดยังเห็นริงเวิร์ลขนาดมหึมานี่เลย
“พอแล้ว” กงสุลพูดขณะที่จ้องเขม็งไปที่นักวิชาการ “คุณถูกจับในข้อหาปลุกปั่นและบ่อนทำลาย ตำแหน่งทางวิชาการของคุณจะถูกปลด และคุณจะถูกส่งไปยังคุกบนดาวขั้วโลก”
ศาสตราจารย์เลน “พิจารณาคดีที่ไหน”
กงสุลพูด “ก็เพิ่งจะเกิดขึ้นไปเองนี่ไง”
เอ็มไพร์คาลานยกเลิกโทษประหารไปนานแล้ว โทษที่รุนแรงที่สุดคือการเนรเทศไปอยู่ในคุกที่ใกล้ที่สุดของเอ็มไพร์ ที่ที่นักโทษจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตที่นั่น
ในอีกแง่หนึ่ง มันเป็นการโลกโทษที่เจ็บปวดกว่าความตายเสียอีก เพราะสุดท้ายแล้วสำหรับชาวคาลาเนียน ความตายก็ไม่ได้ต่างไปจากการกลับไปยังจิตวิญญาณของจักรวาล การเนรเทศตลอดกาลก็หมายถึงพวกเขาต้องทนอยู่กับความเจ็บไปหลายร้อยปี
เลนยักไหล่แล้วเงียบไปสักพักก่อนจะพูดขึ้น
“นี่เป็นทางเลือกที่แย่ที่สุดเลย แต่ไม่เป็นไร”
เขาพยักหน้าไปทางกงสุลขณะที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเดินเข้ามา
“ใส่กุญแจมือผมได้เลย ภารกิจของผมจบแล้ว”
เกิดความวุ่นวายขึ้นในสภาอีกครั้ง
กงสุลแสร้งทำว่าไม่ได้ยินอะไรขณะกำลังจ้องมองชายที่กำลังถูกสวมกุญแจมือ
ก่อนที่จะถูกนำตัวออกไป จู่ๆ ศาสตราจารย์เลนก็เงยหน้าและเหลือบไปมองกงสุลที่นั่งอยู่ที่โต๊ะกงสุล
“ก่อนจะส่งผมไปยังดาวขั้วโลก ผมมีเรื่องจะขอหนึ่งข้อ”
กงสุล “พูดมาเลย”
“มันเกี่ยวกับทรัพย์สมบัติของผม” เลนนิ่งไปครู่หนึ่งและพูด “ผมไม่มีลูกหรือครอบครัวใกล้ชิด ก่อนที่จะถูกขังผมก็อยากแก้ปัญหาเรื่องทรัพย์สมบัติก่อน”
ทางเอ็มไพร์มีกฎหมายคุ้มครองทรัพย์สินส่วนตัว
ตราบใดที่ทรัพย์สินเหล่านั้นได้มาอย่างถูกกฎหมาย ทางรัฐจะไม่ยึดทรัพย์ของประชาชนเด็ดขาด
กงสุลมองไปที่รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ที่กำลังหยักหน้าให้เขา หลังจากนั้นกงสุลหันไปมองศาสตราจารย์เลน
“จากกฎหมายของเอ็มไพร์ คำขอของคุณสมเหตุสมผล ก่อนที่จะถูกส่งตัวไปยังดาวขั้วโลก คุณสามารถเลือกผู้สืบทอดมรดก”
ศาสตราจารย์เลยยกมือที่สวมกุญแจมืออยู่และชี้ไปที่ลู่โจว ที่ยืนอยู่ภายในห้อง
“ผมอยากมอบสมบัติทั้งหมดของผมให้เขา”
“เขาคือคนที่พาผมมาที่นี่อย่างปลอดภัย”
กงสุลเหลือบมองทหารที่ยืนอยู่ในห้องโถงและโบกมือในอากาศ
บัตรประจำตัวโฮโลแกรมสีเขียวสองใบปรากฏขึ้น กงสุลใช้นิ้วของเขาในการถ่ายโอนข้อมูลจากบัตรโฮโลแกรมหนึ่งไปอีกบัตรหนึ่ง
“เรนฮาร์ทใช่ไหม ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปคุณมีสิทธิครอบครองทรัพย์สินทุกอย่างของศาสตราจารย์เลน”
ก่อนที่ศาสตราจารย์เลนจะเดินทางออกจากที่นั่น เขามองลู่โจวด้วยสีหน้าประหลาดใจ เขาอาจจะไม่ได้คาดคิดว่าลู่โจวใช้ให้ชื่อปลอมกับเขา
แต่ศาสตราจารย์เลนไม่ได้พูดอะไรออกไป เขาถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพาตัวไปเงียบๆ
………………………