Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1157 เบาะแสที่ไม่คาดคิด
- Home
- Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ
- ตอนที่ 1157 เบาะแสที่ไม่คาดคิด
แสงอาทิตย์ส่งผ่านหน้าต่างปะทะหน้าโมลิน่า เธอส่งเสียงร้องออกมาขณะที่ตื่นมาด้วยความมึนงง
เธอรู้สึกว่ามีระเบิดอยู่ในสมองของเธอ เธอแทบจะร้องไห้ออกมา
เธอจิบน้ำจากถ้วยบนโต๊ะข้างเตียง มันค่อยๆ บรรเทาความเจ็บปวด เธอเกาหัวและพิงหัวบนมือขณะพยายามนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน
เธอจำรายละเอียดอะไรไม่ได้เลย
เธอจำได้เพียงแค่ว่าเธอให้สมุดกับลู่โจว เธอลุกขึ้นจากโต๊ะแล้ว อ๋อใช่ เธอดื่ม
เธอค่อยๆ เริ่มปะติดปะต่อความทรงจำ
แต่เธอก็จำได้แค่รางๆ เท่านั้น
แม้ว่าเธอจะจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เมา เธอก็ไม่กังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ
ท้ายที่สุดแล้วเธอก็เป็นเพื่อนกับลู่โจวมามากกว่าเจ็ดปี เธอรู้ดีว่าลู่โจวเป็นคนอย่างไร ลู่โจวเป็นคนที่คิดด้วยสมอง ไม่ใช่คิดด้วย…
นี่คือเหตุผลว่าทำไมเธอถึงรู้สึกปลอดภัยที่ดื่มกับเขา
จู่ๆ โมลิน่าก็นิ่งไป
เธอมองตัวเองในกระจกขณะที่จับคอตัวเอง
“…”
เสื้อผ้าฉันไปไหน
…
เสียงกริ่งประตูขัดจังหวะลู่โจว เขาถูคิ้วของตัวเองและปิดสมุดที่กำลังอ่านอยู่ เขายัดสมุดลงในกระเป๋าเสื้อและเปิดประตู
ตอนที่เขาเห็นโมลิน่ายืนอยู่ตรงประตู เขานิ่งไปชั่วครู่และพูด
“นี่ คุณตื่นเร็วเหมือนกันนะ”
“เมื่อคืนคุณทำอะไรกับฉัน”
ลู่โจวมองไปที่โมลิน่าด้วยสีหน้าแปลกๆ
“ผมอ่านสมุดทั้งคืน…สิ่งที่เขียนอยู่ในนั้นน่าสนใจทีเดียว เออใช่ รูปวาดในนั้นศาสตราจารย์อาเบลเป็นคนวาดเองเหรอ หรือว่าคุณเป็นคนวาด”
“รูปวาด ฉันไม่ได้วาดอะไรทั้งนั้น เดี๋ยว คุณยังไม่ตอบคำถามฉันเลย”
สีหน้าที่ดูสับสนของโมลิน่าถูกแทนที่ด้วยสายตาอาฆาต ลู่โจวมองดูเธอและพูด
“ผมยังไม่ได้ตอบเหรอ ผมอ่านสมุดทั้งคืน…คุณหวังจะให้ผมตอบว่าอะไรล่ะ”
โมลิน่ากัดฟันและพูด พร้อมแก้มที่แดง
“…แล้วเสื้อผ้าฉันล่ะ”
ลู่โจว “…?”
เสื้อผ้าคุณทำไม
จู่ๆ ลู่โจวก็สังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าที่เธอใส่วันนี้ไม่เหมือนกับตัวที่ใส่เมื่อวาน
แต่ เขาก็ไม่คิดว่ามันแปลกอะไร
“พนักงานโรงแรมอาจจะซักให้ก็ได้”
“…คุณ คุณเปลี่ยนเสื้อผ้าฉันเหรอ”
ลู่โจวมองหน้าแดงๆ ของเธอและพูด
“แล้วผมจะทำแบบนั้นทำไม”
ถ้าเกิดคุณอ้วกใส่ผมขึ้นมา
มันทำให้ลู่โจวนึกถึงเพื่อนร่วมหอของเขาที่เป็นคนคออ่อนเหมือนกัน ลู่โจวและเพื่อนอีกสองคนจะต้องหิ้วคนคนนี้กลับมาหอทุกครั้ง เขาก็เลยมีประสบการณ์อยู่พอตัว
ลู่โจวเดาว่าเธอคงอ้วกรดตัวเองเมื่อคืน เสื้อผ้าของเธออาจจะสกปรก ทางพนักงานโรงแรมก็เลยซักให้
โมลิน่าเห็นว่าลู่โจวดูเหมือนไม่ได้โกหกอยู่ ในที่สุดเธอก็รู้ตัวว่าคำถามของเธอแปลกประหลาดขนาดไหน
ลู่โจวมองโมลิน่าและเปลี่ยนหัวข้อในการสนทนา
“ร้านอาหารอยู่ชั้นสองของโรงแรมมีอาหารเช้าบุฟเฟ่ต์จนถึงสิบโมง ถ้าคุณรู้สึกดีขึ้น คุณไปทานได้เลย ผมทานแล้ว ผมคงไม่ไปกับคุณ”
“ขอบคุณ…แล้วเสื้อผ้าพวกนี้ล่ะ เป็นของใคร”
โมลิน่ามองไปด้านหลังลู่โจว ราวกับว่ากำลังมองว่าเสื้อผ้าในห้องลู่โจวเป็นของคนอื่น แต่เธอก็ไม่เห็นใครสักคน
ลู่โจว “โรงแรมน่าจะหามาให้”
“…หามาให้เหรอ โรงแรมหาเสื้อผ้ามาให้ฉันเนี่ยนะ”
ลู่โจวมองโมลิน่าและถอนหายใจ
“ไม่เอาน่า นี่มันโรงแรมห้าดาวนะ อย่าทำเหมือนประหลาดใจสิ”
“อะไรนะ? ก็แค่ ฉันไม่เคยพักในโรงแรมแบบนี้มาก่อน”
แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าค่าห้องของที่นี่ราคาเท่าไหร่ แต่เท่าที่ดูจากการตกแต่งและสถานะของแขก เธอก็รู้ว่าค่าห้องต่อคืนจะต้องแพงแน่ๆ
โมลิน่าเริ่มรู้สึกอาย
“…ค่าอาหารเมื่อวานเท่าไหร่ ฉันบอกแล้วว่าฉันจะเลี้ยง…”
ลู่โจว “ไม่เป็นไร ผมจัดการเอง ถ้าคุณอยากจะจ่ายคืนก็แค่พาผมเที่ยวสักวัน”
โมลิน่านิ่งไปครู่หนึ่ง “…พาเที่ยวเหรอ”
ลู่โจวพยักหน้าและพูด “ใช่ แม้ว่านี่จะเป็นการเยี่ยมเยียนทางการทูต แต่ตารางของผมก็ค่อนข้างว่าง ผมไม่เคยมีโอกาสได้สำรวจปารีสมาก่อนเลย ผมตั้งใจไว้ว่าจะไปสถานที่ท่องเที่ยวทุกที่เลย”
อีกอย่างผมมั่นใจว่านี่ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม
โมลิน่า “…คุณวางแผนไว้ว่าจะไปที่ไหนบ้าง ฉันเป็นคนพื้นที่ก็จริงแต่ฉันไม่รู้จักสถานที่ท่องเที่ยวในปารีสหรอกนะ”
ลู่โจวยิ้มแล้วพูด
“มาเริ่มกันที่ที่ศาสตราจารย์อาเบลเคยอยู่”
โมลิน่า “???”
…
[…ฉันเคยเจอเหตุการณ์นี้นับครั้งไปถ้วนในฝันของฉัน เมืองร้าง โครงสร้างสูง ป่าปูนที่ไม่สิ้นสุด…อากาศที่นี่ก็รู้สึกเย็นยะเยือก บรรยากาศรู้สึกทั้งเศร้าหมองและกดดัน ฉันไม่รู้ว่าที่แห่งนี้คือที่ที่ถูกสร้างโดยพระเจ้า และจิตวิญญาณของเราก็อาจจะกลับมาที่นี่สักวัน]
นี่คือย่อหน้าที่สมบูรณ์ที่สุดในไดอารี มันถูกเขียนไว้หน้าถัดจากรูปวาด
ลู่โจวอ่านย่อหน้านี้อยู่หลายครั้ง
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ตอนนั้นยังไม่มีคอมพิวเตอร์ด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นช่วงที่ศาสตราจารย์อาเบลยังมีชีวิตอยู่ จากมุมมองของเขา ป่าเหล็กสีดำก็เหมือนสุสาน ขณะที่ลู่โจวรู้ว่ามันเป็นตัวแทนของตัวประมวลผลคอมพิวเตอร์
แต่ทั้งคู่ก็ตีความได้เหมือนกัน
ศิลาหน้าหลุมฝังศพอาจจะเป็นคอมพิวเตอร์จริงๆ ก็ได้
และในทำนองเดียวกัน
ลู่โจวรู้สึกว่ามันเหมือนกับว่าทั้งเขาและศาสตราจารย์อาเบลคิดผิดทั้งคู่
สิ่งเดียวที่เขาสรุปได้ตอนนี้คือศาสตราจารย์อาเบลอาจจะไม่ได้มีระบบที่ไฮเทค แต่เพราะเหตุผลอะไรบางอย่าง อาเบลสามารถเห็นความทรงจำวอยด์บางส่วนในความฝันของเขา
ท้ายที่สุดแล้ว อาเบลก็ไม่เคยพูดถึงอะไรที่เหมือนระบบในไดอารีของเขา หรือสิ่งที่คล้ายๆ กับออราเคิล อย่างที่สองก็คือจากการอธิบายของเขา อาเบลฝันแบบเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำอีกและรู้สึกสับสนกับฝันนี้
ถ้าเขาเคยเข้าถึงระบบจริงๆ เขาก็น่าจะมีโอกาสแค่ครั้งเดียวที่จะฝันแบบนี้
หลังจากที่ทั้งคู่ออกจากเมือง ถนนก็เริ่มแคบลงเรื่อยๆ แต่การจราจรกลับดีขึ้นมาก
รถค่อยๆ แล่นไปยังเมืองเล็กๆ จนในที่สุดก็มาจอดอยู่หน้าบ้านหลังเก่าๆ
คนขับรถชาวฝรั่งเศสมองลู่โจวผ่านกระจกหน้าขณะพูดด้วยสำเนียงที่ชัดเจน
“เรามาถึงแล้ว”
ลู่โจวยิ้มและปิดสมุดในมือ
“โอเค ขอบคุณค่ะ”
หลังจากที่พวกเขาลงจากรถโมลิน่าก็นำทางลู่โจวไปตรงสนามหน้าบ้าน หวังเผิงตามคนทั้งคู่อยู่ด้านหลังเงียบๆ ขณะที่สำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างเงียบๆ
ชายสูงวัยที่ยืนอยู่ตรงประตูหน้ามองชายแปลกหน้าที่เดินข้างๆ หลานสาวของเขา เขาขมวดคิ้วและพูด
“คุณคือ…”
ลู่โจวยิ้มและพูดอย่างสุภาพ “ผมคือลู่โจว”
ตอนที่ชายสูงวัยได้ยินชื่อ เขาก็แสดงสีหน้าประหลาดใจ
“โอ้ โอ้ ศาสตราจารย์จากพรินซ์ตัน หลานของผมเคยพูดถึงคุณอยู่”
“ผมไม่ได้ทำงานที่พรินซ์ตันมานานแล้วครับ” ลู่โจวยิ้มและพูด “ขอเข้าไปได้ไหมครับ”
ชายสูงวัยมองหลายสาวด้วยสายตาแปลกๆ เขาก้าวไปข้างๆ และแสดงท่าทีต้อนรับ
“…เข้ามาสิครับ มันรกนิดหน่อยนะ หวังว่าคุณจะไม่ถือ”
“ขอบคุณครับ”
ลู่โจวพยักหน้าและเดินเข้าไปในบ้าน
………………………………