Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1232 เกือบโดนฟันหัวแบะ
- Home
- Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ
- ตอนที่ 1232 เกือบโดนฟันหัวแบะ
โอวไห่เฟิงไม่เข้าใจว่านักวิชาการลู่เกี่ยวอะไรกับเทคโนโลยีโฮโลแกรม
ถึงทุกคนจะเข้าใจดีว่าตั้งแต่ทำเทคโนโลยีฟิวชั่นที่ควบคุมได้ขึ้นมา ลู่โจวก็กลายเป็นนักวิชาการที่เก่งที่สุดในโลก แต่เขาก็จำไม่ได้ว่าลู่โจวเกี่ยวข้องอะไรกับเทคโนโลยีโฮโลแกรมด้วย
อันที่จริงโอวไห่เฟิงก็ไม่ใช่คนเดียวที่สับสน ขนาดตัวลู่โจวเองก็ยังสับสนเลย
ในขณะที่เขากำลังอ่านรายงานการทดลองที่ส่งมาจากสถานีวิจัยบนดวงเรื่องสารออกฤทธิ์ Dr-111 จู่ๆ ผู้ช่วยของเขาก็วิ่งมาหาแล้วบอกเขาว่า ผู้อำนวยการของสำนักงานกระทรวงความบันเทิงมีเรื่องจะคุยกับเขา
ผู้อำนวยการโอวยืนอยู่หน้าประตูออฟฟิศด้วยท่าทางทำอะไรไม่ถูก ลู่โจวพูดขึ้น
“…ผู้อำนวยการหลี่ขอให้คุณมาตามหาผมเหรอ?”
พอโอวไห่เฟิงได้ยินอย่างนี้เข้าเขาก็ตัวแข็งทื่อไป
ก่อนจะมาที่นี่ ผู้อำนวยการหลี่กำชับเขาหลายครั้งแล้วว่าอย่าบอกลู่โจวว่าตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ โอวไห่เฟิงไม่คิดว่าเขาจะต้องโกหกตั้งแต่วินาทีที่เขาเดินเข้าห้องมาเลย
ลู่โจวสังเกตเห็นว่าผู้อำนวยการโอวมีสีหน้าเปลี่ยนไป เขาถอนหายใจแล้ววางรายงานการทดลองในมือลง
“เขาทำจริงๆ สินะ”
โอวไห่เฟิงรู้สึกว่าต่อให้เขาปฏิเสธอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ใบหน้าของเขามีแววอับอายปรากฏขึ้นมา ในใจก็กำลังขอโทษขอโพยผู้อำนวยการหลี่ ส่วนใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม เขาพูดขึ้นว่า
“คุณพูดถูกแล้วครับ นักวิชาการลู่ ช่างสังเกตจริงๆ …ผมขอถามหน่อยนะ คุณรู้ได้อย่างไร?”
“โอเค เลิกพูดอ้อมค้อมเถอะคุณ” ลู่โจวพยักหน้าให้ผู้ช่วยของเขาพร้อมทำท่าทำทางให้เธอรินชา จากนั้นเขาก็พูดว่า “ผู้อำนวยการโอว ถ้าคุณมีอะไรอยากจะพูดก็พูดออกมาเลยครับ”
โอวไห่เฟิงเริ่มเล่าเรื่องจุดประสงค์ที่เขามาที่นี่อย่างสุภาพ
“ก็วันชาติกำลังจะจัดขึ้นในอีกห้าเดือนน่ะครับ เพื่อจะเป็นการไฮไลต์การพัฒนาประเทศของเราในช่วงปีที่ผ่านมา พวกเราต้องแสดงความคืบหน้าของประเทศในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี…” โอวไห่เฟิงเห็นว่าลู่โจวกำลังทำหน้าหมดความอดทน เขารีบหยุดการเกริ่นอันยาวเหยียดแล้วรีบเข้าตรงประเด็นทันที “พวกเราวางแผนจะจัดโชว์ฉลองที่รังนกในวันชาติ”
“แล้วไงครับ?” ลู่โจวขมวดคิ้ว เขารู้สึกฉงนใจ “ถ้าคุณวางแผนจะมาชวนผมไปช่วยเรื่องโชว์ เกรงว่าผมจะทำไม่ได้ วันนั้นผมมีธุระต้องไปที่อื่น น่าจะได้ไปชมโชว์พาเหรดทหารในวันนั้น”
เมื่อเปรียบเทียบกับโชว์ฉลองวันชาติแล้ว โชว์พาเหรดทหารน่าสนใจมากกว่าตั้งเยอะ
ยังไม่นับว่าลู่โจวจองที่นั่งพิเศษไว้แล้วนะ เขาไม่มีทางพลาดโอกาสนี้เป็นอันขาด
“ไม่ๆ ผมไม่ได้จะเชิญคุณไปซ้อมในโชว์หรือไปดูงานฉลองหรอก คือพวกเราอาจจะต้องใช้อุปกรณ์ภาพฉายโฮโลแกรม ผมก็เลยจะมาสอบถามคุณว่ามีวิธีไหนไหมที่…”
“ภาพฉายโฮโลแกรมเหรอ?” ลู่โจวลังเลแล้วบอกว่า “ไม่ว่าผมจะช่วยคุณได้หรือไม่ก็ตาม คุณก็ทำรายการทีวีไม่ใช่เหรอครับ…จะเอาภาพฉายโฮโลแกรมไปทำไมกัน? ”
“ปกติเราก็ไม่ต้องใช้หรอก แต่ครั้งนี้มันต่างออกไปน่ะสิคุณ! ”
โอวไห่เฟิงถอนหายใจแล้วตบเข่าตัวเอง เขาพูดกับลู่โจวอย่างกระวนกระวาย “ครั้งนี้ทางประเทศต้องการให้พวกเราไฮไลต์การพัฒนาของคนในด้านความแข็งแกร่งทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พวกเราต้องเน้นย้ำในเทคโนโลยีทั้งสองและหาภาพที่มีอิมแพกต์มาโชว์ให้ได้ พวกเราต้องโชว์ความคืบหน้าในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่นเดียวกับที่พวกเราต้องทำให้อนาคตดูสว่างใส คุณเข้าใจใช่ไหมว่าผมกำลังพูดถึงอะไร?”
ลู่โจว “ไม่ครับ”
โอวไห่เฟิงรู้สึกหิวน้ำนิดหน่อย เขาหยิบแก้วชามาและจิบมันไปนิดหน่อย แต่คำตอบของลู่โจวแทบจะทำให้เขาสำลักชาที่กำลังจิบ
เขาเช็ดปากแล้ววางแก้วชาลง เขากำลังจะอธิบายให้ลู่โจวฟังอีกรอบ แต่อีกฝ่ายก็พูดขัดขึ้นมาก่อนว่า
“ถ้าอย่างนั้นสรุปแล้วก็คือคุณต้องการอุปกรณ์ฉายภาพโฮโลแกรมขนาดเท่ารังนกทั้งหมด แบบนั้นใช่ไหมครับ?”
“ใช่ ใช่ ตามนั้นเลย” โอวไห่เฟิงพยักหน้าแล้วพูดอย่างกระวนกระวายว่า “…มันทำได้ไหม?”
ลู่โจวถาม “…แล้วรังนกนี่ใหญ่ขนาดเท่าไหนนะ? ”
เอาตรงๆ ก็คือถึงเขาจะเคยไปที่รังนกมาหลายครั้งเมื่อนานมาแล้ว เขาก็ไม่รู้เสียทีว่ามันขนาดกว้างใหญ่เท่าไรกันแน่
“มันใหญ่ประมาณสองแสนตารางเมตรครับ”
สองแสนตารางเมตร?!
ปากของลู่โจวกระตุกเล็กน้อย
นี่พวกแกจะฉายภาพโฮโลแกรมใหญ่ขนาดนี้ทำเชี่*อะไรวะเนี่ย?
จะฉายภาพหอไอเฟลหรือไง?
พอเห็นว่าผู้อำนวยการโอวมีท่าทางกังวลมากแค่ไหน ลู่โจวก็คิดแป๊บหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “เหลือเวลาอีกแค่ห้าเดือนกว่าจะถึงวันชาติ หลังจากที่ติดตั้งระบบอุปกรณ์อะไรเสร็จแล้วก็ยังต้องเผื่อเวลาให้การซ้อมและการเตรียมโชว์อีก ผมเดาว่าระบบทั้งระบบจะต้องถูกนำมาส่งในช่วงต้นเดือนกันยายน…สินะครับ? ”
“ต้นเดือนกันยายนยังเร็วไม่พอน่ะสิครับ” โอวไห่เฟิงขมวดคิ้ว เขาแทบจะอยากร้องไห้แล้ว “ผู้กำกับหลิวบอกว่าถ้าสามารถนำอุปกรณ์มาส่งได้ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม มันก็ยังพอมีความหวังอยู่ แต่เดือนกันยายนมันช้าเกินไปจริงๆ ! ”
“ใช้เวลาสองเดือนเตรียมโชว์เลยเหรอ?” ลู่โจวขมวดคิ้วแล้วถาม “มันต้องใช้เวลาเตรียมโชว์นานขนาดนั้นเหรอ? ”
“เฮ้อ พวกเรากำลังพยายามสร้างโชว์ที่ไม่มีวันลืมให้ทุกคนอยู่นะ! ”
“เวลาก่อสร้างสามเดือนก็กระชั้นชิดไปหน่อยนะ” ลู่โจวคิดนิดหน่อยแล้วพูดต่อ “แต่…มันก็น่าจะพอนะครับ พวกเราจะลองก็ได้”
“จริงเหรอ?!” โอวไห่เฟิงมีสีหน้าประหลาดใจ เหมือนกับเขาเพิ่งได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้า แต่ไม่นาน เขาก็ตระหนักถึงปัญหาอันใหญ่หลวงขึ้นมาได้ “เดี๋ยวนะ สตาร์สกายเทคโนโลยี…มีแผนกโฮโลแกรมด้วยเหรอ? ”
ลู่โจว “…”
นี่พี่แกอุตส่าห์ถ่อมาขอความช่วยเหลือถึงนี่ยังจะมีหน้ามาไม่เชื่อใจฉันอีกเหรอ?
ลู่โจวแทบจะอยากตะโกนใส่เขาว่า ‘ไม่เชื่อก็ออกไปเลยโว้ย’
“…สตาร์สกายเทคโนโลยีมีสิทธิบัตรในเทคโนโลยีโฮโลแกรมครับ ถึงพวกเราจะยังไม่ได้เอาระบบนี้ลงตลาด แต่ในเมื่อคุณกำลังลำบากมาก พวกเราจะให้คุณได้ลองก่อนเลย”
หลังจากได้ยินว่าเทคโนโลยีนี้ยังไม่ปล่อยลงตลาด ผู้อำนวยการโอวก็มีท่าทางไม่สบายใจเท่าไร
“แล้ว…มันจะมีปัญหาอะไรไหมครับ?”
“ปัญหาเหรอครับ? ปัญหาอะไรกัน? จะมีปัญหาได้อย่างไร?” ลู่โจวโบกมือไปมาอย่างหมดความอดทน เขาพูดอย่างมั่นใจว่า “ผมรับผิดชอบงานนี้นะครับ คุณจะต้องห่วงอะไรกัน?”
ผู้อำนวยการโอวรู้ดีว่าต่อให้มีปัญหาอะไรก็ไม่มีใครกล้าโทษลู่โจวอยู่ดี
แต่สถานการณ์ของเขามันแตกต่างกัน เขาเป็นผู้อำนวยการของสำนักงานกระทรวงความบันเทิง
ถ้าโชว์เป็นไปได้ด้วยดี มันจะช่วยเพิ่มผลงานในเรซูเม่ของเขาแน่ และเขาก็อาจจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งด้วย แต่ถ้าเขาทำงานนี้พังละก็ หน้าที่การงานเขาจบสิ้นแน่
“ก็จริงของคุณนะ แต่พวกเราจะมีเวลาพอเหรอ? คุณเองก็ไม่มีแม้แต่โรงงานสักแห่งใช่ไหมครับ? ”
เมื่อเห็นว่าเสียงของผู้อำนวยการโอวเริ่มสั่น ลู่โจวก็พูดอย่างหมดความอดทนว่า “คุณไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอกครับ พวกเราอยู่ในยุคอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์กันแล้ว จินหลิงยืนอยู่แนวหน้าของการผลิต ถ้าคุณสั่งออเดอร์มา พวกเราจะใช้บิ๊กดาต้าเพื่อตรวจสอบหาชิ้นส่วนการผลิตที่เหมาะสม แล้วก็จะเริ่มการผลิตในอีกสามวันถัดไป ผมไม่รู้เรื่องเขตอุตสาหกรรมอื่นหรอกนะ แต่ในจินหลิงเนี่ย มันใช้เวลา 30 วัน กว่าที่อุปกรณ์ชิ้นแรกจะออกมาจากไลน์การผลิต”
โอวไห่เฟิงตกตะลึง เขานั่งอ้าปากค้างอยู่ที่เดิม
ลู่โจวจิบกาแฟด้วยท่าทีใจเย็นแล้วพูดต่อว่า “ซึ่งแน่นอนว่างานแบบนี้จะไม่ได้ราคาถูกแน่ๆ ”
โอวไห่เฟิงกลืนน้ำลายแล้วถามว่า “…ราคาเท่าไรครับ?”
“เพราะว่ามันเป็นงานเร่งมาก…” ลู่โจวคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะต่อ “คุณน่าจะต้องเตรียมงบประมาณไว้ราวๆ หนึ่งร้อยล้านหยวน”
พอโอวไห่เฟิงได้ยินดังนั้น เขาลุกขึ้นมาจากโซฟาทันทีและแทบจะสะดุดขาตัวเองล้ม
“หนึ่งร้อยล้านเหรอ?! ”
ลู่โจวขมวดคิ้วแล้วถามกลับ “แพงไปเหรอครับ?”
“ไม่ๆ ไม่ใช่เลยครับ!”
โอวไห่เฟิงโดนนากาโอกะ เคย์อิจิโก่งราคามาหลายต่อหลายครั้งแล้ว เขาพยายามอดกลั้นความโกรธในเรื่องนี้ไว้อย่างสุดความสามารถ เขามองไปทางลู่โจว แล้วให้คำตอบอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว “โอเคครับ ถ้าอย่างนั้นพวกคุณก็เริ่มติดต่อผู้ให้การผลิตไปเลย เดี๋ยวผมจะหาคนมาทำสัญญาในตอนบ่ายเอง…อ้อเดี๋ยว ผมติดต่อให้ผู้ช่วยของผมเขียนสัญญาตอนนี้เลยดีกว่า”
อะไรวะเนี่ย…
ฉันเกือบโดนพวก NTT หลอกฟันหัวแบะแล้ว!
โอวไห่เฟิงรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ไม่ได้ตกลงทำสัญญาราคาห้าหมื่นล้านเยนไป
ถ้าพวกเขามารู้ทีหลังว่าค่าอุปกรณ์มันไม่ได้มีราคาแพงขนาดนั้นแล้วล่ะก็ เขาตกที่นั่งลำบากแน่