Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1239 อยากทำงานที่สตาร์สกายเทคโนโลยีเหรอครับ?
- Home
- Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ
- ตอนที่ 1239 อยากทำงานที่สตาร์สกายเทคโนโลยีเหรอครับ?
ณ ชั้นล่างของตึกสตาร์เทคโนโลยี
หวังเหว่ยเดินออกมาจากรถเมอร์ซิเดสเบนซ์ เขาเอื้อมมือของเขาออกไปจัดเนกไทของตัวเองให้เข้าที่ด้วยท่าทีนุ่มนวล เขามองตึกสูงแล้วก็สูดลมหายใจลึก
เขากำลังจะเจอกับคนที่สำคัญมากๆ
ถึงแม้ผู้ชายคนนี้จะไม่ใช่ทั้งนักการเมืองหรือนักธุรกิจ เขาก็ไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเลยสักนิด แต่เขากลับรู้สึกกังวลและเกร็ง มันเป็นความรู้สึกที่ไม่ได้เจอมานานแล้ว
เพราะถึงแม้คนคนนี้จะไม่ใช่นักการเมืองหรือนักธุรกิจที่ทรงพลัง แต่เขากลับทรงพลังมากเสียยิ่งกว่าคนสองจำพวกนั้นรวมกันเสียอีก
มีเหตุผลเพียงแค่ข้อเดียวเท่านั้น
แม้จะเป็นนักการเมืองที่ทรงพลังที่สุดก็ยังทำได้เพียงเพิ่มความเจริญของรัฐหรือชาติได้อย่างเดียว ในทางกลับกันนักธุรกิจเป็นตำแหน่งที่มีพลังน้อยกว่าด้วยซ้ำ พวกเขาควบคุมได้แค่บริษัทอย่างเดียว ซึ่งถูกจำกัดอยู่ที่เงินหลักแสนล้านดอลลาร์ในมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด
แต่คนคนนี้นั้นต่างออกไป
เขาอาจจะไม่ใช่คนที่รวยที่สุดบนโลกหรือทรงพลังที่สุดในโลก แต่ชื่อของเขาจะถูกจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ตลอดไป
อย่างที่นิตยสารไทม์ได้กล่าวไว้ เขาเป็นสมบัติของทั้งอารยธรรมมนุษย์ เขายืนอยู่จุดสูงสุดของจิตวิญญาณมนุษยชาติ
หวังเหว่ยก้าวขึ้นบันไดตรงหน้า แต่ทันใดนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลัง
“คุณอยากทำงานที่สตาร์สกายเทคโนโลยีเหรอครับ? เงินเดือนห้าล้านหยวนต่อปีนะ”
หวังเหว่ยหันหลังกลับไปเจอชายหนุ่มคนหนึ่งยืนยิ้มให้เขา
หวังเหว่ยจำคนคนนี้ได้ชัดเจน ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มใจดี
“ได้สิ ไม่มีปัญหา! เงินห้าล้านก็เป็นสามเท่าของเงินเดือนปัจจุบันของผมอยู่แล้ว นักวิชาการลู่ คุณใจดีเหลือเกิน ผมจะไปตอบปฏิเสธข้อเสนอของคุณได้อย่างไร? ผมแค่อยากจะถามว่า ก่อนหน้าที่ผมจะเข้าทำงาน ผมสามารถเปลี่ยนเงินเดือนต่อปีครึ่งหนึ่งเป็นพวกหุ้นได้ไหม? ไม่งั้นจ่ายภาษีอ่วมแน่ๆ เลย! ”
ลู่โจวก็แค่พูดเล่น เขาไม่ได้คิดว่าหวังเหว่ยจะยอมตกลงจริงๆ เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “นั่นไม่ใช่ความคิดที่ดีนะครับคุณหวัง คุณมีค่ามากกว่าพันล้านเหรียญนะ ผมมั่นใจว่าคุณไม่สนใจเรื่องหุ้นราคาขี้ปะติ๋วพวกนั้นหรอก”
หวังเหว่ยถอนหายใจแล้วบอกว่า “นักวิชาการลู่ คุณเข้าใจผิดแล้ว ทรัพย์สินของผมน่ะ ถ้าเอาไปเปรียบเทียบกับสตาร์สกายเทคโนโลยีก็ไม่ได้มีมากอะไรเลย ผมแน่ใจว่ามนุษย์คนไหนก็อยากมีส่วนร่วมในหุ้นสตาร์สกายเทคโนโลยีกันทั้งนั้นนะ”
ลู่โจวไม่ได้ตอบอะไร เขามีเพียงรอยยิ้มบนใบหน้า
โชคเป็นสิ่งที่วิเศษมากๆ สิ่งหนึ่ง
เขายังตอนที่เขาเป็นนักศึกษาปริญญาได้ คุณหวังที่มีเงินมูลค่าหมื่นพันล้านเหรียญดอลลาร์ตั้งข้อเสนอเป็นเงินเดือนปีละห้าแสนเหรียญให้เขายอมดรอปเรียนแล้วไปทำงานกับอีกฝ่ายที่เซินเจิ้น แต่ลู่โจวก็ไม่ได้ตอบรับข้อเสนอของเขา ทว่าเขากลับเรียนต่อ ไปสอนหนังสือที่ต่างประเทศ และในที่สุดก็กลับมาประเทศจีน
ตั้งแต่ตอนนั้นมันก็ผ่านมาเกือบสิบปีแล้ว
คุณหวังก็ยังมีเงินหมื่นล้านเหรียญอยู่เช่นเดิม แต่ลู่โจวเปลี่ยนจากนักศึกษาจนๆ คนหนึ่งไปเป็นนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จ และกลายเป็นผู้นำของวงการวิชาการในประเทศจีนได้
แค่คิดถึงเรื่องนี้เขาก็รู้สึกตื้นตันใจแล้ว
เอาจริงๆ คือถึงแม้เงินห้าแสนหยวนต่อปีจะดูไม่เยอะมากในปี 2023 แต่เมื่อเก้าปีก่อนนั้น มันนับว่าเป็นเงินอยู่มากโขเลยทีเดียว ยิ่งกับนักศึกษาที่เพิ่งจะเรียนจบปีสองและกำลังกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันด้วย นั่นแทบจะเป็นข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้เลยทีเดียว
ถ้าระบบไฮเทคไม่ได้แสดงให้ลู่โจวเห็นถึงโลกใบนี้แล้วล่ะก็ เขาอาจจะยอมตอบรับข้อเสนอนั้นและเข้าวงการอุตสาหกรรมไปจริงๆ
ถ้าเขายอมตกลงรับข้อเสนออีกฝ่ายตั้งแต่ตอนนั้นแล้วล่ะก็ ชีวิตของเขาก็จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเลย…
พวกเขาไม่ได้ยืนอยู่ที่หน้าทางเข้านานนัก หลังจากทักทายกันอย่างสุภาพสักครู่แล้ว ทั้งสองคนก็เดินตรงไปที่ตึกพร้อมๆ กัน เจ้าหน้าที่นำทางพวกเขาไปยังห้องรับรองบุคคลวีไอพี
ผู้ช่วยสาวทำหน้าที่ต้อนรับชงชาสองถ้วยให้พวกเขา จากนั้นก็หันหลังกลับแล้วเดินจากไปพร้อมกับปิดประตูตามหลัง
หลังจากหวังเหว่ยจิบชาเข้าไปอึกหนึ่งเพื่อให้คอของเขาชุ่มชื่น เขาก็มองไปรอบๆ ห้องวีไอพีแล้วทักว่า “เขาว่ากันว่า ห้องรับรองเป็นนามบัตรของบริษัท จากที่สังเกตการตกแต่งที่นี่ผมบอกได้เลยว่านักวิชาการลู่นี่มีรสนิยมดีจริงๆ ”
ลู่โจวยิ้ม
เขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับการตกแต่งตึกนี้ทั้งนั้น แถมเขาก็ไม่ได้มาที่นี่บ่อยๆ ด้วย แต่อีคิวของเขาก็สูงพอจะน้อมรับคำชมนี้ไว้ด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณที่ชมนะครับ”
“แต่นั่นไม่ใช่คำชมนะ” หวังเหว่ยยิ้ม น้ำเสียงของเขาจู่ๆ ก็เริ่มเปลี่ยนไปแนวตื้นตันใจแทน เขาพูดว่า “อันที่จริงแล้ว เมื่อเก้าปีก่อนผมก็รู้ดีอยู่แล้วว่าคุณจะมีอนาคตอันยิ่งใหญ่รออยู่ ผมก็สงสัยว่าผมจะหลอกล่อคุณด้วยข้อเสนอได้ไหม แต่ผมก็ไม่คิดเลยว่าผมจะประเมินศักยภาพของคุณต่ำไปจริงๆ ”
“ถึงพวกเราจะไม่ใช่เพื่อนร่วมงานกัน แต่พวกเราก็ยังเป็นคู่ค้าทางธุรกิจกันได้” ลู่โจวยิ้มแล้วตัดบทว่า “ผมว่าเราเก็บเรื่องนี้ไว้คุยตอนช่วงอาหารกลางวันดีกว่าครับ มาเข้าประเด็นกันดีกว่า ซีอีโอของผมเล่าให้ฟังว่า พวกคุณเจอปัญหาทางเทคนิคมาเหรอครับ? ”
“เรื่องเป็นแบบนี้” หวังเหว่ยพยักหน้าแล้วเล่าต่อ “พวกเราศึกษางานวิจัยคุณมาสักพักแล้ว”
ลู่โจวถาม “งานวิจัยชิ้นไหนเหรอครับ? ”
เขาตีพิมพ์งานวิจัยไปมากมาย เขาไม่รู้เลยว่าซีอีโอหวังกำลังพูดถึงงานชิ้นไหน
“งานเรื่องระบบโลจิสติกส์ยูเอวีน่ะ” หวังเหว่ยถอนหายใจแล้วพูดต่อ “มันไม่ค่อยคืบหน้าเท่าไรเลย วิศวกรที่สถานีวิจัยของเราใช้เวลาหลายปีในการศึกษางานวิจัยของคุณ พวกเราพยายามเลียนแบบพิมพ์เขียวแล้ว แต่ยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีตามมาเลย พวกเราหาวิธีอื่นไม่ได้แล้ว นอกจากมาขอความช่วยเหลือจากคุณ”
อ้องานวิจัยอันนั้นนั่นเอง…
ลู่โจวรู้สึกงงนิดๆ ตอนที่ได้ยินเรื่องของหวังเหว่ย
ถ้าเขาจำไม่ผิดแล้วล่ะก็ นั่นเป็นหนึ่งในงานวิจัยต่ำกว่ามาตรฐานสิบงานที่เขาตีพิมพ์ไปเพียงเพื่อจะทำภารกิจของระบบให้สำเร็จ
ถึงแม้มันจะต้องใช้แต้มทั่วไปถึง 25 แต้มในการถอนงานวิจัยพวกนั้นคืนมาก็ตาม นอกจากอัลกอริธึมที่เสร็จไปแบบครึ่งๆ กลางๆ แล้ว เขาก็ไม่ได้สร้างผลงานอะไรใหม่ๆ ขึ้นมาในวงการเลย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมหวังเหว่ยถึงใช้งานวิจัยนั้นเป็นตัวช่วยชี้นำไม่ได้!
“…นั่นก็แค่สิ่งที่ผมเขียนไปตอนเรียนมหาวิทยาลัยเฉยๆ มันไม่น่าเอาไปใช้เป็นอ้างอิงงานวิจัยจริงจังเลยนะครับ”
หวังเหว่ยพูดอย่างรวดเร็ว “นักวิชาการลู่ คุณก็ถ่อมตัวเกินไป! แต่เอาจริงๆ แล้ว งานวิจัยเรื่องโดรนโลจิสติกส์ของเราก็ไม่ได้เกิดขึ้นมาเพราะงานวิจัยของคุณเพียงอย่างเดียวหรอกนะ พวกเราก็ลงทุนไปกับการวิจัยและการพัฒนามาตลอดอยู่แล้ว”
“ไม่ว่าอย่างไรราคาการจ้างพนักงานขนส่งสินค้าก็จะอยู่ที่ 10,000 หยวน ในขณะที่ราคาโดรนจะอยู่ที่ประมาณ 8,000 หยวน ในมุมมองด้านประสิทธิภาพโดรนจะยืดหยุ่นกว่าและสามารถเข้าถึงพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยากได้อย่างง่ายดาย ที่พวกเราต้องทำก็แค่จ่ายเงินค่าไฟฟ้ากับค่าบำรุงรักษาโดรนขั้นพื้นฐานเท่านั้น”
“จนถึงตอนนี้แผนของพวกเราจะเริ่มที่การส่งของแบบไม่ใช้คนในเมืองเซินเจิ้น พวกเขาถึงกับไปติดต่อขอคุยกับรัฐบาลท้องถิ่นในเรื่องนี้ด้วยซ้ำไป แต่แผนการวิจัยและการพัฒนาของเราก็ตกสู่ช่วงภาวะคอขวดจนได้”
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งลู่โจวก็ถามว่า “คุณช่วยอธิบายให้ละเอียดกว่านี้ได้ไหม? ”
หวังเหว่ยพยักหน้าแล้วเริ่มอธิบาย
“พวกเราเจอปัญหาหลักๆ อยู่สองอย่าง อย่างแรกคือเรื่องความปลอดภัย อย่างที่สองคือเรื่องประสิทธิภาพ ง่ายๆ เลยก็คือพวกเราต้องคำนึงความปลอดภัยของสินค้าและความปลอดภัยของคนเดินถนนด้วยเช่นกัน และยังต้องปรับตัวเข้ากับสภาพความเปลี่ยนแปลงของการจราจรด้วย ในพื้นที่ที่มีความหนาแน่นสูงอย่างเมืองใหญ่ การจราจรทางอากาศจะมีกฎเข้มงวดมาก”
“ข้อตกลงระหว่างเรากับรัฐบาลเมืองก็คือต้องรับรองได้ว่าคนเดินถนนจะไม่เจออุบัติเหตุใดๆ จากโดรนในช่วงทดสอบการใช้งานช่วงเวลาครึ่งปี การที่ไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้พวกเราขอต่อเวลาใบอนุญาตการใช้งานได้ ถ้าโดรนหรือพัสดุร่วงลงมาจากฟ้าแล้วตกโดนตัวลูกค้าแล้วล่ะก็ ใบอนุญาตการขนส่งด้วยโดรนของพวกเราจะต้องถูกริบคืน”
ลู่โจวพยักหน้า
“นี่มันยากนะครับ”
“ยิ่งกว่ายากเสียอีก” หวังเหว่ยยิ้มแล้วพูดต่อ “พวกเราไม่สามารถผ่านบททดสอบภายในได้เลย ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยของพวกเราก็บอกผมว่า เขาไม่รู้แล้วว่าต้องทำอะไรต่อ”
อันที่จริงแล้วการขนส่งโดยใช้โดรนไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่อะไรเลย ในพื้นที่อันห่างไกลที่ไม่สะดวกต่อการใช้คนและยานพาหนะไปส่งของ ซุนเฟิงกรุ๊ปก็พยายามใช้โดรนส่งของตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว
อย่างไรก็ตามเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายราคาแพง เทคโนโลยีนี้จึงไม่ได้แพร่กระจายไปในวงกว้าง
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ทางนิวเคลียร์ฟิวชั่นได้เปลี่ยนแปลงค่ากำลังการผลิตในประเทศและลดค่าใช้จ่ายในผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหลายอย่าง มันยังช่วยลดราคาค่าไฟฟ้าให้เหลือเพียงนิดเดียว และนี่ก็ช่วยเพิ่มความเป็นไปได้ให้การทำระบบโดรนขนส่งสินค้าให้เป็นจริงขึ้นมา
แต่พวกเขาก็ยังเจอปัญหาอยู่เมื่อนำเทคโนโลยีนี้ไปปรับใช้ในเมือง
เพราะในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น โดยเฉพาะพื้นที่เมืองใหญ่ๆ โดรนที่บินได้นั้นเป็นสิ่งที่อันตรายเป็นอย่างมาก ถ้าหากโดรนหล่นลงมาโดนคนหรือรถแล้วล่ะก็ แค่ค่าชดเชยกับค่าใช้จ่ายทางกฎหมายจากการทำคดีก็มากพอจะทำให้ซุนเฟิงล้มละลายได้แล้ว
ยังไม่นับว่าพวกคนชนชั้นล่างบางคนก็อาจจะมองโดรนเป็นเป้าหมายด้วย พวกเขาจะใช้หนังสติ๊ก หิน หรืออะไรก็แล้วแต่ไปโจมตีใส่โดรนแล้วขโมยสินค้าไปอีก
ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหาวิธีแก้ที่สมบูรณ์แบบในการสร้างแนวคิด ‘โดรนโลจิสติกส์’ หลังจากที่เห็นข่าวการสร้างศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ควอนตัมสตาร์โวยาจวันได้สำเร็จแล้ว หวังเหว่ยก็อยากจะร่วมมือสตาร์สกายเทคโนโลยี ยังไม่นับว่าลู่โจวก็ดูเหมือนจะเคยศึกษาเรื่องระบบโดรนโลจิสติกส์มาก่อนหน้า
หลังจากอดทนฟังเรื่องเล่าของหวังเหว่ยจนจบ ลู่โจวก็ใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ เขาคิดไปอยู่พักหนึ่งจนเสร็จแล้วก็พูดว่า “ผมรู้แล้วว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน”
หวังเหว่ยเปลี่ยนมานั่งตัวตรงในทันที เขาโฟกัสความสนใจมาที่ลู่โจว เขาคิดว่าลู่โจวจะมีความสามารถในการมองการณ์ไกลได้ดี แต่พอได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด เขาก็ต้องช็อก
“อันที่จริงมันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรนะครับ”
“ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เหรอ?” หวังเหว่ยด้วยความไม่เชื่อ “คุณหมายความว่าอย่างไร? ”
“ก็หมายความว่ามันไม่ใช่ปัญหาใหญ่นั่นแหละครับ”
ลู่โจวนิ่งไปนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “อันที่จริงแล้วเรื่องการใช้โดรนโลจิสติกส์เนี่ย…พื้นที่ไฮเทคของจินหลิงก็เคยลองใช้โดรนควบคุมโรงงานมาก่อน แต่มันก็ไม่ได้แพร่กระจายในวงกว้าง เพราะเหตุผลเรื่องราคากับความปลอดภัยน่ะครับ”
“ยกตัวอย่างเช่น ระบบแจกจ่ายงานโดนใช้โดรนโลจิสจิกส์ ‘ผึ้งงาน’ ที่พวกเราใช้ก็ถูกควบคุมโดยสตาร์โวยาจวันผ่านการใช้ระบบคลาวด์คอมพิวติง โดรนตัวหนึ่งสามารถรับของที่มีน้ำหนักมากที่สุดได้อย่างปลอดภัยที่ 10 กิโลกรัม หลักๆ แล้ว พวกมันจะถูกนำไปใช้งานร่วมกับยานโลจิสติกส์ระบบอัตโนมัติ เพื่อย้ายชิ้นส่วนไปมาระหว่างเวิร์กช็อปกัน”
ลู่โจวมองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง เขาลุกขึ้นมาจากเก้าอี้
“ผมเดาว่าคุณคงไม่เข้าใจว่าผมกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่”
“เผอิญว่าผมมีเวลาว่างพอดี”
“ถ้าคุณสนใจละก็ ผมพาคุณไปดูได้นะครับ”