Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1245 นี่พวกคุณเมาหรือเปล่า?
- Home
- Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ
- ตอนที่ 1245 นี่พวกคุณเมาหรือเปล่า?
ณ เว็บไซต์วิดีโอบนอินเทอร์เน็ต
ใต้ช่องคอมเมนต์
“เทรลเลอร์นี้น่าสนใจมากๆ เลย!”
“ใช้คำว่า ‘น่าสนใจ’ เหรอ? ต้องเรียกว่า ‘มหัศจรรย์’ ไปเลยต่างหาก! ”
“ข่าวเมื่อก่อนหน้านี้เป็นเรื่องจริงด้วย! พวกเขาวางแผนจะใช้เทคโนโลยีโฮโลแกรมในงานวันชาติจริงๆ ด้วย! ”
“ต้องไม่ใช่อยู่แล้วไหมล่ะ ภาพฉายโฮโลแกรมในวิดีโอนี้มีขนาดเท่าไฟฉายกระบอกหนึ่งเท่านั้นเอง มันจะไปคลุมสนามกีฬาทั้งสนามได้ไง! ฉันว่ามันก็แค่ภาพลวงตาอีกนั่นแหละ! ”
“ผมเป็นวิศวกรในอุตสาหกรรมภาพฉายโฮโลแกรมนะครับ จะไม่บอกแล้วกันว่าทำอยู่บริษัทไหน พวกเราทุกคนต่างก็รู้ดีว่าบริษัท NTT ของญี่ปุ่นเป็นบริษัทที่ดีที่สุดแล้วในวงการนี้ พวกเขาเป็นคนกลุ่มเดียวที่เชี่ยวชาญการติดตั้งระบบภาพฉายโฮโลแกรมในพื้นที่อย่างสนามกีฬาขนาดใหญ่ ถึงบริษัทของผมจะสร้างระบบภาพฉายโฮโลแกรมขนาดเท่าสนามกีฬาได้เหมือนกัน แต่ทั้งสเกลและความเสมือนจริงของภาพก็ตามหลังพวกเขาอยู่รุ่นหนึ่งเลยทีเดียว เทคโนโลยีไม่ได้เกิดมาจากแค่เทรลเลอร์ 30 วินาทีนะ มันมาจากการทำงานอย่างหนักหลายปี…”
“แต่ในวิดีโอเทรลเลอร์น่ะ…ขนาดวิศวกรจาก NTT กรุ๊ปยังตกใจเลยไม่ใช่เหรอคุณ?”
“พวกเขาก็แค่ตกใจเฉยๆ นั่นมันบอกอะไรคุณได้ด้วยเหรอ? ถ้าผมต่อยหน้าคุณซักป๊าบ คุณจะไม่ตกใจหรือไง?”
“อยากให้วันนี้เป็นวันชาติจัง ฉันอยากไปงานแล้ว!”
ช่องคอมเมนต์ของเว็บไซต์วิดีโอชื่อดังของจีนไม่ใช่แค่จุดเดียวเท่านั้นที่มีการคุยโต้ประเด็นกันอย่างเผ็ดร้อน การสนทนาประเด็นนี้บทอินเทอร์เน็ตเกิดขึ้นเป็นระลอกๆ หลังจากที่เทรลเลอร์แสดงให้เห็นถึงตัวภาพฉายโฮโลแกรมที่สตาร์สกายเทคโนโลยีเพิ่งปล่อยออกมา คนในฝั่งตะวันตกของโลกก็เริ่มคุยกันว่าเทคโนโลยีนี้จะปรากฏตัวในงานฉลองวันชาติจีนจริงหรือไม่
และก็ดูเหมือนพวกชาวเน็ตจะคิดถูก
เมื่อดูจากข้อมูลที่ทางเทรลเลอร์ปล่อยออกมาแล้วก็ดูเหมือนว่าสำนักงานกระทรวงความบันเทิงของจีนจะวางแผนให้ภาพโฮโลแกรมปกคลุมทั่วทั้งสนามกีฬาจริง
ซึ่งนี่ก็หมายความว่าทั้งสนามกีฬาจะกลายเป็นเวทีแสดงนั่นเอง
ทุกคนสงสัยว่ามันต้องใช้โปรเจคเตอร์โฮโลแกรมกี่ตัวถึงจะฉายภาพพวกนี้ได้
วิศวกรที่ทำงานอยู่ในวงการโฮโลแกรมรวมถึงคนทั่วไปก็นึกภาพสเกลงานไม่ออกเหมือนกัน
ด้วยเหตุนี้กระแสตื่นเต้นอยากชมโชว์จึงปะทุขึ้นมา มันสูงเกินระดับที่สำนักงานกระทรวงความบันเทิงและสตาร์สกายเทคโนโลยีคาดคิดไว้ด้วยซ้ำ
ตั๋วจำนวน 10,000 ใบที่ปล่อยออกมาขายในระลอกแรกถูกขายจนหมดภายในเวลาไม่กี่วินาทีหลังจากโพสต์ขายลงเว็บไซต์ทางการ
ก่อนที่จะปล่อยขายตั๋ว ผู้อำนวยการโอวยังพูดตลกกับลู่โจวว่าตั๋วจะขายหมดในเวลาไม่กี่วินาทีแน่ๆ เขาไม่ได้คิดว่ามันจะเกิดขึ้นตามที่เขาพูดเล่นๆ จริง
ผู้อำนวยการโอวก็ได้แต่อึ้งไปเลย
เพราะจุดประสงค์หลักๆ ของการฉลองวันชาติก็เพื่อสร้างความสนุกสนานให้คนในประเทศ การที่พวกเขาทำแบบนี้มีแต่เสียกับเสีย ไม่มีทางที่พวกเขาจะทำกำไรจากการขายตั๋วได้
การลงทุนในด้านอุปกรณ์เสียไปประมาณ 100 ล้านหยวน บวกค่าการผลิตอีก 20 ล้านหยวน สำนักงานกระทรวงความบันเทิงใช้เงินไปประมาณ 120 ล้านหยวนกับโชว์นี้
พวกเขาตั้งราคาตั๋วไว้ที่ใบละ 200 หยวน ต่อให้เพิ่มที่นั่งชั่วคราวไปอีก 30,000 ที่นั่ง แล้วขายตั๋วได้รวมทั้งหมด 110,000 ใบ พวกเขาก็ได้เงินเพียง 22 ล้านหยวนเท่านั้น
พวกเขาอาจจะหาเงินอีกราว 20 ถึง 30 ล้านหยวนได้จากสปอนเซอร์ ซึ่งรวมๆ แล้วก็จะได้เพียง 50 ล้านหยวน ต่อให้เป็นในกรณีที่ดีสุด สำนักงานกระทรวงความบันเทิงก็ยังต้องเสียเงินถึง 70 ล้านหยวนไปกับโปรเจกต์นี้อยู่ดี
นี่ยังไม่นับค่าเช่าสนามกีฬาอีกนะ
ในทางกลับกัน หากการใช้เงิน 70 ล้านหยวนสามารถทำให้คนทั้งประเทศพอใจและทำให้ประเทศร่วมมือกันเป็นหนึ่งได้ เงินที่เสียไปก็นับว่าคุ้มค่า
แต่ตอนนี้ปัญหามันอยู่ที่ว่าคนส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสได้ซื้อตั๋วเหล่านั้นด้วยซ้ำ ตั๋วส่วนใหญ่ถูกซื้อไปโดยพวกคนหัวหมอที่เอาไปทำกำไรและพวกปล่อยของต่อ
ตั๋วมือสองของโชว์ฉลองเริ่มปรากฏในสถานที่ขายตั๋วมือสองหลักๆ และราคาของมันก็เพิ่มเป็นราวๆ สิบเท่าของราคาเดิม ตั๋วที่นั่งปกติถูกขายในราคาเท่าตั๋วที่นั่งของ VIP ตั๋วที่แพงที่สุดอยู่ราวๆ 5,000 หยวน
ผู้อำนวยการโอวโมโหกับข่าวนี้มาก
เพื่อหาวิธีรับมือกับพวกคนหัวหมอทำกำไร สำนักงานกระทรวงความบันเทิงจึงรีบเปลี่ยนวิธีขายตั๋ว กลยุทธ์การจำหน่ายตั๋ว 10,000 ใบ ณ เวลาเที่ยงคืนในตอนแรกนั้นถูกเปลี่ยนเป็นระบบยืนยันตัวด้วยชื่อและระบบสุ่มลอตเตอรี่แทน ตั๋วที่ถูกขายไปจะถูกผูกไว้กับเลขบัตรประชาชน พวกเขาจะได้เอาชนะพวกตลาดปล่อยตั๋วมือสองได้เสียที
แต่ในขณะเดียวกันการทำแบบนี้ก็เหมือนจะทำให้คนปกติทั่วไปซื้อตั๋วยากขึ้นด้วย
หนึ่งชั่วโมงหลังจากมีการปรับใช้วิธีขายตั๋วรูปแบบใหม่ จำนวนคนที่ต้องการจะซื้อตั๋วผ่านระบบยืนยันตัวตนด้วยชื่อก็เพิ่มสูงขึ้นถึง 20 ล้านคนแล้ว และจะยังคงเพิ่มต่อไปเรื่อยๆ จำนวนคนที่ถูกเลือกจากลอตเตอรี่นั้นมีน้อยกว่า 1%
ประชากรทั้งเมืองปักกิ่งนั้นมีเพียง 20 ล้านคนเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่ากระแสความสนใจและความกระตือรือร้นเรื่องงานฉลองวันชาตินั้นมีสูงมาก
…
บนรถไฟฟ้าความเร็วสูง
ที่นั่งชั้นสอง
เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากคนตรวจตั๋วรถไฟ ลู่ปังกั๋วและฟางเหมยก็สามารถหยิบกระเป๋าขึ้นชั้นวางกระเป๋าและนั่งลงได้ในที่สุด
ที่นั่งบนรถไฟมาพร้อมกับโต๊ะให้คนสามารถทานอาหารได้ ระหว่างสองข้างของโต๊ะมีเก้าอี้สองตัวตั้งอยู่ตรงข้ามกัน
และก็เป็นเรื่องบังเอิญของลู่ปังกั๋วและฟางเหมย ที่ฝั่งตรงข้ามของพวกเขาก็มีคู่สามีภรรยาสูงอายุคู่หนึ่งนั่งอยู่ พวกเขาอายุพอๆ กับลู่ปังกั๋ว แล้วยังดูคล้ายๆ กันอีกด้วย
หลังจากที่รถไฟออกเคลื่อนตัวแล้ว ลู่ปังกั๋วก็มองไปทางชายสูงวัยที่นั่งอยู่ตรงข้าม เขาเห็นว่าอีกฝ่ายก็จ้องเขากลับเช่นกัน
ทำให้ทั้งสองคนสบสายตากันอย่างไม่ได้ตั้งใจ
มันจะดูบรรยากาศแหม่งๆ แน่ถ้าเขาไม่พูดอะไรสักอย่างขึ้นมา และผู้เฒ่าลู่ก็เป็นคนที่ชอบพูดเสียด้วย ดังนั้นเขาจึงเป็นฝ่ายเริ่มเปิดบทสนทนา
หลังจากผ่านไปพักหนึ่งชายสูงวัยทั้งสองคนก็เข้ากันได้ดีจนพวกเขาเริ่มคุยกันเหมือนเป็นเพื่อนสนิทกันมานาน
“แล้วพวกคุณมาที่ปักกิ่งทำไมกันล่ะ? ”
“มาดูพาเหรดทหารน่ะ! ”
“พาเหรดทหารเหรอ? อา นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปได้ดูหรอกนะ คนส่วนใหญ่ที่ได้ดูพาเหรดทหารก็ไปนั่งที่นั่งชั้นหนึ่งกันหมดแล้ว”
ลู่ปังกั๋วยิ้มและกำลังจะบอกอีกฝ่ายว่า จริงๆ แล้วพวกเขาจะได้นั่งดูพาเหรดในที่นั่งพิเศษ แต่ภรรยาของเขาก็ถองข้อศอกใส่แล้วกลอกตามอง
“อย่าทำให้ลูกชายเราขายหน้าสิ! ”
“แต่ผมแค่…”
“แค่อะไรกัน? เดี๋ยวนี้ใครๆ เขาก็มีโทรศัพท์กันทั้งนั้น เกิดมีคนถ่ายคลิปคุณเข้าล่ะ? ทีนี้ทุกคนได้เห็นคุณพ่อขี้อวดของนักวิชาการกันหมด”
ลู่ปังกั๋วงง เขารู้ว่าไม่มีใครอยากจะถ่ายคลิปการสนทนาอันแสนน่าเบื่อแบบนั้นหรอก
แต่เขาก็ไม่อยากจะเถียงภรรยาของเขา ก็เลยพึมพำออกมาเบาๆ ว่า “ผมไม่ได้โอ้อวดซะหน่อย…”
“ไม่โอ้อวดอะไรกัน! ฉันรู้นะว่าคุณกำลังจะพูดอะไร! ”
ชายสูงวัยที่นั่งตรงข้ามพวกเขายิ้มออกมา เขามีแววตาอิจฉา
ดีจังเลยนะ
ผ่านมาหลายปีแต่ก็ยังรักกันดี
ดูภรรยาเขาสิ หลับมาตลอดทางเลย เมินเขาสุดๆ
ในขณะที่ลู่ปังกั๋วกำลังเถียงกับภรรยาของเขา เขาก็เพิ่งนึกได้ว่าเขาลืมไปเลยว่าที่นั่งตรงข้ามของเขาก็มีคนนั่งอยู่ ลู่ปังกั๋วกระแอมอย่างรวดเร็วและจบบทสนทนากับภรรยา
เขาหันไปถามคนตรงข้าม “แล้วพวกคุณล่ะ? ”
“มาดูโชว์น่ะ! ”
“โชว์เหรอ? ”
เมื่อเห็นว่าลู่ปังกั๋วมีสีหน้าสับสน ชายสูงวัยก็แสดงสีหน้าภาคภูมิใจ แต่เขาก็แกล้งถอนหายใจแล้วส่ายหัวตัวเอง
“เฮ้อ ลูกชายผมนี่ก็ใจดีเกินไป! โชว์ฉลองวันชาติมันจะจัดขึ้นที่รังนกใช่ไหมล่ะ? เขาเชิญพวกเราไปดู ถึงขนาดซื้อตั๋วสองใบให้พวกเราเลย ตั๋ว VIP ของงานนี้ก็ใบละ 2,000 หยวนเลยนะ! ”
“2,000 หยวนเหรอ? แล้วพวกคุณได้ที่นั่งไหนนะ? ”
“ที่นั่งราคา 200 หยวนน่ะ”
“…”
ลู่ปังกั๋วมองไปทางฟางเหมยที่นั่งถัดจากเขา แล้วถามภรรยาเบาๆ ว่า “โชว์ที่รังนกเหรอ? โชว์อะไรกัน? ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
ฟางเหมยกลอกตาแล้วบ่นว่า “นี่คุณดูข่าวทุกวันไม่ใช่หรือไงกัน? ขนาดฉันยังรู้เรื่องนี้เลย!”
ลู่ปังกั๋วยิ้มเจื่อน
เขาสนใจแต่ข่าวที่ลูกชายของเขามีส่วนเกี่ยวข้องเท่านั้น เขาน่าจะได้อ่านข่าวเรื่องโชว์ที่รังนกแล้วก็ลืมมันไปแล้ว
เขาไม่ได้สนใจเรื่องโชว์ แต่เมื่อเขาได้ยินว่ามันกำลังจะจัดขึ้นที่รังนก ซึ่งเขาก็ไม่เคยไปมาก่อน และคู่สามีภรรยาที่นั่งตรงข้ามก็กำลังจะไปกัน เขาก็เลยอดสงสัยไม่ได้ เขาจึงพูดกับภรรยาของเขาเบาๆ ว่า
“…พวกเราได้ดูพาเหรดทหารมาหลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่เคยไปที่รังนกเลย…ครั้งนี้พวกเราไปดูโชว์ฉลองกันไหม?”
ฟางเหมยก็สงสัยนิดหน่อยเหมือนกัน แต่เธอก็ยังลังเล
“แบบนั้นจะไม่ลำบากกับลูกเราเหรอ?”
ลู่ปังกั๋วโบกมือแล้วบอกว่า “ไม่ลำบากเขาหรอกน่า ก็แค่ 200 หยวนเองนี่นา ถ้าตั๋วมันไม่ได้ต้องซื้อออนไลน์ ผมไปซื้อเองก็ได้”
“อ้อ…ถ้าอย่างนั้นค่อยโทรหาเขาหลังพวกเราลงจากรถไฟก็แล้วกัน ตอนนี้เขาน่าจะอยู่บนเครื่องบิน”
ชายสูงวัยที่นั่งตรงข้ามทั้งคู่ยักไหล่ ใบหน้าของเขามีสีหน้าว่างเปล่า
นี่พวกคุณเมาหรือเปล่า?
จะไปดูพาเหรดทหาร ตั๋วที่นั่งพิเศษ…
เลิกโกหกกันได้แล้ว!
…
ในอีกฝั่งหนึ่ง ลู่โจวที่เพิ่งลงจากเครื่องบินก็มาถึงสนามบินปักกิ่งอย่างปลอดภัย
หลังจากที่เขากับเฉินยู่ซานได้รับการตรวจและผ่านเข้าช่อง VIP มา พวกเขาก็เดินตรงไปที่รถรัฐบาลสีดำที่จอดอยู่หน้าทางเข้าสนามบิน เจ้าหน้าที่ในชุดสูทเปิดประตูให้เขา หลังจากที่เขาเข้าไปข้างใน เขาก็เห็นชายคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงที่นั่งผู้โดยสาร
เขาดูคุ้นๆ นะ?
“คุณเฉินเป่าฮว่า? ”
“พ่อเหรอ? ”
คนในรถทั้งสองคนตกตะลึง
เฉินเป่าฮว่ามองลู่โจว ชายที่ทำให้ลูกสาวสุดรักสุดหวงของเขาต้องทำงานตลอดทั้งปีผ่านกระจกมองหลัง เขาเงียบไปพักหนึ่งจากนั้นก็ถอนหายใจออกมา
“สวัสดี นักวิชาการลู่”
ลู่โจวรู้สึกว่าเสียงถอนหายใจของอีกฝ่ายมีความหมายอะไรบางอย่างแฝงอยู่ แต่เขาก็ไม่สนใจจะไปแกะความหมายอะไร เขายิ้มแล้วพูดว่า “สวัสดีครับ คุณเฉินเป่าฮว่า ผมหวังว่าคุณจะสบายดีนะครับ”
“ผมสบายดีอยู่ตลอดนั่นแหละ”
ลู่โจว “…?”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้สนใจเธอเลย เฉินยู่ซานจึงมองพ่อของเธออย่างไม่พอใจแล้วเอ่ยว่า “พ่อ จะไม่ทักทายหนูสักหน่อยเหรอคะ?”
“พ่อเป็นพ่อนะ ลูกสิต้องเป็นฝ่ายทักทายก่อน!”
“เหอะ! ”
เมื่อเห็นพ่อกับลูกลับฝีปากกัน ลู่โจวก็อดยิ้มที่มุมปากไม่ได้
จะว่าไปเฉินยู่ซานก็ไม่ได้กลับบ้านมาสักพักแล้ว
หลายปีนี้เธอทำงานหนักมาตลอด
ถึงแม้เธอจะดูโอเคดี แต่ฉันก็มั่นใจว่าเธอยังคิดถึงบ้านอยู่แน่ๆ …
ลู่โจวนึกขึ้นได้ว่า พ่อแม่ของเขาก็กำลังเดินทางมาที่นี่ เขาจึงหันไปมองเฉินเป่าฮว่าแล้วพูดขึ้นว่า
“เอ่อ คุณเฉินเป่าฮว่าครับ คุณช่วย…ส่งรถไปรับพ่อกับแม่ผมได้ไหมครับ? พวกเขากำลัง…”
เฉินเป่าฮว่าตอบ “ผมรู้แล้ว พวกเขาอยู่บนรถไฟฟ้าความเร็วสูง ขบวน G565 อีก 25 นาทีจะเดินทางมาถึง เพื่อนร่วมงานผมกำลังไปรับพวกเขา ไม่ต้องห่วง”
ลู่โจวเอ่ย “…วิเศษไปเลยครับ”
เฉินเป่าฮว่ายิ้มอย่างเย่อหยิ่ง
“ก็แน่อยู่แล้วล่ะ”