Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1246 เชียร์ส แด่อนาคตที่ดีกว่าเดิม!
- Home
- Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ
- ตอนที่ 1246 เชียร์ส แด่อนาคตที่ดีกว่าเดิม!
“พวกเรากำลังจะเดินทางถึงปักกิ่งแล้ว ผู้โดยสารทุกท่าน โปรดอย่าลืมหยิบสัมภาระและเดินออกจากรถไฟด้วยความเป็นระเบียบด้วยนะคะ”
เสียงประกาศจากรถไฟไม่ได้รบกวนบทสนทนาของชายสูงวัยทั้งสองคนเลย
ชายสูงวัยที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขามีชื่อว่าหลิวเพ่ยจง เขายังเป็นคนเมืองเจียงหลิงอีกด้วย
ถึงแม้ดูเหมือนหลิวเพ่ยจงจะไม่เชื่อคำพูดเขา แต่ลู่ปังกั๋วก็ไม่ได้สนใจ ชีวิตวัยเกษียณของเขาที่มีแต่การดื่มชา การอ่านหนังสือพิมพ์ไปวันๆ ได้หล่อหลอมให้จิตใจและอารมณ์ของเขาสงบนิ่ง
ชีวิตของเขากำลังดีขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ทำให้เขาต้องโมโห
เขาก็จะอวดต่อไปอยู่ดี ไม่ว่าคนอื่นจะเชื่อคำพูดเขาหรือไม่ก็ตาม
ทั้งสองคนยังคงคุยกันอย่างเพลิดเพลินไปตลอดทาง
“เอ่อ…”
“ว่าไง?”
“ลูกชายคุณมีคนรักหรือยัง? ”
“ยังเลย” ผู้เฒ่าลู่ถอนหายใจพลางบ่น “เขาก็เกือบจะสามสิบอยู่แล้ว ผมก็เริ่มกังวลเรื่องนี้แล้วเนี่ย”
หลิวเพ่ยจงพยายามปลอบเขา “พวกผู้ชายควรจะโฟกัสไปที่งานตัวเองมากกว่า ผู้ชายที่ประสบความสำเร็จน่ะ ไม่ต้องกังวลเรื่องจะหาภรรยาไม่ได้หรอกนะ อย่าไปกดดันลูกคุณมากนักเลย”
จริงๆ หลิวเพ่ยจงกำลังหัวเราะอยู่ในใจ
แหม อวดลูกหนักมากนะคุณน่ะ
ถ้าลูกคุณเก่งขนาดนั้นจริงล่ะก็ ทำไมยังหาภรรยาไม่ได้อีกล่ะ?
หลิวเพ่ยจงรู้สึกว่าเขามองผู้เฒ่าลู่ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
แต่ลู่ปังกั๋วก็ไม่ได้สังเกตว่าหลิวเพ่ยจงได้มอง ‘คำโกหก’ ของเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว เขายังคง ‘อวด’ ต่อไป
“เฮ้อ ผมไม่ได้กังวลเรื่องงานเขาเลย ก็บอกเขาตลอดว่าเงินน่ะไม่สำคัญหรอก ความหมายและเป้าหมายต่างหากคือสัจธรรมของชีวิต เขาหาเงินได้มากกว่าที่เขาจะใช้เสียอีก แล้วมันเป็นอย่างไรล่ะ? โอ๊ย! คุณมาหยิกผมทำไมเนี่ย?”
ฟางเหมยที่นั่งอยู่ข้างเขามองลู่ปังกั๋วด้วยสายตาคาดโทษ ข้อความจากสายตาเธอมันชัดเจนมาก เหมือนกับเธอกำลังบอกว่า “อย่าทำให้ฉันอายต่อหน้าคนแปลกหน้าพวกนี้เด็ดขาด”
เมื่อเห็นว่าภรรยาของตัวเองโกรธแค่ไหนแล้ว ลู่ปังกั๋วก็หยุดพูดแล้วหันไปหาทางทำให้ภรรยาของเขาใจเย็นลง
หลิวเพ่ยจงอดหัวเราะออกมาไม่ได้
หาเงินได้มากกว่าที่จะใช้เหรอ?
ตาเฒ่าตรงหน้านี่เมาแอ๋แล้ว!
รถไฟเดินทางถึงสถานีในที่สุด
ผู้เฒ่าลู่กำลังจะหยิบสัมภาระตัวเองลง แต่ก็มีชายสองคนในชุดเครื่องแบบเดินมาพอดี
“เดี๋ยวผมช่วยเองครับคุณลู่”
“ขอบใจนะพ่อหนุ่ม…เดี๋ยวนะ พวกเธอรู้ได้อย่างไรว่าผมแซ่ลู่? ”
“เอ่อ…มันเขียนอยู่บนตั๋วของคุณน่ะครับ”
“อ๋อ”
ลู่ปังกั๋วไม่ได้คิดเรื่องนี้มาก เขาปล่อยให้ชายหนุ่มสองคนจัดการกับสัมภาระของเขา
ชายสูงวัยที่นั่งตรงข้ามลู่ปังกั๋วกับฟางเหมยมองชายหนุ่มในเครื่องแบบทั้งสองคน พวกเขาดูไม่เหมือนพนักงานบนรถไฟเลย แต่พอเห็นว่าพนักงานบนรถไฟไม่ได้ทำอะไรพวกเขาก็แปลว่าพวกเขาไม่ใช่พวกต้มตุ๋นแน่ๆ เหมือนกัน
กลุ่มคนลงมาจากรถไฟแล้วเดินออกจากสถานีรถไฟความเร็วสูง
หลิวเพ่ยจงกำลังจะนั่งแท็กซี่ไปโรงแรมแล้ว แต่เขาก็สังเกตเห็นว่า ไม่มีคนขับแท็กซี่ที่นั่นเลย
พวกเขาไปไหนกันหมด?
อะไรวะเนี่ย?!
วันนี้พวกคนขับแท็กซี่ไม่ทำงานกันเหรอ?
เขายังแปลกใจเช่นกันที่เห็นว่า สถานีรถไฟความเร็วสูงทั้งสถานีดูแตกต่างจากครั้งก่อนที่เขามามาก ถึงแม้โครงสร้างข้างในจะไม่ได้เปลี่ยนไป แต่มีบางอย่างที่รู้สึกว่ามันต่างกันโดยสิ้นเชิง…
มันเหมือนกับว่า ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ นี้มีกฎและระเบียบมากขึ้น
“พวกคนขับแท็กซี่ไปไหนกันหมดเนี่ย?”
“…ไม่รู้เหมือนกัน”
ผู้เฒ่าลู่ก็สับสนเช่นกัน เขาสับสนว่าทำไม ‘พนักงานรถไฟ’ สองคนนั้นถึงมาช่วยเขาหยิบสัมภาระลงจากสถานีรถไฟ
ถ้าจำไม่ผิดล่ะก็ เขาซื้อตั๋วที่นั่งชั้นสองมานะ
ขนาดพวกที่นั่งชั้นหนึ่งไม่ได้รับบริการแบบนี้เลย
พอผู้เฒ่าลู่เดินมาถึงจุดจอดรถแท็กซี่ เขาก็กำลังจะหันไปขอบคุณชายหนุ่มทั้งสองแล้วบอกให้พวกเขากลับไปได้แล้ว แต่เขาก็ต้องตกใจกับสิ่งที่ตัวเองเห็น
รถคันสีดำที่มีธงสีแดงจอดอยู่ริมถนน มันครองพื้นที่จอดรถไว้แต่เพียงผู้เดียว ไม่มีรถคันไหนจอดอยู่ทั้งข้างหน้าหรือข้างหลังมันเลย
ชายในชุดสูททูนิกเดินมาข้างหน้า เขายิ้มเมื่อเห็นชายสูงวัยทั้งสองแล้วจึงพยักหน้าให้พวกเขา จากนั้นเขาก็รับกระเป๋าเดินทางจากชายหนุ่มทั้งสองมาแล้วบอกพวกเขาว่า “ขอบใจนะ เดี๋ยวต่อจากนี้ผมจัดการเอง” จากนั้นเขาก็วางกระเป๋าเดินทางทั้งสองลงไปในกระโปรงรถอย่างคล่องแคล่ว
ในขณะที่ลู่ปังกั๋วและฟางเหมยมองดูประตูรถเปิด พวกเขาก็พูดอะไรไม่ออก
ผู้เฒ่าหลิวและภรรยาของเขาที่ยืนอยู่ข้างหลังทั้งสองคนก็ตกอยู่ในอากัปกิริยาเดียวกัน เมื่อพวกเขาเห็นป้ายทะเบียนรถ ปากของพวกเขาก็อ้าหวอ และใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดง
“เอ่อ…พี่ลู่”
“อ่าฮะ มีอะไร…” ผู้เฒ่าลู่รู้ว่านี่ก็คงจะเกี่ยวกับลูกชายของเขาอีก
“ลูกชายคุณ…ยังไม่ได้แต่งงานใช่ไหม?”
“อ่าฮะ…พวกเราก็เพิ่งคุยเรื่องนี้กันเมื่อห้านาทีก่อนนี่เอง”
ท่าทางของผู้เฒ่าหลิวเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขาคว้าแขนผู้เฒ่าลู่อย่างตื่นเต้น
“ผมมีหลานสาวที่ทำงานในปักกิ่งแล้วเธอก็บังเอิญโสดเหมือนกันด้วย ในเมื่อพวกเราคุยกันถูกคอขนาดนี้แล้ว พวกเราลองแนะนำลูกๆ หลานๆ เราให้รู้จักกันดีไหม? ผมจำได้ว่าผมมีนามบัตรหลานอยู่นะ น่าจะอยู่ในกระเป๋าเดินทาง ขอลองหาก่อนแป๊บนึง…”
…
ลู่โจวไม่รู้เลยว่าพ่อของเขาได้เตรียมการ ‘ดูตัว’ ไว้ให้แล้ว
แต่ต่อให้เขารู้ เขาก็ไม่มีเวลาไปยุ่งเกี่ยวกับมันอยู่ดี
ที่ห้องโถงใหญ่ไม่ไกลจากโรงแรมกำลังมีงานเลี้ยงที่จัดไว้ให้แขกที่ได้รับเชิญอยู่
ในฐานะที่เป็นแขกขนสำคัญของงานเลี้ยง เขาจะได้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ เจ้าหน้าที่แต่งหน้าทำผมกำลังง่วนอยู่กับการทำให้เขาดูดี
ลู่โจวยืนอยู่หน้ากระจก ในขณะที่หญิงสาวคนหนึ่งกำลังหวีและแว็กซ์ผมให้เขา เขากระแอมแล้วบอกเธอว่า “จริงๆ แล้ว ผมว่า…ไม่ต้องแต่งเยอะก็ได้ครับ ผมดูไม่เป็นตัวของตัวเองเลย”
สไตลิสต์ยิ้มและก็ยังคงทำผมของเขาต่อไป
“โถ นักวิชาการลู่ จะไม่เป็นตัวคุณได้อย่างไรกันคะ? ”
“อีกนานแค่ไหนกว่าจะเสร็จเหรอครับ? ”
“เดี๋ยวก็เสร็จแล้วค่ะ”
“…เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนคุณก็พูดอย่างนี้นะครับ”
ในที่สุด
เขาก็แต่งเสร็จเสียที
เฉินยู่ซานยืนกอดอกอยู่หน้าประตู เมื่อเธอเห็นลู่โจวเดินออกมาจากห้องแต่งตัว เธอก็มีท่าทีประหลาดใจ
“ไม่เลวนี่นา นายดูเป็นคนละคนเลยล่ะ”
ลู่โจวไม่ถูกใจสิ่งนี้
“เธอหมายความว่าไงน่ะ จะบอกว่าก่อนหน้านี้ฉันไม่ดูดีเหรอ?”
แต่ก็นั่นแหละ สไตลิสต์แตกต่างจากช่างทำผมธรรมดาๆ ทั่วไป เขากังวลนิดหน่อยว่าเธอจะทำให้เขาดูแก่และมีอายุ แต่หลังจากที่ได้หวีและแว็กซ์ผม บรรยากาศรอบตัวเขาก็เปลี่ยนไป เขาดูไม่เหมือนนักวิจัยวิทยาศาสตร์อีกต่อไป เขาดูเหมือน…ศิลปินเพลงป๊อปมากกว่า
เฉินยู่ซานยังคงเหมือนเดิม
ลู่โจวรู้จักเธอมาเกือบเก้าปีแล้ว เขาชินกับความสวยของอีกฝ่ายมานาน แต่ตอนนี้เธอสวมชุดราตรียาว และเธอก็ดูเหมือนกับเจ้าหญิงไม่มีผิด ดวงตาเป็นประกายของเธอเหมือนอัญมณีที่เจียระไนแล้ว เขาอดเหลือบมองเธอครู่หนึ่งไม่ได้จริงๆ
เฉินยู่ซานยิ้มแล้วรวบผมไปไว้หลังหูของเธอ
“นายก็ดูดีตลอดนั่นแหละ แต่ตอนนี้ยิ่งหล่อกว่าเดิมอีก! ”
เอิ่ม…
โอเค เข้าใจแล้ว
พอเข้าใจได้
ลู่โจวพอใจกับคำตอบ เขาก็เลยตัดสินใจเลิกถามเรื่องไร้สาระนี้ไป…
พวกเขาห่างจากห้องโถงใหญ่เพียงไม่กี่บล็อกเท่านั้น แต่พวกเขาก็นั่งอยู่ในรถซีดานสีดำที่จอดอยู่ที่หน้าโรงแรม
เมื่อพวกเขาลงจากรถที่หน้าทางเข้าห้องโถงใหญ่ พวกเขาก็บังเอิญเจอกับฟางเหมยและผู้เฒ่าลู่พอดี
เมื่อผู้เฒ่าลู่ได้เห็นลูกชายของตัวเอง เขาก็แทบจะจำอีกฝ่ายไม่ได้เลย เขาจ้องอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะนึกออกในที่สุดว่าอีกฝ่ายคือลู่โจว แต่พอเขากำลังจะทักทายลูกตัวเอง ความสนใจของเขาก็ถูกหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างลู่โจวดึงไปจนหมด
ดวงตาของผู้เฒ่าลู่เบิกกว้าง เขาคว้าตัวฟางเหมยมาแล้วชี้ไปที่เฉินยู่ซานด้วยความตื่นเต้น
ลู่โจวมองพ่อแม่ของเขาที่กำลังช็อก เขาก็ไม่รู้ว่าพวกพ่อแม่ตื่นเต้นอะไรกัน ลู่โจวไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
เฉินยู่ซานรู้สึกว่าเธอกำลังเป็นจุดสนใจ เธอจึงยิ้มที่มุมปากอย่างมั่นใจ
ถึงแม้เธอจะทำท่าทางมั่นใจ แต่เธอก็ไม่ได้อยากจะมีภาพลักษณ์เป็นคนก้าวร้าวแต่อย่างใด
เธอค่อยๆ ดึงแขนเสื้อของลู่โจวแล้วพาเขาไปทักทายพ่อแม่ของเขา ในทางกลับกัน ลู่โจวนั้นงงมาก
หลังจากนั้นเธอก็พาคู่สามีภรรยาและตัวลู่โจวเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่
ลู่โจวไม่เข้าใจว่าทำไมเฉินยู่ซานถึงทำแบบนี้…
ในห้องโถงใหญ่
แขกกลุ่มใหญ่นั่งตามที่นั่งของตน
โต๊ะกลมปูด้วยผ้าไหมทอง แก้วไวน์วางอย่างเป็นระเบียบ พนักงานกำลังรินไวน์และเครื่องดื่มอื่นๆ
หลังจากผ่านการแสดงดนตรีสุดยิ่งใหญ่และพิธีเปิดไปได้ ชายสูงวัยที่มีผมสีขาวในชุดสูททูนิกก็เดินขึ้นมาบนเวทีและเอื้อมมือไปหยิบไมโครโฟน
เขายิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “หลังผ่านมาทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดี เวลาหนึ่งปีก็ผ่านพ้นไปแล้ว
เมื่อมองย้อนกลับไปยังอดีตและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับโลกใบนี้” “จะเห็นว่ามันช่างเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสนุกสนาน แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความยากลำบากและอุปสรรคเช่นกัน”
“อย่างไรก็ถาม ไม่ว่าถนนเส้นนี้จะยากเย็นสักเพียงใด ไม่ว่าสภาพอากาศจะแปรปรวนสักแค่ไหน ปัญญาและความกล้าของพวกเราก็จะผลักดันให้สามารถผ่านพ้นพายุนี้ไปได้ และไม่มีสิ่งใดจะสามารถหยุดยั้งพวกเรา”
“ในวันอันทรงเกียรตินี้ ผมขออวยพรให้อนาคตของพวกเรา เป็นสิ่งที่ดีกว่าเดิม และสวยงามกว่าเดิม! ”
“ขอให้พวกเราชูแก้วขึ้นมาอวยพรให้กับอนาคตของแผ่นดินแม่พวกเราด้วยเถิด! ”
ทุกคนในงานเลี้ยงชูแก้วไวน์ของตัวเองขึ้นมา
“เชียร์ส! ”
ทั้งห้องโถงเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุข
ทุกคนต่างมีรอยยิ้มจากใจจริงประดับอยู่บนใบหน้า
เสียงผู้ชมเริ่มเงียบลง
แขกและทูตจากต่างประเทศหลายคนก็หยุดพูดคุยกันและมองไปทางเวทีด้วยความสงสัย
ชายสูงวัยบนเวทีมองไปรอบๆ เขากระแอมแล้วพูดขึ้นว่า
“เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ผู้ที่ทำงานหนักให้กับประชาชนของเราและให้กับอนาคตอันสดใสของพวกเรา…
ในฐานะตัวแทนของทุกคน ผมอยากจะมอบเกียรติระดับสูงสุด รางวัลเหรียญเกียรติยศแห่งชาติให้กับผู้ที่นำความเจริญรุ่งเรืองและปัญญามาให้แก่พวกเราทุกคน
“ผู้ที่ได้รับรางวัลก็คือ
ลู่โจว!”