Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1258 หนังสติ๊กแม่เหล็ก
- Home
- Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ
- ตอนที่ 1258 หนังสติ๊กแม่เหล็ก
จุดประสงค์ในการมาเยือนประเทศจีนครั้งนี้ของผู้อำนวยการคาร์สันเห็นได้ชัดมาก
เป้าหมายแรกของเขาคือการกระชับความสัมพันธ์ด้านการบินและอวกาศกับประเทศจีน อย่างการขอเช่ารางขนส่งบนดวงจันทร์เป็นต้น เป้าหมายที่สองของเขาคือการซื้อเวลาให้อุตสาหกรรมการบินและอวกาศของสหรัฐอเมริกา
แต่ทางฝั่งประเทศจีนเหมือนจะไม่ให้โอกาสเขาเจรจามากนัก แม้ทำเนียบขาวจะคาดหวังกับการเดินทางครั้งนี้เป็นอย่างมาก แต่พวกเขาก็ไม่ได้ให้การสนับสนุนคาร์สันมากนัก
ทำเนียบขาวยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวกับเรื่องเมืองก่วงฮั่น
ถึงพวกเขาจะไม่เต็มใจเท่าไร แต่ก็ต้องยอมประนีประนอมในหลายๆ เรื่องกับจีนอยู่ดี
สถานีพลังงานฟิวชั่นที่ควบคุมได้ในแคลิฟอร์เนียทำให้ทั้งแดนตะวันตกต้องยอมโค้งคำนับให้กับจีน ต่อให้คนแคลิฟอร์เนียไม่ชอบวัฒนธรรมหรือผลิตภัณฑ์ของจีน พวกเขาก็ยังหวังว่าหน่วยงานของอเมริกาจะไม่ไปทำให้จีนไม่พอใจ
เพราะคนลอสแอนเจลิสก็พอใจกับพลังงานฟิวชั่นที่สะอาดและมีราคาถูก การพัฒนาสังคมของทั้งประเทศตะวันตกได้กลับมาอยู่ในช่วงขาขึ้นอีกครั้ง
คนส่วนใหญ่ไม่อยากกลับไปใช้พลังงานเคมีและพลังงานความร้อนที่ทั้งราคาแพงและคุณภาพไม่ดีแล้ว
สังคมก็เป็นอย่างนี้นี่แหละ
ทุกคนก็อยากได้การพัฒนาอย่างต่อเนื่องกันทั้งนั้น
ถ้าพวกเขาต้องเจอกับขาลงแล้วล่ะก็…แม้แต่การพัฒนาถอยหลังในเรื่องเล็กๆ ก็อาจจะนำมาซึ่งปัญหาใหญ่ได้
ถ้าความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศเริ่มเสื่อมถอยลงและจีนสั่งให้นำผู้เชี่ยวชาญและอุปกรณ์ต่างๆ จากจีนกลับประเทศแล้วล่ะก็ ผลที่ตามมาจะทำให้คนแคลิฟอร์เนียและคนทั้งชายฝั่งเวสต์โคสต์ของสหรัฐอเมริการับไม่ได้ นักการเมืองจะต้องโดนประท้วงจนออกจากตำแหน่งแน่ๆ …
หากพูดตรงๆ แล้ว การประชุมในปักกิ่งเป็นไปได้อย่างราบรื่นมาก
ไม่ว่าในใจของผู้อำนวยการคาร์สันจะฉุนเฉียวมากเพียงใด แต่ภายนอกเขาก็ทำเพียงยืนสงบนิ่งเหมือนกระต่ายตัวหนึ่ง ท่าทางของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนน้อมและสุภาพ เขาทำตัวเหมือนพวกนักการเมืองจากประเทศที่พัฒนาแล้ว
สถานการณ์แบบนี้หาได้ยากมาก
ผู้คนจะแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนออกมาก็ต่อเมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้น เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับคนที่อ่อนแอ ถึงแม้พวกเขาจะยึดหลักการว่าต้องสุภาพเข้าไว้ แต่ความยิ่งผยองก็ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่ในแววตาของพวกเขา
หลังจบการประชุม ผู้อำนวยการหลี่ก็นำบันทึกการประชุมไปให้กับคนเบื้องบนและรายงานผลลัพธ์การประชุมให้กับท่านประธานาธิบดีฟัง
หลังจากที่ท่านประธานาธิบดีได้ยินรายงานเรื่องดังกล่าว เขาก็เคาะโต๊ะเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า
“ผมจะขอแนะแนวทางสักหน่อยแล้วกันนะ”
ผู้อำนวยการหลี่กล่าวรับ “ได้ครับท่าน บอกมาเลยครับ”
“การร่วมมือทางเศรษฐกิจกับสหรัฐอเมริกานั้นทำได้ไม่มีปัญหา แต่จะไม่มีการประนีประนอมทางการเมืองเป็นอันขาด”
ผู้อำนวยการหลี่พยักหน้าอย่างจริงจัง “เข้าใจแล้วครับท่าน”
ถึงแม้ประโยคจะดูสั้นๆ แต่ข้อมูลที่ได้มาก็นับว่าใหญ่มาก
การร่วมมือทางเศรษฐกิจหมายถึงการอนุญาตให้อเมริกาสามารถเจรจาเรื่องขอเช่ารางขนส่งบนดวงจันทร์ได้ ตราบใดที่พวกเขาทำตามแผนการคมนาคมของตัวเองได้เสร็จเรียบร้อย ส่วนที่เหลือนอกเหนือจากแผนก็สามารถนำไปขายให้ลูกค้าต่างชาติได้
พวกเขายังต้องสร้างสิ่งก่อสร้างสาธารณะในเมืองก่วงฮั่นและจัดหาสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันกับสินค้าสำหรับผู้บริโภคให้กับชาวเมืองก่วงฮั่นอีกด้วย ประเทศจีนไม่มีแผนจะปิดตลาดพวกนี้ทั้งหมดอยู่แล้ว ถ้าพวกเขาสามารถให้การบริการที่ดีกว่าและมีราคาถูกลงกว่าเดิมได้ พวกเขาก็จะได้กำไรมหาศาล
ส่วนเรื่องการประนีประนอมทางการเมือง…
ง่ายๆ เลยก็คือท่านประธานาธิบดีไม่อยากตัดสินใจเรื่องเขตก่วงฮั่นอย่างไร้ความรับผิดชอบ
ท่านประธานาธิบดีถาม “ยังมีอะไรอีกไหม? ”
ผู้อำนวยการหลี่ตอบ “มีอีกเรื่องครับ”
“ว่ามาเลย”
“คาร์สันอยากได้ดินดวงจันทร์นิดหน่อยจากพวกเรา…หรือไม่ก็หินอุกกาบาตดวงจันทร์ เป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพของพวกเราสองประเทศครับ”
ท่านประธานาธิบดียิ้ม หลังจากนั้นคิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็พูดขึ้นมาว่า
“พวกเราควรจะให้ความเคารพกับเพื่อนต่างชาติของเรานะ”
“ก่อนหน้านี้พวกเขาก็เคยให้ตัวอย่างดินดวงจันทร์ 1 กรัมกับพวกเรามาก่อน พวกเราจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องปฏิเสธคำขอนี้ ไปคุยกับคณะกรรมการวงโคจรของดวงจันทร์แล้วบอกให้พวกเขาเอาดินดวงจันทร์ 1 กิโลกรัมส่งไปให้คาร์สัน”
“แล้วก็บอกให้คาร์สันถ่ายทอดคำพูดนี้กลับไปด้วย”
“ทรัพยากรบนดวงจันทร์เป็นของมวลมนุษยชาติไม่ใช่แค่ของประเทศจีนเพียงอย่างเดียว ไม่มีประเทศไหนที่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของอยู่ประเทศเดียว ทุกประเทศต่างมีสิทธิ์ในการเข้าไปพัฒนาและหยิบมาใช้กันทั้งนั้น พวกเราต้อนรับทุกประเทศและทุกองค์กรที่พร้อมจะมาเข้าทีมสำรวจอนาคตของมวลมนุษยชาติ”
“ตราบใดที่ทุกอย่างยังอยู่ในขอบเขตของสันติ… ”
“จากนั้น พวกเราก็จะตามหาจุดกึ่งกลางระหว่างพวกเราในขณะที่ก็ยังคงความแตกต่างในตัวไว้”
…
ณ จินหลิง
ด้านในแมนชั่นที่จงซาน อินเตอร์เนชั่นแนล
ลู่โจวยังอยู่ในห้องอ่านหนังสือ เขากำลังเล่นอยู่กับของเล่นใหม่ที่มาจากภารกิจระบบครั้งก่อน
มันเป็นกำไลข้อมือสีดำ รูปทรงมันคล้ายกับนาฬิกาข้อมือเพื่อสุขภาพส่วนใหญ่ แม้กระทั่งดีไซน์ยังเป็นหน้าจอ LED ที่เหมือนกับนาฬิกาข้อมือเพื่อสุขภาพทั่วๆ ไปเลย
แต่ลางสังหรณ์ของลู่โจวบอกเขาว่าวัสดุที่ใช้ทำกำไลนี้และเทคโนโลยีที่ใช้ทำหน้าจออาจจะไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่บนดาวโลก และบริเวณข้างกำไลนี้ยังมีร่องอยู่ 5 ร่องอีกด้วย
เมื่อเขาใช้นิ้วแตะหน้าจอเบาๆ ลูกบอลเหล็กสีดำ 5 ลูกที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเล็กกว่า 10 มิลลิเมตรก็โผล่ออกมาจากร่องนั้น ภายใต้แรงดึงดูดของสนามแม่เหล็ก ทำให้ลูกบอลเล็กๆ พวกนี้ขยับช้าๆ ไปมารอบกำไล มันดูค่อนข้างจะน่ามหัศจรรย์เลยทีเดียว
ลู่โจวลองขยับมือมาใกล้ๆ แล้วโบกมือ ลูกบอลโลหะสีดำทั้งห้าลูกเหมือนจะถูกล็อกติดอยู่กับกำไล
“น่าสนใจ…”
ลู่โจวใช้มือซ้ายจับลูกบอลเล็กลูกหนึ่งแล้วดึงมันออกจากสนามแม่เหล็กที่อยู่เหนือกำไล เมื่อเขาปล่อยลูกบอลที่ดึงไว้ ลูกบอลเหมือนจะถูกเส้นด้ายที่มองไม่เห็นตรึงไว้ มันเด้งกลับเข้ากำไลในทันที
“นี่มันของเล่นของเอเลี่ยนงั้นเหรอ? ”
ลู่โจวมองลูกบอลเหล็กสีดำที่ลอยอยู่เหนือข้อมือของเขา เขาเริ่มสนใจเจ้านี่มากขึ้นทุกทีๆ
คำอธิบายไอเทมนี้ของระบบเป็นคำอธิบายที่คลุมเครือมาก มันไม่ได้ระบุชื่อเฉพาะของสิ่งนี้ให้ด้วยซ้ำ เขาเป็นฝ่ายค้นพบฟังก์ชันบางอย่างของกำไลนี้ด้วยตัวเอง
อย่างฟีเจอร์ขั้นพื้นฐานที่สุดของมัน ซึ่งทำหน้าที่เหมือนนาฬิกาเพื่อสุขภาพทั่วๆ ไปก็คือ การวัดอัตราการเต้นของหัวใจและการจับเวลา
ส่วนฟีเจอร์ที่สำคัญที่สุดของมันคือการสร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ ในบริเวณรอบๆ กำไล ซึ่งสามารถควบคุมการขยับของลูกบอลโลหะได้
และดูเหมือนจะมีอุปกรณ์จดจำคลื่นสมองติดตั้งไว้ในกำไลนี้ด้วย มันสามารถรับสัญญาณประสาทได้ จากนั้นก็เปลี่ยนมันให้เป็นสัญญาณไฟฟ้า และประมวลผลโดยใช้ชิปข้างในกำไล จากนั้นมันก็มอบข้อมูลนี้ให้กับหน่วยควบคุมสนามแม่เหล็กในกำไลแล้วใช้ข้อมูลนี้ควบคุมการเคลื่อนไหวของลูกบอลโลหะสีดำทั้งห้าลูก
สิ่งที่กำไลนี้ทำได้นับว่าแปลกมาก ราวกับเป็นเวทมนตร์ ลู่โจวไม่ค่อยแน่ใจว่ามันเอาไว้ใช้ทำอะไร
ถ้าเอเลี่ยนไม่มีขา มันก็ไม่ต้องใช้รองเท้าสิ
สิ่งเดียวที่ลู่โจวสามารถสรุปได้ตอนนี้คือวัสดุแก่น ดีไซน์แม่เหล็กไฟฟ้า และเทคโนโลยีควบคุมสนามแม่เหล็กที่กำไลนี้มีนั้นอยู่ในระดับที่เหนือกว่าเทคโนโลยีบนโลกมนุษย์มาก
ลู่โจวที่กำลังขยับกำไลไปมาทางนู้นทีทางนี้ทีอยู่นั้น จู่ๆ ก็สังเกตเห็นโลโก้ที่เขาคุ้นเคยข้างใน
เขาจำโลโก้นี้ได้รางๆ จากความฝันครั้งนั้น
“เสี่ยวไอ”
โดรนที่ลอยอยู่ข้างๆ ปรากฏข้อความบนหน้าจอโดรน
[มีอะไรหรือเปล่า? เจ้านาย (✿゚▽゚)]
ลู่โจวจ้องไปที่ลูกบอลโลหะห้าลูกที่ลอยอยู่ในมือของเขา เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถามว่า “มีข้อมูลอะไรที่เกี่ยวกับเจ้านี่ในฐานข้อมูลของเสี่ยวไอไหม?”
ในใจของลู่โจวก็ไม่ได้หวังอะไรหรอก
เพราะเขาก็ถามคำถามแนวนี้ไปนับไม่ถ้วนแล้ว แต่ก็ไม่เคยได้คำตอบที่เป็นชิ้นเป็นอันกลับมาเสียที
สิ่งเดียวที่เขาสรุปได้ในตอนนี้คือเสี่ยวไออาจจะเป็นโปรแกรมนำทางบนยานอวกาศที่ฉลาดที่สุดที่ส่งมาจากอารยธรรมคาลานจากใจกลางกาแล็กซี
น่าเสียดายที่ความทรงจำของจักรวาลก่อนหน้าเหมือนจะถูกลบออกไปจากฐานข้อมูลจนหมด ไม่เหลือเบาะแสที่มีค่าเลยสักนิด
[เสี่ยวไอเจอข้อมูลบางอย่างในฐานข้อมูลด้วยล่ะ]
ลู่โจว “…?! ”
ลู่โจวคิดว่าเขาเผลออ่านข้อความของเสี่ยวไอผิดไป
หลังจากอ่านข้อความซ้ำอีกรอบ สมองเขาก็กลับเข้ามาสู่โลกแห่งความเป็นจริง เขาพูดขึ้นทันทีว่า “เอาข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับมันมา ทุกอย่างเลยนะ!”
[ขอเสี่ยวไอดูก่อนนะ…(๑•̀ᄇ•́)و✧]
เสี่ยวไอหายไปนานมาก
ลู่โจวเริ่มจะสงสัยว่าโปรแกรมของเสี่ยวไอแครชหรือเปล่า แต่สุดท้าย ข้อความสีน้ำเงินอ่อนก็ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอเล็ก
[แปลกจัง…ก็ยังมีร่องรอยที่เห็นได้ชัดหลงเหลืออยู่ในแคชนี่นา แต่เหมือนข้อมูลจะโดนลบไปหมดแล้วอะ …Σ(°△°|||)]
[สรุปแล้วนี่ดูเหมือนจะเป็นอาวุธนะ มันเคยเป็นของเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ดูเหมือนจะมีพลังมากเลย (@[อีเมลมีการป้องกัน];)]
ลู่โจว “…? ”
นี่มันหมายความว่าอะไรกัน?!
ลู่โจวตกใจ
ดูเหมือนเสี่ยวไอจะค้นพบว่า ใน ‘ความทรงจำ’ ของมัน ได้มีร่องรอยของบางสิ่งบางอย่างถูกลบออกไป
แต่ก็นั่นแหละ ปัญญาประดิษฐ์แบบเสี่ยวไอนับว่ามี ‘ความทรงจำ’ ด้วยเหรอ? ความทรงจำที่ว่านี่มีตัวตนอยู่ได้อย่างไรโดยที่ไม่มีฮาร์ดแวร์?
ลู่โจวกำลังคิดเรื่องปริศนานี้อยู่ ในขณะที่ข้อความอีกประโยคก็โผล่ขึ้นมาบนหน้าจอ
[เจ้านาย ลองดูสักหน่อยไหม ใช้จินตนาการของเจ้านายหรืออะไรก็ได้…แล้วปล่อยมันออกไปตามแบบที่ควรจะเป็น (°ー°〃)]
จินตนาการ?
อาวุธ?
ปล่อย?
ลู่โจวมองลูกบอลโลหะ 5 ลูกที่ลอยอยู่บนฝ่ามือ เขาเริ่มครุ่นคิด
ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างออก เขามองตรงไปที่แจกันบนกำแพง
“ถ้านี่เป็นอาวุธแล้วล่ะก็…”
เขาเริ่มโฟกัสสมาธิไปที่กระถางดอกไม้ ถึงแม้มันจะทำให้เขาดูตลกๆ แต่เขาก็ไม่สนใจ ตราบใดที่ไม่มีใครคนอื่นอยู่ในห้องอ่านหนังสือนี้กับเขาด้วยน่ะนะ
หัวใจของเขาเริ่มเต้นแรงขึ้น ลู่โจวรู้สึกว่าลูกบอลโลหะ 5 ลูกที่ลอยอยู่เหนือมือของเขาเริ่มจะสั่น
เหมือนกับไกปืนกำลังถูกเหนี่ยว
ลู่โจวรู้สึกถึงแรงมหาศาลบริเวณข้อมือและปลายแขนของเขา ก่อนที่เขาจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น แจกันที่เขากำลังจ้องอยู่ก็แตกละเอียดไปเป็นที่เรียบร้อย
เหมือนกับว่า…
มันถูกกระสุนปืนยิงเข้าให้
เหนือฝ่ามือของเขา ลูกบอลเหล็กที่ลอยอยู่ได้หายไปหนึ่งลูก
ลู่โจวมองรูกระสุนลึกที่ฝังอยู่บนกำแพง ใบหน้าของเขามีสีหน้าจริงจังขึ้นมา
“หนังสติ๊กแม่เหล็กเหรอ? ”
หรืออะไรสักอย่างทำนองนั้นนั่นแหละ
เขาไม่รู้ว่าจะเรียกเจ้านี่ว่าอะไรดี สิ่งเดียวที่เขาบอกได้ก็คือ มันอาจจะเป็นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ควบคุมแบบพิเศษฟังติดอยู่ในลูกบอลโลหะ เมื่อเขา ‘ออกคำสั่งโจมตี’ พลังงานไฟฟ้าในลูกบอลก็ถูกปล่อยออกมาทันที มันเปลี่ยนตัวเองเป็นสนามแม่เหล็กแล้วพุ่งออกมาจากกำไล
บอลเป็นเหมือนกับอาวุธโปรเจกไทล์ที่มากับหนังสติ๊ก มันดีดตัวออกมาในทันที
ถึงแม้หลักการจะฟังดูง่าย แต่เอาจริงๆ มันค่อนข้างบ้าเลยทีเดียว
สนามแม่เหล็กประเภทไหนกันที่สามารถทำให้ลูกบอลโลหะขนาด 10 มิลลิเมตร เปลี่ยนสภาพไปเป็นเหมือนลูกกระสุนได้? ยังไม่นับว่าการสามารถแทรกสนามแม่เหล็กและชิปควบคุมลงในลูกบอลเหล็กที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางแค่ 10 มิลลิเมตรก็เป็นงานที่ยากมหันต์อยู่แล้ว
ลู่โจวรู้จากแรงดีดที่ส่งกลับมาได้เลยว่า สนามแม่เหล็กนี้แข็งแกร่งจริง
เขามองเศษแก้วที่อยู่ตรงมุมห้องแล้วเริ่มคิด จากนั้นเขาก็พูดขึ้นว่า “ทำความสะอาดตรงนี้ที…”
เสี่ยวไอ [ได้เลยเจ้านาย!]
เดี๋ยวมีเวลาค่อยศึกษาโครงสร้างภายในกำไลก็แล้วกัน
เจ้า [ตัวอย่าง] ประเภทนี้มีระดับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกินที่มีอยู่ของดาวโลกไปมากโขแล้ว ลู่โจวไม่ได้คาดหวังว่าจะสามารถทำวิศวกรรมย้อนรอยเทคโนโลยีแล้วได้อะไรกลับมานัก เขาไม่สามารถทำตัวเลียนแบบเครื่องนี้ขึ้นมาได้
แต่เขาอาจจะใช้ดีไซน์ของมันเป็นตัวอ้างอิงและจุดประกายนวัตกรรมวิทยาศาสตร์บนดาวโลกได้
อย่างเทคโนโลยีควบคุมสนามแม่เหล็กที่ก้าวหน้ามากกว่าเดิม
หรือเทคโนโลยีแม่เหล็กลอย แล้วก็อะไรทำนองนั้น
โดรนลอยลงมาช้าๆ มันเก็บกวาดเศษแก้วที่อยู่บนพื้น เสี่ยวไอช่วยลู่โจวเอาลูกบอลโลหะที่ฝังอยู่ในกำแพงออกมา และยังใช้โฟมซ่อมแซมในการซ่อมรอยกระสุนบนกำแพงอีกด้วย
ลู่โจวมองเสี่ยวไอควบคุมโดรนหลายตัวและหุ่นยนต์ทำความสะอาดเพื่อเก็บกวาดเศษแก้ว เขาถอดกำไลออกจากมือขวาและเอาลูกบอลโลหะทั้งห้าลูกกลับไปใส่ในที่ที่มันโผล่ออกมา
เขากำลังจะเลิกคิดเรื่องนี้แล้วหันไปอ่านงานวิจัยสักหน่อย แต่ก็มีเสียงคนเคาะประตูดังขึ้นมาพอดี
ลู่โจวปิดโน้ตบุ๊คของตัวเองแล้วเดินลงบันไดไป
ตอนแรกเขาคิดว่าหวังเผิงอาจจะได้ยินเสียงในห้องอ่านหนังสือก็เลยมาเคาะประตูเช็กว่าเขาโอเคไหม แต่เขาไม่คาดคิดว่าจะเจอหลัวเหวินเซวียนยืนอยู่ตรงนั้น
ลู่โจวมองหลัวเหวินเซวียนแล้วถามว่า “นายออกจากเซี่ยงไฮ้มาที่นี่ทำไม?”
“พูดอะไรของนายน่ะ ฉันเป็นศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยจินหลิงนะ ฉันมาอยู่ตรงนี้ก็ปกติดีไม่ใช่เหรอ?”
ลู่โจวพยายามฝืนตัวเองไม่ให้กลอกตาใส่อีกฝ่าย เขาถอนหายใจแล้วบอกว่า “ว่ามาเลย นายต้องการอะไร?”
“เหมือนนายจะยังไม่รู้นะเนี่ย” หลัวเหวินเซวียนยิ้มมุมปากแล้วบอกว่า “มีคนโทรไปที่ออฟฟิศของนายน่ะสิ”
“โทรมาออฟฟิศฉันเหรอ?”
“อ่าฮะ ทายสิว่าใคร?”
“ใครล่ะ…”
“ราชบัณฑิตสภาด้านวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดน! ”
ลู่โจวนิ่งไปชั่วครู่
ทันใดนั้นเขาก็จำได้ว่าวันนี้เป็นวันอะไร
“เดี๋ยวนะ…”
“ฮ่าฮ่า! ใช่แล้ว!”
หลัวเหวินเซวียนหัวเราะออกมาดังลั่น เขาตื่นเต้นกว่าตัวเองได้รับรางวัลเสียอีก เขายืดแขนออกมาแตะไหล่ของลู่โจว จากนั้นเขาก็ตบบ่าลู่โจวแล้วบอกว่า
“น่าประทับใจมาก!
ขอแสดงความยินดีด้วย!
นายได้รางวัลอีกแล้ว!”