Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1260 สคริปต์
มีน้อยคนมากๆ บนโลกนี้ที่จะได้รางวัลโนเบลสองครั้ง
เพราะนี่หมายความว่า คนคนนั้นดึงความสนใจจากวงการวิชาการในหมวดหมู่วิทยาศาสตร์หลักได้ถึงสองหมวด
ตั้งแต่ศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมา วงการและขอบเขตย่อยต่างๆ ของการศึกษาศาสตร์เหล่านี้ก็เริ่มแตกแขนงยิบย่อยลงไปหลายระดับมากกว่าที่นักวิชาการบนโลกจะทำได้ มันมี ‘ปัญหาระดับโลก’ ในแต่ละวงการย่อย
อย่าว่าแต่การได้รางวัลในสองศาสตร์หลักเลย มันก็ยังมีคนอายุราว 90 ปีที่กำลังรอให้ได้รางวัลของศาสตร์เพียงศาสตร์เดียวอยู่…
ณ สถาบันจินหลิงเพื่อการศึกษาขั้นสูง
ผู้อำนวยการคาร์สันยืนอยู่หน้าออฟฟิศของผู้อำนวยการ ใบหน้าเขาฉายแววกังวล พนักงานต้อนรับที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาคิดว่ามีอะไรบางอย่างผิดพลาดจึงเตือนเขาเป็นภาษาอังกฤษอีกรอบว่า
“ออฟฟิศนักวิชาการลู่อยู่ตรงนี้นะคะ”
“ผมรู้แล้วครับ ขอบคุณนะ”
ในแววตาของเขามีวี่แววของความรำคาญ แต่ก็เป็นเพียงแค่วี่แววเล็กๆ เท่านั้น ผู้อำนวยการคาร์สันหลับตาและหายใจเข้าลึกๆ เขาเดินหน้าไปคว้าลูกบิดประตู
ครืด
ประตูถูกผลักเปิดออก
เขามองผู้ชายที่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะ เขาพยายามแกล้งยิ้มในขณะที่เดินเข้าไปในออฟฟิศ
“ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ! ผมได้ยินว่าคุณได้รางวัลโนเบลอีกแล้ว! ครั้งนี้เป็นสาขาฟิสิกส์สินะ?”
ลู่โจวจึงตอบ “ใช่ครับ”
“วิเศษไปเลย! คนสุดท้ายที่ได้รางวัลโนเบลสองสาขาที่ต่างกันก็ มารี คูรี นั่นเลยนะ ซึ่งมันก็ผ่านมาตั้งศตวรรษนึง”
เห็นได้ชัดว่าผู้อำนวยการคาร์สันไม่พูดถึงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพของไลนัส พอลิงเลย แต่สาขาสันติภาพก็ไม่จำเป็นต้องเอามาพูดอยู่แล้ว
หลังจากได้ยินคำชม ลู่โจวก็ยิ้มขึ้นมาแล้วพยักหน้าเบาๆ
“ขอบคุณครับ”
ทั้งการเดินทางมาประเทศจีนของคาร์สันในครั้งนี้และการที่เขาต้องเดินทางต่อมาจากปักกิ่งเป็นพิเศษ ผู้อำนวยการคาร์สันไม่ได้เดินทางข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกมาเพื่อมาชมเขาอย่างเดียวแน่ๆ
ก็เหมือนกับผู้อำนวยการหลี่นั่นแหละ ทุกครั้งที่เขาอยากจะขอความช่วยเหลือ ผู้อำนวยการคาร์สันจะพูดสุภาพเป็นพิเศษ
ลู่โจวบอกให้เลขาฯ ของเขารินน้ำชาให้ เขามองคาร์สันที่กำลังนั่งอยู่ที่โซฟาด้วยรอยยิ้ม แล้วเขาก็รอเงียบๆ ให้คาร์สันเป็นฝ่ายพูดก่อน
“เอาจริงๆ ผมคิดเรื่องความเป็นไปได้หลายอย่างก่อนจะเดินทางมาที่นี่นะ”
“ความเป็นไปได้เหรอครับ?”
“ใช่แล้วล่ะ” ผู้อำนวยการคาร์สันถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ถึงแม้พวกเราจะไม่เต็มใจยอมรับเรื่องนี้นัก แต่พวกเราก็แพ้ในครั้งนี้จริงๆ ”
ลู่โจวประหลาดใจ
ผู้อำนวยการคาร์สันกล่าวต่อไป “ความแข็งแกร่งทางการบินและอวกาศของประเทศคุณมีมากพอ มันทำให้พวกเราเลียนแบบความสำเร็จที่พวกคุณประสบไปแล้วได้ยาก ผมสงสัยว่า…เมื่อไรกันที่พวกคุณถึงจะพอใจ?”
ลู่โจวยิ้มบางๆ แล้วตอบว่า “จะให้พอใจมันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ ต่อให้ปราสาทจันทราตั้งตระหง่านอยู่บนดาวโลก มันก็ยังมีขนาดเล็กมากอยู่ดีเมื่อเทียบกับจักรวาล”
“นอกจากนี้การที่พวกเราจะไปได้ไกลแค่ไหนในด้านการบินและอวกาศก็ส่งผลกับอนาคตของพวกเราทั้งหมดด้วย”
ผู้อำนวยการคาร์สันเอ่ย “ผมอยากจะรู้ว่าอนาคตที่คุณพูดถึงนี้รวมประเทศอื่นๆ เข้าไปด้วยหรือเปล่า”
ลู่โจวตอบ “รวมอยู่แล้วครับ แต่ผมไม่ได้อยากจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะเท่าไร คุณคาร์สัน คุณเป็นนักการเมือง ส่วนผมเป็นนักวิชาการ ความสนใจของพวกเราต่างกัน และความเข้าใจในอนาคตของพวกเราก็ยังต่างกันอีกด้วย คุณโฟกัสอยู่ที่ว่าการบินและอวกาศจะสร้างอาชีพได้มากเท่าไร และคุณจะได้พลังอำนาจมามากแค่ไหนจากสภาคองเกรส แต่สำหรับผมที่เป็นนักวิชาการแล้ว…ผมไม่สนเรื่องอะไรพวกนั้นเลย”
ผู้อำนวยการคาร์สันเลิกคิ้วแล้วถามต่อ “แล้วอย่างนั้นคุณสนเรื่องอะไรล่ะ?”
ลู่โจวถอนหายใจ
“เรื่องมันยาวน่ะครับ”
…
ข้างในห้องกิจกรรมของห้องสมุดที่มหาวิทยาลัยจินหลิง
หานเมิ่งฉีนั่งอยู่ที่โต๊ะยาว เธอมองสคริปต์ในมือของเธอแล้วเลิกคิ้วเบาๆ หลังจากพลิกหน้ากระดาษแผ่นหลังๆ อยู่หลายรอบเธอก็วางสคริปต์ในมือของเธอลงแล้วเริ่มประเมินผลเอง
“ฉันรู้สึกเหมือนมันยังมีบางอย่างหายไปจากในสคริปต์นะ”
นักเขียนบทสาวที่นั่งอยู่อีกฟากของโต๊ะยาวรีบยืนขึ้นแล้วเดินมาใกล้หานเมิ่งฉีทันที เธอถามอย่างจริงจังว่า “อะไรหายไปเหรอ?”
“ความรู้สึกน่ะ”
“ความรู้สึกเหรอ? เธอช่วยบอกชี้ชัดกว่านี้ได้ไหม?”
“อืมม…” หานเมิ่งฉีเหมือนจะลังเล ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจได้แล้วพูดออกมาว่า “ถ้าให้ชี้เฉพาะเลยมันคือความรักน่ะ”
“ความรักเหรอ?” นักเขียนบทสาวเหมือนจะอึ้งไปนิดหนึ่ง แล้วเธอก็ยิ้มขึ้นมาและเอ่ยว่า “ถึงจะมีดาราคนดังที่มีชื่อเสียงมากๆ บางคนในโชว์นี้ แต่จุดขายของสารคดีไม่ใช่ความรักนะ”
พวกเขาต้องทำให้ผู้ชมทุกวัยสามารถเข้าถึงภาพยนตร์สารคดีนี้ได้ เพราะพ่อแม่ก็อาจจะพาลูกไปโรงภาพยนตร์เพื่อดูภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย ถ้ามีความรักกับอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง มันอาจจะดูไม่เหมาะสมเท่าไร
อีกอย่างพวกเขาก็อยากทำให้ตรงกับความเป็นจริงด้วย
จากคำบอกเล่าของนักวิชาการลู่ เขาไม่เคยมีความรักมาก่อนในช่วงมหาวิทยาลัย และจากการสัมภาษณ์เพื่อนร่วมรุ่นเขาหลายคน รวมถึงอาจารย์และรูมเมทของเขา พวกเขาต่างก็พูดเหมือนกันว่าลู่โจวใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอยู่ในห้องสมุด
“แต่มันต้องมีอะไรบางอย่างสิ…ไม่อย่างนั้นแล้วทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนมีอะไรหายไปล่ะ” หานเมิ่งฉีกัดริมฝีปาก แก้มของเธอร้อนผ่าวเมื่อเธอพูดขึ้นว่า “แล้วฉันก็รู้สึกว่า…พี่ของฉันชอบเขาด้วย”
หลังจากได้ยินเธอพูดแบบนี้ นักเขียนบทสาวก็มีใบหน้าจริงจังขึ้นมาทันที เธอหยิบสคริปต์ไปจากมือของหานเมิ่งฉีแล้วเริ่มอ่าน อ่านไปได้พักหนึ่ง เธอก็พูดขึ้นว่า “อันที่จริงเรื่องนี้น่ะ…พวกเราก็คุยกับทีมเขียนบทของพวกเราแล้วนะ พวกเรายังเชิญคนคนนั้นมาแล้วให้เธอกรอกแบบสอบถามแล้วด้วย”
หานเมิ่งฉีตกใจ
“คุณ…สัมภาษณ์พี่ด้วยเหรอ?”
“อยู่แล้วล่ะ ก็นี่เป็นภาพยนตร์สารคดีนี่นา ถึงจะเกินเรื่องจริงไปบ้าง แต่มันก็มีเค้าโครงมาจากความจริงนะ” นักเขียนบทสาวยิ้มแล้วเล่าต่อ “พวกเราคุยเรื่องนี้กับหลายครั้งตอนประชุมแล้วล่ะ ตอนแรกพวกเราก็มีปัญหาว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเป็นอย่างไรกันแน่ แต่สุดท้าย…”
“สุดท้าย?”
หานเมิ่งฉีรู้สึกแปลกๆ ที่ทักขึ้นมา
“สุดท้ายพวกเราก็ตกลงกันว่าความรู้สึกระหว่างพวกเขาอาจจะไปในทางการเติบโตร่วมกันและมิตรภาพมากกว่า อันที่จริงพวกเขาทั้งสองคนต่างก็กลายเป็นคนที่ดีขึ้นจากการที่พวกเขามีกันและกันนะ สิ่งนี้มันค่อนข้างต่างจากความรัก หรือมองในอีกมุมหนึ่ง เธอลองจินตนาการภาพพวกเขาคบกันได้ไหมล่ะ?”
หานเมิ่งฉีนึกภาพทั้งสองคนนั่งอยู่ในห้องสมุดด้วยกันได้
แต่จะให้พวกเขาคบกันน่ะเหรอ…
หานเมิ่งฉีนึกภาพไม่ออกเลย
“แต่…ฉันก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้ชายกับผู้หญิงจะมีความสัมพันธ์ฉันเพื่อนกับแบบไม่มีอะไรจริงๆ น่ะ”
จู่ๆ นักเขียนบทสาวก็ถามเธอขึ้นมาว่า “คุณหาน คุณเคยมีแฟนไหม?”
หานเมิ่งฉีหน้าแดง
“คุณถามทำไมน่ะ?”
“ฉันแค่สงสัยน่ะ หวังว่าคุณจะไม่โกรธอะไรนะ”
หานเมิ่งฉีรีบโบกไม้โบกมือไปมาขณะตอบว่า “ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้เท่าไรน่ะ บางทีคุณอาจจะพูดถูกแล้วก็ได้ บางที…พี่ฉันอาจจะคิดกับลู่โจวเป็นแค่อาจารย์ก็ได้”
เธอเกาหัวตัวเองแล้วพูดต่อ “ไม่อย่างนั้นป่านนี้เธอน่าจะสารภาพรักไปแล้วล่ะ”
ใช่แน่นอนเลย พี่ของฉันเป็นคนตรงไปตรงมาจะตายไป
เมื่อเห็นว่าหานเมิ่งฉีดูลังเลแค่ไหน นักเขียนบทสาวก็พูดขึ้นมาทันทีว่า “จะว่าไป…คุณลองเล่นบทนี้ดูไหม?”
หานเมิ่งฉีตัวแข็งทื่อขณะที่เธอเอานิ้วชี้ไปที่ตัวเอง
“ฉันเหรอ?”
“ใช่!” นักเขียนบทสาวพยักหน้าแล้วคว้ามือของหานเมิ่งฉี ดวงตาของเธอเป็นประกายขณะที่พูดขึ้นว่า “จู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่า มีแต่คุณคนเดียวเท่านั้นเลยที่จะสามารถถ่ายทอดอารมณ์จากบทนี้ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ!
ฉันจะไปบอกผู้กำกับนะ ฉันจะขอให้เขาให้โอกาสคุณไปออดิชัน! ขอเถอะนะ! ไปลองออดิชันเถอะ!”
ให้ฉันเล่นบทเป็นพี่เนี่ยนะ?!
หานเมิ่งฉีบอกนักเขียนบทสาวที่ดูตื่นเต้นขึ้นมา เธอไม่เคยคิดเลยว่าเหตุการณ์มันจะลงเอยแบบนี้
แต่…
เธอกลืนน้ำลายและอยากจะตอบปฏิเสธไป แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างเธอก็เปลี่ยนใจ
“ถ้าอย่างนั้น…ฉันจะลองดูก็แล้วกัน”
วินาทีที่เธอพูดคำนั้นออกมา เธอก็เริ่มเสียใจในสิ่งที่เธอพูด
แต่เธอก็ไม่ได้แก้คำพูดของเธอ
อย่างไรมันก็แค่ออดิชัน เธออาจจะไม่ได้ถูกเลือกด้วยซ้ำ
หานเมิ่งฉีพูดกล่อมตัวเอง
แต่เธอก็ไม่รู้ตัวเลยว่า มันมีเสียงเล็กๆ ในใจของเธอที่อยากให้เธอได้รับเลือกให้เล่นบทนี้…