Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1267 เยือนโคเปนเฮเกน
ในร้านอาหารมีการตกแต่งให้มีกลิ่นอายของยุคกลาง
ข่าวช่อง BBC กำลังออกอากาศในทีวี
ในรายการข่าว นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมหัวรุนแรงเดินประท้วงพร้อมแผ่นป้ายที่ท้องถนน แล้วก็ปีนอนุสรณ์เชอร์ชิลล์ ขวางการจราจร และโห่ร้องสโลแกน ‘เราใส่ใจเกี่ยวกับโลก’ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ท้องถนนสวยงามในลอนดอน
ชายผิวขาวในเสื้อสูทนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร เขาถอนหายใจและพูดว่า “ผมกินมากเกินไป”
“ว่าแต่รางวัลสันติภาพปีนี้ถูกมอบให้นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมใช่ไหม?”
“ใช่ แต่รางวัลสันติภาพไม่น่าจะทำให้คนพวกนี้พอใจ เรายังต้องหาวิธีแก้ปัญหานี้ในระดับรากฐาน” ชายคนนี้พูดอีกว่า “ถ้ามีสถานีไฟฟ้าฟิวชั่นที่ควบคุมได้ในลอนดอนก็คงจะดี”
“ผมคิดว่าพวกผีบ้าเสียสติเหล่านี้จะทำให้สถานการณ์อันตรายกว่าเดิม”
“…คุณพูดถูก”
ลู่โจวได้ยินบทสนทนานี้จากระยะประมาณหนึ่ง เขามองไปทางทีวี แต่ช่องทีวีถูกกดเปลี่ยน ซึ่งกลายเป็นการรายงานวิกฤตขาดแคลนอาหารในแอฟริกากลาง
เมื่อลู่โจวไม่ได้ให้ความสนใจ เฉินยู่ซานแอบส่งแซนด์วิชในจานเธอไปที่จานของลู่โจว แต่ถึงเธอย้ายแซนด์วิชอย่างระมัดระวัง แต่ลู่โจวยังจับเธอได้อยู่ดี
เฉินยู่ซานหน้าแดงในระหว่างที่พูดว่า “นายควรกินให้มากกว่านี้”
“โอ้…เธอไม่หิวเหรอ?”
“ฉันไดเอทอยู่”
“ทำไมล่ะ เธอผอมมากพอแล้ว…ฉันว่าเธอดูดีออก”
เฉินยู่ซานกำลังจะพูดบางอย่างออกมา แต่แถวนี้มีคนเยอะมากเกินไป สุดท้ายแล้วเธอก็กลอกตาใส่ลู่โจวแล้วก้มหน้าลงกินสลัดบนจาน
เสี่ยวถงที่นั่งอยู่ข้างสองคนนี้ เหลือบมองด้วยความสงสัย จากนั้นเธอก็เอานิ้วชี้จิ้มแขนลู่โจว
“พี่”
“อะไรเหรอ?”
“พี่ได้…”
เสี่ยวถงวาดนิ้วเป็นตัวโอ แล้วมืออีกข้างชี้นิ้วเป็นเลขหนึ่ง แต่ก่อนที่เธอจะเอามือมาประกบกัน ลู่โจวเอานิ้วดีดหัวเธอ
“โอ๊ย!” เสี่ยวถงมองดูลู่โจวอย่างไม่พอใจและถามว่า “พี่มาตีน้องทำไม?”
“หยุดคิดอะไรเลอะเทอะได้แล้ว เด็กน้อย!”
“หนูไม่ใช่เด็กแล้วนะ!”
“พอได้แล้ว” ลู่โจวหยิบทิชชู่มาเช็ดปาก เขาเปลี่ยนเรื่องแบบไม่สนอะไร แล้วพูดว่า “เรียนที่พรินซ์ตันเป็นไงบ้างล่ะ? ถูกใครรังแกไหม?”
เสี่ยวถงแลบลิ้นออกมาและพูดว่า “พี่อำนาจเยอะขนาดนี้ ไม่มีใครกล้ามารังแกหรอก มีแต่คนไม่กล้าเข้ามาแหยม”
เฉินยู่ซานมองดูพี่น้องคู่นี้แล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา จู่ๆ เธอนึกขึ้นได้ถึงงานของพรุ่งนี้ เธอจึงพูดเสียงเบา
“ฉันยังมีงานที่ต้องทำที่ออฟฟิศ ฉันจะบินกลับบ่ายนี้ นายมีแผนจะกลับเมื่อไหร่ล่ะ?”
ลู่โจวคิดไปคิดมาแล้วตอบว่า
“อาจจะพรุ่งนี้”
“งั้นฉันจะรอคุณ”
หลังจากมื้อเช้าเฉินยู่ซานไม่ได้อยู่ต่อนาน เธอออกจากร้านอาหารทันที เสี่ยวถงมองดูเธอเดินออกไปในขณะที่พูดเสียงเบาออกมา
“พี่ พี่สองคน…”
ลู่โจวไม่ได้เปิดโอกาสให้เธอเก็บข้อมูล
“เงียบปากแล้วกินข้าว”
“โอ้…”
หลังจากมื้อเช้าลู่โจวก็กลับไปที่ห้อง
เฉินยู่ซานกลับห้องของตัวเองไปแล้ว ลู่โจวโทรหาโรงแรมแล้วเอาชุดเครื่องนอนเข้ามาในห้อง จากนั้นเขาเปิดคอมพิวเตอร์และเช็กอีเมล
ศาสตราจารย์ รูดี้ ด็อบริก ตอบอีเมลเขามาตามที่ได้คาดไว้
นักวิชาการชาวเบลเยียมจากมหาวิทยาลัยบรัสเซลส์ได้ใช้กระดาษหนึ่งหน้าในการชื่นชมสติปัญญาและสัญญาว่าจะไม่ทำให้ลู่โจวผิดหวัง
เอาตามตรง ลู่โจวรู้สึกประหม่าเล็กน้อยตอนอ่านคำเขียนอวยของรูดี้
เนื่องจากคนในสายวิชาการที่ประจบเก่งมักจะไม่มีความสามารถด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์
แต่เมื่อเขานึกถึงศาสตราจารย์ซารอทและจำได้ว่านักวิจัยด้านวิทยาศาสตร์หลายคนให้ผู้ช่วยรับมือกับอีเมล ลู่โจวใจเย็นลงเล็กน้อยและตัดสินใจให้โอกาสเขาได้พิสูจน์ตัวเอง
มันดีที่สุดที่จะรอให้เขากลับไปแล้วทำข้อสรุปหลังจากได้อ่านรายงานของเขา
อยู่ดีๆ โทรศัพท์ที่โต๊ะข้างเตียงเริ่มดังขึ้น
ลู่โจวเดินไปรับโทรศัพท์
“สวัสดีครับ?”
เสียงสุภาพดังมาจากปลายสาย “สวัสดีครับ ศาสตราจารย์ลู่ที่เคารพ ผมเป็นเลขาธิการที่สถานเอกอัครราชทูตสวีเดนประจำประเทศจีน คุณเรียกผมว่าซุนเสวี่นเหวินหรือเลขาซุน”
ลู่โจวถามว่า “มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับ?”
เลขาซุนตอบว่า “ท่านทูตจางเหวินปินอยากพบกับคุณ คุณมีเวลาว่างช่วงไหนครับ?”
ลู่โจวคิดอยู่ชั่วครู่และตอบไปว่า “ผมจะไปที่นั่นบ่ายนี้”
“ไม่ๆๆ คุณไม่ต้องมาที่นี่หรอก พวกเราจะเดินทางไปเยี่ยมคุณ” เลขาซุนรีบพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ถ้าคุณมีเวลาว่างช่วงบ่าย ช่วงบ่ายสามดีไหมครับ? มันจะใช้เวลาไม่นาน แค่ประมาณหนึ่งชั่วโมง”
“ได้ครับ แต่มันจะลำบากพวกคุณไหม?”
ชายคนนี้ยิ้มให้
“โอ้ ไม่เลยครับ”
มันเป็นแบบนั้นจริงๆ ทุกครั้งที่ลู่โจวออกไปข้างนอก รถและท้องถนนจะต้องถูกตรวจสอบโดยทีมรักษาความปลอดภัย มันจึงดีกว่าที่พวกเขามาที่นี่เอง
ลู่โจวจึงไม่ได้ดึงดันอะไรต่อ
หลังจากวางสายไปเขานึกขึ้นได้กะทันหันว่าเฉินยู่ซานจะกลับจีนบ่ายนี้ ถ้าเขาต้องไปพบท่านทูตจาง เขาก็จะไปส่งเธอที่สนามบินไม่ได้ ดังนั้นเขาเลยไปหาเธอที่ห้อง
เนื่องจากเขามีการ์ดห้องของเธอ เขาจึงแค่เคาะประตูแล้วแปะการ์ดก่อนที่จะเข้าไป
เมื่อเขาเดินเข้ามาในห้อง เฉินยู่ซานกำลังเก็บกระเป๋า
เฉินยู่ซานเอาเสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายใส่กระเป๋า เธอลุกขึ้นยืน ผมยาวของเธอปรกอยู่ที่ไหล่ เธอหันมายิ้มให้กับลู่โจว
“นายคิดถึงฉันแล้วเหรอ? ฉันบอกว่าจะไปหานายที่ห้องหลังจากเก็บกระเป๋าเสร็จ”ไง
ลู่โจวลังเลอยู่สักพักก่อนที่จะพูดตอบ
“ฉันอาจจะไปส่งเธอที่สนามบินไม่ได้ คือสถานทูต—”
“ไม่เป็นไร ฉันรู้” เฉินยู่ซานจุมพิตลู่โจวอย่างแผ่วเบา เธอก้าวถอยออกไปแล้วยิ้มอ่อนให้กับเขา เธอบอกเขาว่า “ไม่ต้องรู้สึกแย่นะ ฉันไม่อยากรบกวนเวลาของนายมากเกินไป ไม่อยากทำให้นายกดดัน”
“แต่…”
“นายมีงานของนาย ฉันก็เหมือนกัน เราทำงานหนักด้วยกันได้ ฉันก็อยากเป็นตัวเองที่ดีขึ้น ฉันจะได้รู้สึกสบายใจมากขึ้น แล้วก็…”
เฉินยู่ซานเอานิ้วม้วนผมตัวเองเล่นสองสามครั้ง เธอเบือนหน้าหนีด้วยความประหม่า ดูเหมือนว่าเธอยังไม่ชินที่จะพูดคำสวยหวานออกไป เธอลังเลก่อนที่จะพูดเสียงเบา
“ก็นักวิชาการลู่เป็นของทุกคน แต่ลู่โจวเป็นของฉัน…ตราบใดที่หัวใจนายยังอยู่กับฉันนะ”
“ภรรยา…”
“อย่าเรียกฉันว่าภรรยา มันเร็วเกินไป! เราเป็นแค่แฟนกัน แล้วฉันยังไม่ได้รับปากจะแต่งงานกับนายเลย” เฉินยู่ซานดูมีความสุขและเขินอายในเวลาเดียวกัน เธอย้ำว่า “เรียกฉันว่าเฉินยู่ซาน!”
“เฉินยู่ซาน!”
“โอ้…”
มันตรงจุดมาก
ไม่ได้จริงๆ !
ทำไมแฟนฉันน่ารักจัง!
ทั้งหล่อทั้งฉลาด!
ว้าว…
จู่ๆ ลู่โจวสวมกอดเฉินยู่ซาน เธอรู้สึกว่าสมองเธอถูกยัดเข้าตู้อบ และเธอคิดแบบมีสติไม่ได้แล้ว
ฮันนีมูนมันเป็นแบบนี้เองเหรอ?
ฉันอยากอยู่กับเขาทั้งวันทั้งคืนตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
“อืม…”
“มีอะไรเหรอ?”
“ก่อนเธอจะไป…ฉันอยากเล่นเกมกับเธอ”
“เกมอะไร?”
ลู่โจวตอบว่า “ซ่อนแอบ”
เฉินยู่ซานที่พิงหัวกับไหล่ลู่โจวกระซิบตอบเขาที่ข้างหู “โอ้ นี่นายเป็นเด็กซนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“ถ้าไม่อยากเล่นก็ช่างมันเถอะ”
เฉินยู่ซานที่หน้าแดงเป็นแอปเปิลหลุบตาหลบเบาๆ เธอซุกหน้าเข้าที่ไหล่ของเขา
เธอพึมพำเสียงเบา “อืม…
ฉันเป็นฝ่ายซ่อนก่อนนะ?”
…
ช่วงบ่าย
ลู่โจวส่งเฉินยู่ซานขึ้นรถไปสนามบิน
หลังจากโบกมือลา รถวอลโวขับหายลับไปตามถนน เขาลังเลที่จะหันหลังแล้วกลับไปโรงแรม
ถึงแม้ว่าสองคนนี้อยากตัวติดกันทั้งวัน เขารู้อยู่แก่ใจว่าความสัมพันธ์เป็นแต่ส่วนหนึ่งของชีวิต ทั้งสองมีงานต้องทำจำนวนมาก ไม่ว่าเขาจะชอบเธอมากแค่ไหน เขาคงไม่ปล่อยให้มันมากลืนกินส่วนอื่นของชีวิต
หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน มันมีสีน้ำเงินที่เขาไม่เคยสังเกตมาก่อนในโลกสีขาวดำของเขา
มันเป็นสีของความรับผิดชอบ
“คุณสนใจไปร่วมงานซัมมิทสภาพภูมิอากาศโลกโคเปนเฮเกนไหม?” ท่านทูตจางเหวินปินที่ใส่ชุดทางการพูดกับลู่โจวพร้อมรอยยิ้ม พวกเขานั่งอยู่ในห้องรับรองของโรงแรม
“งานซัมมิทสภาพภูมิอากาศโลกเหรอครับ?”
ลู่โจวไม่คาดคิดว่าท่านทูตจางจะเสนอเรื่องแบบนี้มากะทันหัน
“ครับ” ท่านทูตจางพูดต่อพร้อมรอยยิ้ม “ช่วงห้าปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจจีนได้เติบโตขึ้น อัตราการเติบโตของ GDP มากกว่า 10% ไม่เพียงแต่ว่าเราไม่ได้สละทะเลสาบและภูเขาไปแม้แต่นิ้วเดียว แต่ลดได้ลดการปล่อยคาร์บอนต่อคนไป 50%! ”
“เราได้สร้างปาฏิหาริย์ในหน้าประวัติศาสตร์ของการพัฒนาเศรษฐกิจ พวกเขาได้สร้างอาหารให้ประชากรโลกกว่า 20% ในขณะที่มลภาวะน้อยที่สุด! ”
“ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้จากเทคโนโลยีฟิวชั่นที่ควบคุมได้ที่คุณสร้างขึ้นเมื่อสี่ปีก่อน ดังนั้นแผนกระหว่างประเทศกำลังพูดคุยว่าคุณควรไปงานซัมมิทสภาพภูมิอากาศโลกเพื่อรายงานให้กับประเทศอื่นได้ประจักษ์ แสดงให้ประเทศอื่นเห็นว่าเราทำอะไรมาแล้วบ้างในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา”
ลู่โจวพยักหน้า
พวกเขาอยากให้ฉันพูดโอ้อวดประเทศตัวเอง
เขามีความสนใจปรากฏขึ้นในแววตา
“ฟังดูน่าสนใจนะครับ”
ท่านทูตจางยิ้มให้และพูดว่า “อย่างมากก็ใช้เวลาสามสี่วัน อาจจะมีการปรับเปลี่ยนเรื่องการเดินทาง”
“โดยเฉพาะ?”
“ราชวงศ์สวีเดนจะไปเยี่ยมเดนมาร์กและนั่งเรือออโรร่าโบเรลิสไปโคเปนเฮเกนเพื่อเข้าร่วมงานซัมมิท มันจะมีแขกผู้มีเกียรติและผู้ประกอบการจากประเทศแถบนอร์ดิกบนเรือลำนี้ เราอยากเสริมความสัมพันธ์กับประเทศนอร์ดิกให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นเนื่องจากพวกเขาเป็นพันธมิตรทางกลยุทธ์ แผนของเราคือเนื่องจากคุณอยู่ที่สตอกโฮล์มแล้ว คุณก็ขึ้นเรือเที่ยวเดียวกับคนพวกนั้นไปเลย”
“ถ้าเกิดคุณไม่สันทัดกับการนั่งเรือ เราสามารถจัดเครื่องบินพิเศษให้คุณได้ ขึ้นอยู่กับว่าคุณชอบแบบไหน”
การล่องเรือค่อนข้างน่าสนใจ ช่วงกลางคืนฤดูหนาว ออโรร่าที่สวยงามสามารถเห็นได้จากทะเลบาลติก
ลู่โจวนึกถึงบรรยากาศสวยงามที่เขาเห็นที่ริมทะเลสาบมาเลเรน เขายิ้มให้และพยักหน้า
“มันเป็นความรับผิดชอบของมนุษยชาติที่จะรักษาสภาพภูมิอากาศโลกไว้ มันเป็นความรับผิดชอบของผมในฐานะประชากรชาวจีนที่จะแสดงให้โลกเห็นถึงการลงแรงของจีนเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของมนุษยชาติ”
“ช่วงนี้ผมไม่ค่อยยุ่งเท่าไหร่ ผมจะร่วมงานครับ”