Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1276 ด้วยความจำเป็น
สำหรับประเทศมหาอำนาจ มันเป็นเรื่องง่ายที่จะลงโทษขุนศึกในแอฟริกาตะวันออก
มาแรคกลับมาที่ฐานโดยมีเครื่องติดตามตัวมาด้วย เขาไม่รู้ว่าเหตุผลที่เขามีชีวิตอยู่ เป็นเพราะว่าไม่มีใครจริงจังกับเขา
แค่ตอนนี้ความโลภแปรเปลี่ยนเป็นโทสะ จีนไม่ใช่ประเทศเดียวที่จับตาดูเขา ทั้งโลกเองก็คอยสังเกตเขาอยู่
พวกนั้นไม่ได้สงสัยว่าเขาหลบหนีได้อย่างไร
พวกนั้นอยากรู้ว่าเขาจะตายอย่างอนาถาแบบไหน…
ลู่โจวที่กำลังไปเยือนโคเปนเฮเกนไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่เบื้องหลัง
เอาตามตรง เรื่องพวกนี้เกินขอบเขตของเขา ถึงแม้ว่าความสนใจที่พุ่งมาหาเขาทำให้เขากังวลเล็กน้อย เขาก็ไม่รู้สึกกลัวเลย
หน่วยงานอวกาศสแตนด์บายตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่มีใครในโลกนี้ปลอดภัยมากกว่าเขา
น่าเสียดายที่หลี่เกาเหลียงไม่สามารถมาเจอเขาได้ที่เรือสำราญหลังจากทำภารกิจเสร็จ ลู่โจวอยากเลี้ยงเหล้าเขาสักหน่อย
ตอนนี้เขาพักอยู่ที่โรงแรมที่หรูหราที่สุดในโคเปนเฮเกน เขานั่งอยู่ในเลานจ์พักผ่อน โดยนั่งดื่มชายามบ่ายแล้วเลื่อนดูเว่ยป๋อจากโทรศัพท์ของเขา
พาดหัวข่าวของสื่อรายใหญ่เต็มไปด้วยกองพลอากาศที่โรยตัวลงมาจากฟ้า สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือชาวเน็ตตั้งชื่อประหลาดให้กับพวกเขา
‘ยกตัวอย่างเช่น ฉายาแบบ ‘เพลิงพิโรธจากสวรรค์’ ‘องครักษ์เหนือพิภพ’ ‘อัศวินอวกาศ’ ประมาณนี้ นอกจากนี้ฉายาทั้งหมดก็ถูกนำเสนอในหนังสือพิมพ์
ส่วนชาวเน็ตในอเมริกาเหนือ คนพวกนี้จริงจังมากกว่า
พวกเขาบ่นว่านาซาใช้งานจำนวนมหาศาลในทุกๆ ปีแต่ก็ไม่เห็นผลอะไร
ในความเป็นจริง สิ่งนี้ไม่ยุติธรรมเลย
ถึงแม้ว่านาซาผลาญเงินไปมาก พวกเขาก็ไม่ได้ใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย
มันคือวิถีของการลงทุนกับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การผลาญเงินไปไม่ได้การันตีความสำเร็จ จนกว่าจะมีหัวกะทิอีกคนอย่างลู่โจว พวกเขาก็ไม่มีหวังที่จะตามจีนทันในด้านอวกาศไปอีกนาน
“พรุ่งนี้เช้านายกเทศมนตรีของโคเปนเฮเกนอยากพบกับคุณ คุณพอมีเวลาไหม?”
ท่านทูตจีนประจำเดนมาร์ก ตู้หยานหมิง นั่งตรงข้ามลู่โจว ชายผมเทาคนนี้อายุ 60 ปี และอยู่ที่ต่างประเทศนานกว่า 20 ปี
“เขาต้องการขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” ลู่โจวเงยหน้าขึ้นมามองชายชราที่นั่งตรงกันข้าม
ช่วงสองวันนี้เขาได้พบบุคคลอันทรงเกียรติเกือบทุกคนในประเทศเล็กๆ นี้ เขาได้รับนามบัตรหลายใบแต่เขายังจำชื่อใครสักคนไม่ได้เลย
“ปกติแล้ว พวกเขาก็ไม่ตื่นเต้นแบบนี้กัน”
“แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป”
“เพราะว่าในอดีตเราไม่เคยสร้างเรื่องวุ่นวายใหญ่โตระหว่างการเดินทาง” ท่านทูตผมเทายิ้มให้และยกชาดำขึ้นมาดื่ม เขาพูดว่า “คุณรู้อะไรไหม? มีทหารประจำการอยู่นอกโรงแรมนี้”
ลู่โจวมีสีหน้างุนงง
ในความเป็นจริง มันไม่ใช่ความผิดของเขา
เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีใครเพ่งเล็งเขาที่เรือสำราญ
เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตอนที่เคยไปเยือนรัสเซียหรือฝรั่งเศสก็ไม่เคยเจอ
ลู่โจวไม่ได้พูดอะไรตอบ ท่านทูตตู้แตะถ้วยชาอย่างแผ่วเบา เขายิ้มอ่อนโยนแล้วพูดต่อ “ผมเห็นว่าคนไม่สนใจในชานี้ แต่ผมอยากแนะนำให้คุณลองชาถ้วยนี้ดู ชาดำในถ้วยนี้ถูกผลิตขึ้นจากฟาร์มที่ศรีลังกา ฟาร์มนี้มีประวัติยาวนานกว่า 100 ปี และถูกพิจารณาว่าเป็นแบบแดนิช มันยังเป็นหนึ่งในทรัพย์สินของราชวงศ์ มันถูกเสิร์ฟให้เฉพาะแขกที่มีเกียรติ”
ลู่โจวถอนหายใจและจิบชาด้วยความลังเล จากนั้นเขาวางถ้วยชาลง
“ผมไม่ค่อยสันทัดในการดื่มชาเสียเท่าไหร่ ผมชอบดื่มกาแฟกึ่งสำเร็จรูปมากกว่า”
“นักวิชาการลู่นี่มีรสนิยมเฉพาะตัวเสียจริง” ท่านทูตตู้ยิ้มให้และพูดว่า “จะว่าไปแล้ว คุณยังไม่ได้แต่งงานใช่ไหม?”
“ทำนองนั้นครับ”
“คุณอยากให้ผมแนะนำใครให้ไหม?”
“ไม่เป็นไร ขอบคุณครับ ผมมีพาร์ทเนอร์แล้ว”
“โอ้ งั้นผมขอโทษด้วย” ท่านทูตตู้หยานหมิงยิ้มเชิงขออภัยให้ เขารีบเปลี่ยนเรื่องโดยพูดว่า “จะว่าไปแล้วท่านทูตจางฝากพบมาขอบคุณคุณ”
ลู่โจวเงยหน้าขึ้น “ท่านทูตจางเหวินปิน?”
“ครับ” ตู้หยานหมิงยิ้มให้และพยักหน้า เขาพูดว่า “เจ้าชายเฟรเดอริกส่งทวิตเพื่อขอบคุณและชื่นชมการกระทำของคุณที่เรือสำราญ ประชาชนสวีเดินก็ได้แสดงความซาบซึ้ง พวกเขาไม่คิดว่านักวิชาการลู่จะกล้าหาญขนาดนี้ โดยยืนหยัดในช่วงวิกฤตและกล้าหาญกว่าทหารราชวงศ์ จากการช่วยเจ้าหญิงซึ่งเป็นที่รัก… ถ้าเกิดเจ้าหญิงลิเลียอายุมากกว่านี้ มันคงกลายเป็นเรื่องรักโรแมนติก”
ลู่โจวไอสำลักออกมา
“อย่าพูดเรื่องนั้นเลยครับ”
ท่านทูตตู้ตบเข่าแล้วขำออกมา
“ฮ่าฮ่า ผมแค่ล้อเล่น อย่าถือสาอะไรเลย อย่างไรก็ดีมันเป็นเรื่องดีสำหรับความสัมพันธ์การทูตของประเทศเรากับประเทศแถบนอร์ดิก คุณคิดว่าไงล่ะ?”
ชายผมสีเทาฉีกยิ้มให้ลู่โจว
ถ้าเขาไม่ได้มีผมเทา ลู่โจวคงคิดว่าชายคนนี้มีอายุคราวเดียวกับเขา
เอาตามตรงมันไม่ใช่ประสบการณ์ที่น่าสนใจเท่าไหร่
สำหรับคนที่อายุใกล้วัยสามสิบปี เขาอดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงตัวเองแก่ขึ้น
ลู่โจวไม่คาดคิดว่าการทำดีโดยไม่หวังอะไรจะช่วยให้ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศพัฒนามากขึ้น
…
วันเสาร์
งานซัมมิทสภาพอากาศถูกจัดขึ้นตามตาราง
ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกมารวมกันที่งานกิจกรรมดังระดับโลกนี้ นอกจากมีผู้นำระดับสูงทั่วโลกที่เข้าร่วมงานกิจกรรมนี้ แล้วยังมีนักวิชาการลู่ที่เพิ่งได้รับรางวัลโนเบลรางวัลที่สองในชีวิตในสตอกโฮล์มได้ยืนพูดที่โพเดียมในฐานะตัวแทนประเทศจีน
เอาตามตรงการปกป้องสิ่งแวดล้อมไม่ใช่ด้านที่ลู่โจวถนัด เขาไม่ได้มีงานวิจัยเฉพาะเจาะจงในการพัฒนาสภาพแวดล้อมในบรรยากาศ แต่เขาก็ยังสามารถพูดอยู่ได้บ้างจากมุมมองของคนที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ
กล้องทุกตัวโฟกัสมาที่เขา
ลู่โจวสามารถสัมผัสได้ว่าเมื่อเขามายืนที่เวที เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากประเทศอื่นหยุดพูดคุยกันแล้วหันมามองเขาด้วยแววตาสนใจ
นอกจากนี้นักสิ่งแวดล้อมที่เป็นที่รู้จักบางส่วนถูกเชิญมางานนี้ด้วย
ซึ่งรวมทั้งนักกิจกรรมวัยรุ่นชาวสวีเดนชื่อดังและตัวแทนจาก ‘กรีนพีซ’ และนักสิ่งแวดล้อมสุดโต่งจำนวนหนึ่ง
กลุ่มคนที่ตื่นเต้นที่สุดคือนักข่าวโดยไม่ต้องสงสัย
เมื่อลู่โจวเดินเข้าห้องมา นักข่าวพวกนี้เริ่มกดชัตเตอร์กล้อง
แต่เรื่องเล็กน้อยพวกนี้ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อลู่โจว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำการรายงาน แทนที่เขาจะรู้สึกกระวนกระวาย เขาค่อนข้างชินกับการยืนอยู่ตรงนี้
ลู่โจวยื่นมือไปปรับไมโครโฟน เขาพยักหน้าให้กลุ่มผู้ฟัง กระแอมในลำคอแล้วพูดด้วยเสียงสงบนิ่ง
“ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาที่นี่ ผมยินดีที่จะเป็นตัวแทนประเทศแล้วแสดงให้โลกเห็นว่าเราทำอะไรมาบ้าง”
ลู่โจวยิ้มอย่างเป็นมิตรโดยถือสคริปต์ไว้ในมือ เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “มันเป็นการพูดครั้งที่สองหลังจากรางวัลโนเบล ผมมั่นใจว่าทุกคนรู้หัวข้อของเรื่องที่ผมจะพูด ผมจะไม่พูดย้ำมากเกินไป”
“ช่วงห้าปีที่ผ่านมาเราทำอะไรไปบ้าง? ”
“ผมอยากเน้นย้ำหมายเลขห้า” ลู่โจวหยุดไปชั่วครู่และพูดต่อ “เครื่องปฏิกรณ์ฟิวชั่นที่ควบคุมได้ห้าเครื่องถูกอิกไนต์สำเร็จ พลังงานของฟิวชั่นที่ควบคุมได้สร้างประโยชน์ให้กับอย่างน้อยห้าประเทศในโลก เรายังได้กำจัดโรงงานไฟฟ้าพลังงานความร้อนกว่า 90% ในห้าปีนี้ และแทนที่รถยนต์ใช้พลังงานกว่า 50% ซึ่งลดการใช้พลังงานฟอสซิลไปถึงระดับครึ่งหนึ่งของศตวรรษที่แล้ว”
“มันเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในหน้าประวัติศาสตร์การพัฒนาของมนุษย์”
“พวกเรายังไม่พึงพอใจกับความสำเร็จนี้ พวกเรายังได้โปรโมตพลังงานสะอาดที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเผยแพร่ความสะดวกสบายจากเทคโนโลยีนี้ไปยังพื้นที่ห่างไกลมากขึ้น”
“ประเทศที่มีอารยธรรมเผยแพร่อารยธรรม ประเทศป่าเถื่อนเผยแพร่ความป่าเถื่อน เราได้ทำตามความรับผิดชอบของเราและได้เป็นตัวอย่างในการสร้างชุมชนที่แบ่งปันอนาคตร่วมกันสำหรับมนุษยชาติ”
“ขอบคุณครับ”
การกล่าวพูดสิ้นสุดลง และมีเสียงปรบมือดังมาจากผู้ชม
ลู่โจวได้ทำตามความรับผิดชอบในฐานะ ‘มาสคอต’ เขาพยักหน้าเบาๆ แล้วกำลังจะเดินลงจากเวที แต่จู่ๆ มีผู้ชมคนหนึ่งยกมือขึ้น
เด็กหญิงในชุดเดรสสีเขียวพร้อมหมวกเบสบอลสีเขียวลุกขึ้นยืนโดยถือปากกาในมือ จากนั้นเธอก็พูดด้วยท่าทีไม่สุภาพ
“ฉันมีคำถามค่ะ”
“ดูเหมือนว่าผมไม่สามารถปฏิเสธได้” ลู่โจวไม่รู้ว่าทำไมเด็กสาวคนนี้ถึงมีความดุดันในแววตา เขายังจ้องมองเธออยู่ แล้วพยักหน้าให้อย่างสุภาพและพูดว่า “เพื่อความสะดวก ผมขอถามชื่อหน่อยได้ไหม?”
“เรียกฉันว่าเกรต้าแล้วกัน” เธอไม่ได้ปิดบังความดุดันในแววตาของตัวเองเลย เธอมองดูลู่โจวและพูดว่า “คุณลู่โจว ในความเห็นของคุณ การพัฒนาทรัพยากรดวงจันทร์ถือว่าเป็นสิ่งที่ประเทศทำให้กับโลกได้หรือไม่?”
ลู่โจวตอบ “แน่นอนครับ”
ไหล่ของเด็กสาวคนนี้สั่นเครือ และเธอพูดต่ออย่างเกรี้ยวกราด “กล้าดียังไง! ”
“ฉันได้ยินมาว่าการใช้ทรัพยากรของดวงจันทร์มากเกินไปจะส่งผลต่อสภาพแวดล้อมคลื่นของโลก มันจะฆ่าปลา ทำให้โลมาสับสน แล้วสร้างความเสียหายถาวรต่อสภาพแวดล้อมทางนิเวศวิทยาสัตว์น้ำ ทำไมเราไม่ถนอมแค่บ้านของเรา ทำให้โลกดีขึ้น แทนที่จะส่งออกปัญหาแย่ๆ ไปที่อื่น?”
ลู่โจวยืนนิ่งให้เธอพูดจนจบ
“ดูเหมือนว่าคุณได้ยินมาหลายเรื่อง นอกจากที่ได้ยินมา คุณได้ค้นคว้าเองบ้างไหม?”
เด็กหญิงคนนี้อึ้งไป เธอดูเหมือนจะไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของการค้นคว้า
เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้พูดอะไรต่อ ลู่โจวยิ้มเบาๆ และพูดต่อ “ดูเหมือนว่าคุณมีพื้นเพด้านศิลปศาสตร์แต่ขาดการคิดเชิงวิทยาศาสตร์”
เมื่อเห็นว่าเธอถูกจี้ใจดำ ลู่โจวไม่รู้สึกโกรธ เขาเพียงแค่ยิ้มให้เธอด้วยความเห็นใจ
หลังจากคิดอยู่ชั่วครู่ เขาพูดต่อ “ถ้าเกิดดวงจันทร์หายไปกะทันหัน เรื่องทั้งหมดที่คุณพูดนั้นก็เป็นไปได้ และคลื่นจะพัดท่วมเมืองชายฝั่งในทันที แต่ถ้ามันเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นช้าๆ เรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย นอกจากนี้การพัฒนาทรัพยากรดวงจันทร์เป็นเรื่องระดับเล็ก และสิ่งมีชีวิตจะปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติในสิ่งแวดล้อม เหมือนกับที่พวกนั้นทำมาตลอดหลายพันล้านปี”
เธอไม่พอใจกับคำอธิบายนี้ แล้วเด็กสาวตัวสั่นด้วยความโมโห เธอจ้องมองลู่โจว
“ทำไมเราถึงบังคับให้สิ่งที่ชีวิตปรับตัวกับปัญหาที่เราสร้างขึ้นล่ะ? เพื่อสนองแค่ความต้องการเห็นแก่ตัว?”
เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากประเทศอื่นที่นั่งอยู่ในกลุ่มผู้ชมกำลังจะหลับจากที่ฟังเด็กสาวคนนี้ แต่ตอนนี้สายตาของพวกเขาจับจ้องที่ลู่โจว โดยรอดูว่าเขาจะทำอย่างไรต่อ
แต่ว่าพวกเขาไม่ได้รับสิ่งที่คาดหวังไว้
เมื่อลู่โจวถูกเกรต้ากล่าวหา ท่าทีของเขาสงบนิ่งมาก มันไม่มีการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์เลย
“คุณคิดว่าการให้คนมากขึ้นได้ใช้ชีวิตเป็นเรื่องเห็นแก่ตัวเหรอ?” ลู่โจวมองดูเด็กหญิงคนนี้แล้วพูดต่อ “หรือคุณคิดว่าเราควรกลับไปเป็นคนป่าเถื่อน แล้วกลับไปสู่ธรรมชาติ?”
“ทำไมพวกเราไม่—”
“หยุดฝันเถอะครับ”
ลู่โจวพูดตัดบทเธอแล้วมองดูเกรต้าด้วยสีหน้านิ่ง เขามองผ่านใบหน้าบิดเบี้ยวของเธอไปมองดูกลุ่มคนที่ใส่เสื้อกั๊กเขียวเหมือนกับเธอ
เขาพูดด้วยน้ำเสียงมีเหตุผลและจริงจัง
“ปัญหาที่ทุกสิ่งมีชีวิตเจอคือการขาดพื้นที่อยู่อาศัย เนื่องจากประชากรโลกเพิ่มมากขึ้นต่อไป ไม่ช้าก็เร็ว ทางออกเดียวที่มีคือการขยายอาณาเขตไปนอกโลก”
“ผมไม่ได้พูดล้อเล่น”
“เราไม่สามารถอาศัยอยู่ในเปลไปได้ตลอด ถึงแม้มันจะสะดวกสบาย สบายจนมันยากที่จะหาสิ่งทดแทนในระบบดาวเคราะห์อื่น มันก็มีขีดจำกัดในเปลนี้”
“วันที่ถึงขีดจำกัดนั้นได้สามารถถูกทำให้ล่าช้าไปได้ แต่มันก็จะมาถึงในที่สุด การสำรวจอวกาศไม่ได้ทำให้ความต้องการเห็นแก่ตัวพึงพอใจได้ มันเป็นการช่วยเหลือตัวเองในระยะยาว”
“ใช่แล้ว ในไม่ช้าก็เร็ว เราก็ต้องส่งออกปัญหาออกไปนอกโลก”
ลู่โจวเหลือบมองกล้องที่กำแพง แล้วชำเลืองมองเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากหลายประเทศ แล้วก็ประชาชนที่กลั้นหายใจลุ้นระทึก
“สิ่งนี้ไม่ได้เป็นการตอบสนองความต้องการที่เห็นแก่ตัว”
“สิ่งนี้มันเกิดขึ้นด้วยความจำเป็น”