Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1285 ปฏิบัติการแดนดิไลออน
- Home
- Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ
- ตอนที่ 1285 ปฏิบัติการแดนดิไลออน
ณ แอฟริกาตะวันออก
ในเอลวัค โซมาเลีย
สถานที่แห่งนี้อยู่ตรงละติจูดสูงและตั้งอยู่ในพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยหุบเขา น้ำสะอาดเป็นทรัพยากรหายาก มันไม่มีทั้งแหล่งแร่ธาตุหรือดินอุดมสมบูรณ์ แต่มันกลับเต็มไปด้วยความยากจนและความหิวโหยไม่มีขีดจำกัด
เว้นเพียงแต่องค์กรหัวรุนแรง กลุ่มประชาชนติดอาวุธ และพ่อค้าอาวุธ แทบไม่มีใครสนใจเลยในดินแดนอันแสนแห้งแล้งนี้
และถึงแม้ว่าสำหรับคนที่สนใจในดินแดนนี้ ความสนใจแทบจะไม่ได้พุ่งไปที่ตัวดินแดนเอง แต่กลับเป็นที่เมืองใกล้เคียง หมู่บ้าน และทรัพยากรการกุศล
ในอดีต ถึงแม้ว่าพวกเขาจะปล้นสะดมและลักพาตัวคนอื่น แต่พวกเขาไม่ค่อยฆ่าคน หน่วยงานทางการใกล้เคียงเกลียดโรคร้ายที่ดื้อดึงนี้ แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ ถึงแม้ว่าประเทศเพื่อนบ้านได้ขอการสนับสนุนด้านการทหารมากกว่าหนึ่งครั้ง ทางการก็ไม่สามารถเข้าช่วยเหลือได้
ดังนั้นพื้นที่โซนนี้เต็มไปด้วยเรื่องวุ่นวายและความเลวร้าย และมันยังคงสมดุลประหลาดนี้มานานกว่าสิบปี มันกลายเป็นที่บ่มเพาะเชื้อร้ายน่าสะพรึงกลัว
แต่ช่วงนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป
หน่วยทหารจำนวนมากเริ่มรวมตัวในพื้นที่แห่งนี้ ตำรวจและทหารในเมืองใกล้เคียงตั้งจุดตรวจตามถนนเส้นหลัก โดยล้อมพื้นที่ทั้งหมดจากภายในและภายนอก
แพะป่าที่อาศัยอยู่แถวนี้ยังได้กลิ่นดินปืนที่ค่อยๆ อบอวลในอากาศ
มันเหมือนราดน้ำมันเข้ากองไฟ พื้นที่เอลวัคที่มั่นคงเป็นเวลาหลายทศวรรษได้ตกอยู่ในความโกลาหลทันที
“ทำไมไม่ปล่อยให้ที่นี่เน่าไปล่ะ?”
ผู้พันอบาติยืนอยู่ข้างนายพลคัทซ์โน เขาหรี่ตามองดูทีมทหารที่อยู่ใกล้เคียงในขณะที่เขาพูดว่า “ผู้คนที่อยู่ที่นี่ไม่ใช่คนโซมาเลีย ทำไมพวกเราไม่ปล่อยให้คนพวกนี้ดูแลตัวเองล่ะ?”
เอลวัคค่อนข้างรับมือยาก
ถึงแม้ว่าทหารอเมริกาลงจอดที่นี่ มันก็ยากที่จะจำกัดเนื้อร้ายออกจากทะเลทราย
ปัญหาหลักคือกองทหารที่อยู่ในพื้นที่ท้องถิ่นไม่ยอมรบกับพวกเขาที่สนามรบแนวหน้า แต่พวกเขาจะพึ่งพาภูมิประเทศซับซ้อนเพื่อจู่โจมแบบกองโจรใส่
ไม่ใช่แค่นั้น ตอนนี้พวกเขามีแค่กองทหารราบสามหน่วย ถึงแม้ว่าจำนวนทหารจะเพิ่มเป็นสองเท่า มันก็ยากที่จะโจมตีกองกำลังท้องถิ่น
“เนื่องจากไอ้งั่งที่เป็นเจ้าของพื้นที่นี้ทำเรื่องโง่ๆ และทำให้คนสำคัญอารมณ์เสีย แล้วตอนนี้เราต้องโน้มน้าวให้มหาอำนาจในตะวันออกเชื่อว่าเราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคนกลุ่มนี้”
นายพลคัทซ์โนถือกล้องส่องทางไกลในมือ แววตาดุจเหยี่ยวเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมในระหว่างที่เขาพูดว่า “แล้วก็ พวกเขาสัญญาว่าจะสนับสนุนเราในการยึดพื้นที่นี้คืนมา และช่วยเราสร้างมันขึ้นมาใหม่”
“สนับสนุน? สนับสนุนอย่างไร? จู่โจมทางอากาศ? หรือว่าแจกใบปลิว?”
ผู้พันอบาติมีสีหน้าหยิ่งทะนง
มันเป็นความผิดพลาดที่คนทั่วไปทำเมื่อเขาแทรกแซงธุรกิจของโซมาเลีย
เมื่อทหารบุกเข้าเมือง ตรอกซอย และภูเขาลึก หรือแม้แต่ว่าเครื่องบินรบอเมริกันถูกใช้งาน มันก็จะไม่ช่วยอะไร
การสู้รบนี้ดูไม่น่าจะรอดได้เลย
พวกเขาจะทำให้ภูมิภาคที่มั่นคงในที่สุดเข้าสู่ความวุ่นวายอีกครั้ง ซึ่งทำให้ประเทศอื่นเห็นได้ถึงความขาดศักยภาพในการรับมือความขัดแย้งด้านการทหารรอบโลก ไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจนเกิดขึ้น
“พวกนั้นไม่ได้พูดเกินจริง พวกนั้นแค่บอกให้พวกเรารอ” นายพลคัทซ์โนวางกล้องส่องทางไกลในมือลงระหว่างที่เขาพูดเรียบๆ ว่า “อย่างไรก็ตามเราไม่จำเป็นต้องเป็นคนเริ่ม เราเพียงแค่ต้องรออยู่เงียบๆ”
…
บนเขาหุบเหว มาแรคที่ใส่ชุดแฝงตัว มองดูสถานีทหารที่ห่างออกไปโดยถือกล้องโทรทรรศน์ในมือ แววตาเขาเต็มไปด้วยความร้อนรน
ชายร่างกำยำที่พาดปืนอาก้าไว้ที่หลังคืบคลานมาจากภูเขาข้างหลังเขาและรายงานให้เขาทราบด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย
“ทางการโซมาเลียได้เริ่มทหารอย่างน้อยสามกองทัพที่นี่ มันดูเหมือนว่าพวกนั้นตั้งใจเข้ากวาดล้างเรา”
“แล้วชายแดนระหว่างเคนย่ากับเอธิโอเปียล่ะ?”
ชายผิวเข้มกลืนน้ำลายและพูดว่า “พวกนั้นปิดชายแดนแล้วเพิ่มหน่วยลาดตระเวน…”
เส้นทางหลบหนีถูกปิดกั้น…
สถานการณ์ค่อนข้างร้ายแรงและมันได้มาถึงจุดวิกฤติ
แต่แทนที่จะมีความกลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายมีเครา กลับมีรอยยิ้มโหดร้ายขึ้นมาแทน
ทหารของเขายืดมั่นในดินแดนนี้ นอกจากเขาก็ยังมีขุนศึกคนอื่นอีก
ถึงแม้ว่าพวกนั้นมักกระจายห่างกันออกไป เมื่อพวกเขาเจอกับการรุกรานจาก ‘กองกำลังภายนอก’ หรือใครก็ตามที่พยายามควบคุมพื้นที่แห่งนี้ หน่วยติดอาวุธทุกหน่วยจะละภารกิจของกลุ่มตัวเองชั่วคราวแล้วร่วมมือยืนหยัดกัน
มาแรคไม่ได้กังวลว่าจะพ่ายแพ้เลย
แล้วเขายังมีอาวุธมูลค่าหลายสิบล้านดอลลาร์อยู่ในมือ ถึงเขาไม่มีอาวุธเหล่านี้ เขาก็ไม่กลัวกองทหารจากประเทศใกล้เคียง
เมื่อสงครามนี้ถูกลากเข้าไปในเกมชักเย่ออันโหดเหี้ยม ผู้อพยพที่อยู่ผิดที่ผิดทางจะเข้าทั้งภูมิภาคแอฟริกาตะวันออก ทางการโซมาเลียที่อ่อนแอจะไม่สามารถต้านทานแรงกดดันจากภายในและภายนอกได้
แต่ในตอนนี้เขารู้สึกถึงความไม่สงบสุข
เขารู้สึกเหมือนว่ามีสัตว์ดุร้ายกำลังสะกดรอยตามอยู่
จู่ๆ มาแรคนึกอะไรออก เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
แต่มันไม่มีอะไรนอกจากฟ้าปลอดโปร่ง ไม่มีอะไรที่อาจส่อถึงเครื่องบินรบหรือเมฆแม้แต่ก่อนเดียว
ทำไมฉันถึงรู้สึกแบบนี้?
ความกระวนกระวายในใจรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
มาแรคกำหมัดแน่น เมื่อเขากำลังคิดว่าจะกลับไป จู่ๆ เขาเห็นจุดดำบางจุดบนท้องฟ้า
จุดสีดำมีขนาดเล็กมาก
ถ้าเขาไม่ได้หันไปมองทางนั้น เขาคงไม่ได้สังเกตมัน
มาแรคกลืนน้ำลายและหยิบกล้องโทรทรรศน์ขึ้นมา
“พระเจ้า นั่นมันอะไร?”
แต่ก่อนที่เขาจะคิดได้ มีแรงสั่นเทารุนแรงเกิดขึ้นใต้เท้าของเขา มีไฟและควันพุ่งมาจากระยะที่ห่างไปสองกิโลเมตร แล้วเขาเกือบล้มลง
เมื่อเขายืนตัวตรงแล้วมองไปทางนั้น เลือดสูบฉีดแล่นขึ้นไปถึงสมอง
“ไม่!”
มันเป็นแหล่งเก็บกระสุนที่เขาจัดวางไว้แถวนี้ ซึ่งมีทั้งกระสุนปืนและระเบิดแสวงเครื่องที่ใช้ก่อสงครามกองโจรได้ถึงสองครั้ง
มาแรคจ้องมองลูกไฟที่สว่างวาบไปทั่วท้องฟ้า ตาของเขาปูดเส้นเลือดขึ้นในระหว่างที่เขาเงยหน้ามองฟ้าเพื่อหาต้นตอการจู่โจมทางอากาศ
ทว่าศัตรูเหมือนไม่มีอยู่จริง
แหล่งเก็บอาวุธและกระสุนถูกทำลาย นั่นเป็นเพียงหลักฐานเดียวว่ามีบางอย่างบินอยู่เหนือหัวพวกเขา
มาแรคหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาแล้วใช้แรงทั้งหมดที่มีพูดออกมา เขาสั่งให้ลูกน้องที่รอดชีวิตย้ายอาวุธไปที่ปลอดภัยและสั่งให้ทหารที่แนวหน้ากระจายตัวทันที พวกเขาเตรียมแยกตัวแล้วเริ่มการสู้อย่างร้อนรนกับกองกำลังศัตรู
แต่มาแรคไม่รู้เลยว่าการจู่โจมทางอากาศรอบแรกเป็นแค่การเริ่มต้น
ฝันร้ายของพวกเขาเพิ่งเริ่มขึ้น
จุดสีดำที่ลอยอยู่บนฟ้าได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงในที่สุด
สิ่งพวกนั้นเป็น ‘หลุมศพสีดำ’ ที่ผูกติดกับร่มชูชีพ
พวกมันใหญ่กว่าแคปซูลอากาศของกองรบอากาศเพียงเล็กน้อย
พวกมันเป็นเหมือนดอกแดนดิไลออนที่กระจายตัวออกลงสนามรบ พวกมันลงสู่พื้นดินในแนวตั้ง
หลังจากที่ลงจอดอย่างราบรื่น เปลือกนอกสี่ด้านของโลกสีดำเปิดออกทีละด้าน ซึ่งเผยให้เห็นโดรนที่อยู่ข้างใน
สัญญาณไฟสว่างขึ้นในทันที มอเตอร์ไฟฟ้าเริ่มส่งเสียง แล้วโดรนต่างบินออกมาเหมือนตัวต่อแตกจากรัง จากการชี้นำโดยดาวเทียม และเทอร์มินัลภาคพื้นดิน โดรนพวกนี้บินเข้าสนามรบ
พวกโดรนมีขนาดใหญ่กว่าลูกบาสเล็กน้อย ลำกล้องขนาดเล็กและแม็กกาซีนที่เผยออกมาถูกห้อยไว้ใต้เพลาโดรน การบินโฉบหนึ่งครั้งสามารถยิงกระสุนได้เป็นสาย
เปลวไฟจากท้องฟ้าและแสงแฟลชจากปืนได้สะท้อนความกลัวบนหน้าของทหารรบ การจู่โจมทางอากาศโดยไม่ทราบที่มาทำลายแหล่งเก็บกระสุนเกือบทั้งหมดบนภาคพื้นดินและแหล่งเก็บอาวุธในอุโมงค์ ตอนนี้พวกเขายังต้องเผชิญกับกลุ่ม ‘ผึ้ง’ สังหาร
มันแทบเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะเล็งยิงโดรนที่ห่างออกไปหลายร้อยเมตร ในอีกแง่หนึ่ง โดรนพวกนี้บินเข้าออกสนามรบได้อย่างอิสระ
มาแรครู้เรื่องโดรนเยอะ เมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมรบส่วนมากเขามีประสบการณ์ที่แอฟริกาเหนือกับหน่วยทหารอเมริกา
ในความเป็นจริงการยิงโดรนเหล่านี้ให้ตกลงเป็นเรื่องง่าย เมื่อพวกมันบินผ่านมาถ้าเกิดเล็งไปทิศทางบินก็จะสามารถยิงโดรนตกได้ง่าย
พวกเขาไม่ต้องการปืน แค่หินก็เอาอยู่
แต่มันดูเหมือนว่าโดรนพวกนี้มีสมอง โดรนพวกนี้ทั้งใช้บังเกอร์เพื่อหลบการยิงปะทะ แล้วพวกมันยังใช้การยิงกดพื้นฐานและใช้กลยุทธ์เข้าล้อมเพื่อจัดการกับการป้องกันที่คงที่ไว้
มันราวกับว่าโดรนทุกตัวถูกควบคุมโดยวิศวกรอุปกรณ์ไร้คนขับผู้เชี่ยวชาญ…
…
เปลวไฟที่ทะยานขึ้นฟ้าได้บดบังดวงอาทิตย์ในขณะที่ควันโขมงจากหุบเขากลายเป็นก้อนเมฆบนท้องฟ้า ลมพัดทรายสีเหลืองไปทั่วสนามรบโกลาหล
มาแรคกำลังตามหาร่องรอยผู้ทิ้งระเบิด ทหารโซมาเลีย การ์ดชายแดน และแม้แต่ฐานทัพอเมริกาที่ห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตร ต่างลุกลี้ลุกลนตามหาแหล่งที่มาของการจู่โจมทางอากาศ
มันไม่มีร่องรอยขอเครื่องบินแม้แต่ลำเดียวบนเรดาห์
พวกเขายังตรวจจับนกไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว!
จู่โจมทางอากาศ?
มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?!
มันสามารถมีการโจมตีปืนใหญ่ที่แม่นยำได้อย่างไร?!
และที่สำคัญที่สุด พวกนั้นหาแหล่งเก็บกระสุนเจอได้อย่างไร!
พวกนั้นเดาเอาเหรอ?
นายพลคัทซ์โนวางกล้องโทรทรรศน์ในมือลง สายตาของเขาเต็มไปด้วยความตะลึง
ผู้พันอบาติยืนอยู่ข้างเขา ผู้พันก็อึ้งเช่นกัน
เขากลืนน้ำลายและถามว่า “มันมีการจู่โจมทางอากาศที่ทาง PLA ประกาศใช่ไหม?”
“ใช่ครับ…”
“ได้ยินเสียงเครื่องบินรบบ้างไหม?”
“ไม่เลย…เรือบรรทุกอากาศยานของพวกนั้นยังอยู่ที่ทะเลจีนตะวันออก”
“เครื่องบินอะไรบินเร็วขนาดนี้?”
“ไม่รู้สิ อย่าถามผมเลย”
“งั้น…เราควรเดินหน้าต่อใช่ไหม?”
“ขึ้นรถก่อน…”
มันไม่มีความลุ้นระทึกในการสู้รบอีก
มันดูเหมือนว่าแผนรับมือฉุกเฉินที่ถกกันในการประชุมรบถูกใช้งาน
แน่นอนว่ามันเกือบเป็นเรื่องดี
พวกเขามีความรู้สึกรุนแรงว่า…
สงครามนี้จะจบลงอย่างรวดเร็ว