Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1402 ลงสู่นรก
หลังจากนั่งรถเป็นเวลา 20 นาที รถสำรวจก็มาถึงเขตพื้นที่ของเดอะเกตส์ออฟเฮลล์
ฟานถงพบเส้นทางที่รถสำรวจดาวอังคารสามารถขับเข้าไปได้ ฟานถงหมุนพวงมาลัยและขับรถสำรวจเข้าไป
รถสำรวจขับไปในเส้นทางที่แคบและขรุขระสู่ส่วนลึกของภูเขา สัญญาณได้รับผลกระทบจากฮีมาไทต์ที่อยู่ใกล้เคียงและเริ่มลดลงเรื่อยๆ
ออเบรย์เหลือบไปมองหน้าผาสูงชันและกำแพงหินที่อยู่รอบๆ ตอนที่เขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศหดหู่ เขาหดคอและพูดออกมา
“ทำไมที่นี่จึงถูกเรียกว่าเดอะเกตส์ออฟเฮลล์เหรอครับ พวกคุณไม่รู้สึกประหม่ากับชื่อของมันกันบ้างเหรอ”
ฟานถงพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“ผมเกรงว่าคุณคงต้องถามนาซาเองแล้วล่ะเพราะพวกเขาเป็นคนตั้งชื่อมัน”
ในฐานะองค์กรแรกที่ส่งเครื่องมือตรวจสอบมายังดาวอังคาร ผืนดินส่วนใหญ่ถูกตั้งชื่อโดยกลุ่มสำรวจ
บางทีนักวิจัยวิทยาศาสตร์ที่ทำหน้าที่ตั้งชื่อในตอนนั้นอาจจะรู้สึกว่าชื่อนั่นมีรสนิยมก็ได้ มันก็ยากที่จะตัดสินว่ามันเป็นชื่อที่มีรสนิยมหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ มันเป็นชื่อที่เข้ากับสถานที่จริงๆ
“รอบๆ เดอะเกตส์ออฟเฮลล์จะมีรอยแตกหลายเมตรปรากฏอยู่ ร่องรอยเหล่านี้คล้ายกับรอยแตกของแผ่นดินไหว ซึ่งคุณสามารถตรงเข้าไปยังซากปรักหักพังได้ แน่นอนว่ารอยแตกเหล่านี้ไม่ใช่วิธีเดียวที่จะเข้าซากปรักหักพัง ตอนที่ผมออกมาผมเดินผ่านทางเข้าจริงๆ ของมัน มันน่าจะตั้งอยู่ตรงกลางเดอะเกตส์ออฟเฮลล์ที่ถูกตรึงด้วยกำแพงหินทั้งสองข้าง…อยู่นั่นไง เรามาถึงแล้ว”
เขาดับเครื่องยนต์รถสำรวจ รถค่อยๆ จอดตรงสันเขา หลังจากที่ลงจากรถกันแล้ว พวกเขาเดินตามฟานถงไปยังเสาหินที่มีความสูงประมาณสี่ถึงห้าเมตร
ด้านหลังเสาหินคือทางลาดลงที่สูงชัน
เมื่อแสงอรุณส่องกระทบหลังเสาหิน ผู้คนอดไม่ได้ที่จะจ้องมองด้วยความกลัวเกรงราวกับปาฏิหาริย์ทางธรรมชาติ
สิ่งที่เห็นดูเหมือนโบราณวัตถุ
“แปลกมาก…”
ศาสตราจารย์เวอร์นัล นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ขมวดคิ้วและเดินไปยังเสาหิน เขานั่งยองๆ และคลำพื้นผิวของเสาหินอยู่สักพัก แล้วเขาก็พูดขึ้นมาว่า
“นี่คือสภาพแวดล้อมการตกตะกอนของน้ำเหรอ”
ความประหลาดใจปรากฏบนใบหน้าของฟานถง เขาพยักหน้าและพูด
“ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน หลายพันปีก่อนที่นี่น่าจะเป็นมหาสมุทร”
“ระดับความสูงของมันค่อนข้างลึกทีเดียว” ศาสตราจารย์เวอร์นัลใช้ฝ่ามือลากโครงร่างของเสาหินและสัมผัสพื้นผิวที่แข็งทื่อผ่านชุดของเขา เขาพึมพำ “สภาพแวดล้อมทางอุทกธรณีวิทยาที่นี่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มันน่าจะมีภัยพิบัติทางธรณีวิทยาครั้งใหญ่หลายครั้งในอดีต การปะทุของภูเขาไฟ การชนกันของแผ่นเปลือกโลก และการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกแบบพิเศษที่ไม่มีให้เห็นบนโลก… นี่มันเหลือเชื่อจริงๆ”
“มาสนใจซากปรักหักพังใต้ดินกันดีกว่า” นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ออเบรย์เดินน้ำหน้าคนอื่นๆ และหันกลับมามองลู่โจว “คุณคิดว่าอย่างไรบ้าง หัวหน้า”
“ผมไม่มีความเห็นอะไรทั้งนั้น แต่ถ้าเรายังยืนอยู่ข้างนอกเราก็คงไม่เจออะไร” ลู่โจวคิดเรื่องนั้นอยู่สักพักและพูดต่อ “ไปกันเลย ผมจะเป็นคนนำเอง”
หวังเผิงยกมือขึ้นพร้อมปืนไรเฟิลในมือและเดินตรงไปที่ทางเข้าถ้ำ
“ผมเข้าไปก่อน”
ออเบรย์และเวอร์นัลมองหน้ากันแปลกๆ ฟางถงยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ เขาโยนหินตัวอย่างที่เขาถือในมือ
“ผมบอกแล้วว่าอาวุธนั่นไร้ประโยชน์ แต่ถ้าคุณยังยืนกรานแบบนั้น อยากทำอะไรก็เชิญเลย”
แต่การมีคนถือปืนนำทางทำให้คนในกลุ่มรู้สึกปลอดภัย
แม้ว่าทุกคนจะรู้อยู่แก่ใจว่าถ้าเกิดมีมนุษย์ต่างดาวอยู่จริงๆ อาวุธบนโลกก็คงจะป้องกันอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยในแง่ของจิตวิทยา ปากกระบอกปืนก็ยังทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจอยู่ดี
ชูลทซ์ถามเงียบๆ ขณะที่เดินข้างๆ ลู่โจว “คุณแน่ใจเหรอว่าสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารตายแล้ว”
ลู่โจวมองดูสภาพแวดล้อมรอบๆ อย่างระมัดระวัง เขายักไหล่และตอบด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ “ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน…แต่ถ้าพวกเขายังไม่ตายเราก็น่าจะเห็นพวกเขาจากโลกมาตั้งนานแล้ว”
ถ้าพวกเขาสามารถอยู่รอดในจักรวาลนี้นานหลายพันปี..
ถ้าหากว่าพวกเขาไม่สามารถควบคุมทางช้างเผือกได้ พวกเขาก็น่าจะควบคุมระบบสุริยะมานานแล้ว
ดร.โลโมนอฟ วิศวกรการบินและอวกาศที่ยังไม่ได้พูดอะไร จู่ๆ ก็พูดขึ้น “ถ้าเกิดว่าเราเคยเจอพวกเขาแล้ว แต่เราไม่รู้ตัวล่ะ”
ออเบรย์ตัวสั่นเทา เขาพูดพร้อมกับไอแห้งๆ
“อย่าพูดแบบนั้นสิ”
คนทั้งหมดเดินตรงไปยังส่วนลึกของอุโมงค์
จนถึงตอนนี้การสำรวจยังคงราบรื่นดี โดยไม่มีการบิดหรือเปลี่ยนทิศทาง
พวกเขาอาศัยเครื่องหมายที่ฟานถงทิ้งไว้ตอนที่เขาออกมา พวกเขาจึงเดินเข้าไปในถ้ำประมาณสองกิโลเมตรอย่างราบรื่น จากข้อมูลที่แสดงจากเครื่องตรวจจับความลึก ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ความลึกจากน้ำทะเลมากกว่า 200 เมตร
ขณะที่พวกเขาเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ความรู้สึกที่ผิดปกติจากอารยธรรมก็มีมากขึ้นเช่นกัน พวกเขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นทารกถูกตัดจากสายสะดือและถูกโยนลงไปในบ่อน้ำลึก
พวกเขาพูดกันน้อยลงเรื่อยๆ ทุกคนยังคงอยู่ในความเงียบ
จู่ๆ ฟานถงก็หยุดเดินและมองไปยังทางแยกที่อยู่ข้างหน้า
“มีบางอย่างผิดปกติ…”
ทุกคนหยุดเดิน
ลู่โจวชำเลืองมองเขาด้วยความสงสัย
“อะไรเหรอ?”
“เครื่องหมายจบลงตรงนี้”
ฟานถงเดินไปยังกำแพงหิน เขาเอื้อมมือออกไปคลำบนกำแพงหินอยู่สักพัก เขาพบรอยแยกบนกำแพงหิน
นี่คือเครื่องหมายที่ใช้พลั่วอเนกประสงค์ขุดตอนที่เขาออกมาจากซากปรักหักพังใต้พื้นดิน เดิมทีแล้วเบาะแสนี้ควรชี้ตรงไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของซากปรักหักพัง แต่มันถูกตัดออกไปแล้ว
ฟานถงมองดูทางแยกที่อยู่ตรงหน้าเขา สีหน้าของเขาเคร่งขรึมในขณะที่พึมพำกับตัวเอง “เข้าใจแล้ว…เส้นทางที่อยู่ด้านในซากปรักหักพังเกิดการเปลี่ยนแปลง ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยเห็นทางแยกและผมเดินประมาณหนึ่งกิโลเมตรก่อนที่จะเห็นทางแยกที่หนึ่ง”
“แต่ตอนนี้มันกลับมาอยู่ตรงนี้”
“ผมเกรงว่าเรื่องมันจะไม่ง่ายขนาดนั้น”
ศาสตราจารย์เวอร์นัลก้าวออกมาและนั่งยองๆ ตรงทางแยก เขาใช้พลั่วอเนกประสงค์ในมือขุดกำแพงหิน เขาขยี้เศษหินในมือ
“เหลือเชื่อเลย”
ชูลทซ์กลืนน้ำลายพลางมองไปที่เขาและพูด “อะไรเหรอที่เหลือเชื่อ”
“สามพันปีก่อน…หรืออาจจะนานกว่านั้น ที่นี่น่าจะเป็นถ้ำที่ถูกปกคลุมด้วยโลหะผสม” ศาสตราจารย์เวอร์นัลยืนขึ้นและค่อยๆ เก็บตัวอย่างลงในถุงตัวอย่างด้วยความระมัดระวัง เขาทำเครื่องหมายลงบนฉลากตัวอย่างและพูด “แม้ว่าร่องรอยของอารยธรรมจะผุกร่อนไปตามกาลเวลา แต่ก้อนหินก็ไม่โกหก”
ศาสตราจารย์ออเบรย์ขมวดคิ้ว
“พวกคุณพูดถึงเรื่องอะไรกัน”
“สิ่งที่ผมกำลังจะบอกก็คือถ้าดูจากสภาพที่ผุพังของเส้นทางแล้ว โครงสร้างของเส้นทางซ้ายมือดูซับซ้อนกว่าเส้นทางขวามือ” หลังจากที่ศาสตราจารย์เวอร์นัลเหลือบไปมองฟานถง เขามองลู่โจวและพูด “คุณเป็นหัวหน้า คุณเลือกได้เลยว่าต้องไปทางไหน”