Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1403 แยกกัน
“มาแยกกันดีกว่า”
ลู่โจวมองไปยังทางแยกทั้งสองทางตรงหน้าและครุ่นคิดอยู่สักพัก หลังจากนั้นก็พูดขึ้น “พวกเราจะไปทางเส้นทางขวามือ ส่วนคุณพาอีกคนไปสำรวจเส้นทางซ้ายมือ ถ้าเจอทางตันก็ให้กลับมา”
“ผมเกรงว่าจะทำแบบนั้นได้ยาก” ฟานถงพูด “เส้นทางใต้ดินจะเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลวัตในทุกๆ สองชั่วโมง ถ้าหากเรากลับมาเส้นทางเดิน เราก็จะไม่โผล่มาที่เดิม”
สมาชิกทีมสำรวจต่างก็อึ้งไป ยกเว้นหวังเผิงและลู่โจวที่มีท่าทีใจเย็น คนอื่นๆ ต่างแสดงท่าทีประหลาดใจ
ออเบรย์อดไม่ได้ที่จะพูด “มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน เส้นทางเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร ที่นี่มีผีหรือไง”
สีหน้าของศาสตราจารย์เวอร์นัลเต็มไปด้วยความตกใจ น้ำเสียงของเขามีความคลางแคลงใจอยู่ในนั้น
“แม้จะเกิดการเคลื่อนไหวของผิวโลกที่รุนแรงก็จริง แต่สองชั่วโมงมันสั้นไป”
“ถ้าเรากลับมาทางเดิมไม่ได้ เราก็มาเจอกันตรงทางเข้าก็แล้วกัน” ลู่โจวมองไปข้างหน้าและพูด “ไหนๆ ทุกเส้นทางก็ไปจบที่จุดเดียวกันอยู่แล้ว เราก็ค่อยไปเจอกันที่จุดสิ้นสุดก็ได้”
ชูลทซ์สูดลมหายใจเข้า หลังจากนั้นเขายืนขึ้นและมองไปที่ลู่โจว
“ผมจะไปกับศาสตราจารย์เวอร์นัล คุณกับผมเราทำงานร่วมกันในบทความการพิสูจน์ข้อคาดการณ์ ABC ถ้าเกิดอะไรขึ้น อย่างน้อยหนึ่งในพวกเราก็ยังอยู่ที่นั่นได้”
ลู่โจวพยักหน้าเห็นด้วย
“ก็ได้ ชูลทซ์และศาสตราจารย์เวอร์นัลอยู่ในกลุ่ม A ส่วนคนที่เหลืออยู่กลุ่ม B เราจะมาเจอกันตรงทางเข้า”
หลังจากแยกเสบียงสำหรับทั้งสองกลุ่มแล้ว ทั้งสองกลุ่มก็เริ่มแยกทางและเดินต่อไปตามทางที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
มีอีกทางเลือกหนึ่งคือให้ทุกคนก้าวไปข้างหน้าและกลับมาพร้อมกัน แต่ลู่โจวไม่ได้ต้องการจะหาโบราณวัตถุศักดิ์สิทธิ์ เขาอยากจะเรียนรู้จากโบราณวัตถุมากกว่าเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอารยธรรมดาวอังคาร
เพราะความช่วยเหลือของศาสตราจารย์เวอร์นัล งานนี้ก็ไม่น่าจะเป็นงานที่ยากขนาดนั้น
อย่างที่ชูลทซ์พูด อย่างน้อยๆ หนึ่งในพวกเขาน่าจะเดินทางไปถึงจุดที่ลึกที่สุดของซากปรักหักพัง
ถ้าเกิดอีกทีมเจอเหตุการณ์อะไรขึ้น อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นโอกาสที่สอง…
ชูลทซ์เดินทางไปยังอุโมงค์แคบๆ พร้อมไฟฉายในมือ ความคาดหวังของเขาที่จะได้เจอร่องรอยของอารยธรรมชาวดาวอังคารหายไปอย่างสิ้นเชิง
พวกเขาเดินทางนานเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้วแต่ก็ยังไม่พบอะไรเลย
เขารู้สึกว่าตัวเขาและศาสตราจารย์เวอร์นัลเหมือนไก่ไม่มีหัว ที่วิ่งวุ่นในเขาวงกตนี้อย่างไร้เป้าหมาย
เขาอดไม่ได้ที่จะถาม
“คุณแน่ใจนะว่าที่นี่มีร่องรอยของอารยธรรมจริงๆ ”
น้ำเสียงของศาสตราจารย์เวอร์นัลเต็มไปด้วยความมั่นใจ ไม่เหมือนกับชูลทซ์ เขาพูดอย่างตื่นเต้น
“ผมมั่นใจมาก! บรรยากาศโดยรอบดูไม่เหมือนสิ่งที่ก่อตัวขึ้นเองตามธรรมชาติ มันคือเหล็กชนิดพิเศษที่ผสมกับโลหะหายาก ซึ่งเกิดขึ้นภายใต้การเกิดออกซิเดชั่นในระยะยาวและการแยกส่วนทางกลของฮีมาไทต์ที่มีโลหะหายากผสมอยู่ คุณรู้ไหม ฮีมาไทต์ปกตินั้นเปราะมาก”
“เปราะเหรอ”
“ใช่ เพียงแค่ขว้างลงบนพื้นหรือทุบมันก็แตกแล้ว…” ศาสตราจารย์เวอร์นัลหยิบพลั่วอเนกประสงค์ขึ้นมาแล้วทุบลงบนหินสีน้ำตาลแดงที่อยู่ด้านข้าง
หลังจากที่ก้าวไปสองก้าว ศาสตราจารย์เวอร์นัลมองชูลทซ์และยิ้ม
“เห็นไหม…พลั่วของผมสามารถทิ้งรอยไว้ได้เท่านั้น อย่าว่าแต่จะทำให้มันแตกเลย ผมเกือบจะทำมือหลุดด้วยซ้ำ”
ชูลทซ์ขมวดคิ้ว เขาไม่ค่อยแน่ใจว่าศาสตราจารย์เวอร์นัลพยายามจะบอกอะไร
แต่หลังจากที่ทิ้งพลั่วอเนกประสงค์ในมือ เวอร์นัลพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่น่าหลงใหล
“ที่นี่เคยเป็นอุโมงค์ที่ฉาบด้วยเหล็กกล้าผสม!
“มันมีอายุอย่างน้อยสามพันปี!
“เพราะเหตุผลบางอย่าง ชาวดาวอังคารดำลงมายังก้นทะเลและสร้างอุโมงค์นี้ ซึ่งก็คือซากปรักหักพังที่เราอยู่ตอนนี้ เทคโนโลยีและแรงจูงใจของพวกเขาสุดยอดมากๆ …บางทีอาจจะเป็นเพราะโบราณวัตถุศักดิ์สิทธิ์ ผมอยากรู้เข้าไปทุกทีว่าจุดสิ้นสุดของเส้นทางนี้จะเป็นอะไร!”
ชูลทซ์อ้าปาก หลังจากนั้นสักพัก เขาก็ทำการประเมินอย่างคลุมเครือ
“ฟังดูเหมือนนิยายไซไฟเลย”
ศาสตราจารย์เวอร์นัลหัวเราะและพูด “คนที่ศึกษาเกี่ยวกับฟอสซิลและหินมักจะสร้างเรื่องเก่ง โดยเฉพาะเรื่องราวหลายสิบล้านหรือหลายร้อยล้านปีที่แล้ว แต่สามพันปี พระเจ้า…ผมไม่เคยเจออะไรแบบนี้เลย แม้แต่อายุของเขาโรไรมาก็แค่สามร้อยล้านปีเท่านั้น ถ้าคุณต้องการตรวจสอบสถานที่โบราณขนาดนี้บนโลก คุณจะต้องระบายน้ำออกจากร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนาจนหมด ถ้าผมสามารถกลับไปและเขียนการค้นพบเหล่านี้ ผมจะต้องทำลายสถิติโลกแน่ๆ ”
สีหน้าของชูลทซ์ดูไม่ดี
“ไม่ใช่ถ้าเรากลับไปได้ แต่ตอนที่เรากลับไป”
เวอร์นัลยิ้มและตบบ่าของชูลทซ์
“ไม่ต้องกังวลไป นักคณิตศาสตร์หนุ่ม เราจะต้องกลับไปอยู่แล้ว…ผมก็แค่ตั้งสมมุติฐานขึ้นเฉยๆ นักโบราณคดีก็มีมุมมองชีวิตไม่ได้ต่างจากคุณหรอก อย่าโมโหไปเลย”
“ผมไม่ได้โมโห แต่ผมอยากรู้ว่าเราต้องเดินไปอีกนานแค่ไหน” ชูลทซ์มองไปรอบๆ และพูด “จากความเชี่ยวชาญของคุณ เส้นทางนี้มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า”
“ความเปลี่ยนแปลงอย่างเดียวก็คือจุดที่เราอยู่ตอนนี้ลึกขึ้นเรื่อยๆ หินที่อยู่ใกล้ๆ เราบ่งบอกว่ามีการบุกรุกของน้ำทะเลที่นี่เมื่อสามพันปีก่อน หรืออาจจะนานกว่านั้น น้ำทะเลหลายร้อยล้านตันไหลเข้ามาที่นี่ แรงดันรุนแรงฉีกผ่านโครงสร้างทั้งหมดที่ถูกออกแบบขึ้นในเส้นทางนี้ มันแห้งแล้งเมื่อหลายร้อนล้านปีก่อน”
ชูลทซ์หยุดเดิน
เขาเห็นศาสตราจารย์เวอร์นัลก้าวไปข้างหน้าสองก้าวแล้วหยิบทรายใกล้กำแพงขึ้นมาเต็มกำมือ
“คุณเจออะไรอีก”
ชูลทซ์ก้าวไปข้างหน้าและหยุดอยู่ข้างหลังเขา เขามองทรายที่อยู่ในมือของเวอร์นัล แต่ก็ไม่เห็นอะไรที่ผิดปกติ
“ทรายที่นี่เป็นของใหม่…” ศาสตราจารย์เวอร์นัลมองไปรอบๆ และพูด “อย่างน้อยมันก็ใหม่ว่าทรายที่เราเพิ่งเห็นก่อนหน้านี้”
ชูลทซ์ขมวดคิ้ว
“แล้วปัญหามันคืออะไรล่ะ”
“ปัญหาใหญ่เลยล่ะ…ทรายพวกนี้เข้ามาที่นี่ได้อย่างไร” ดวงตาของศาสตราจารย์เวอร์นัลเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ “มันเหมือนกับทรายในนาฬิกาทรายที่ตกลงมาก่อน แต่จู่ๆ ก็ขึ้นมาอยู่ด้านบนอีกรอบ… คุณเข้าใจไหมว่าผมหมายถึงอะไร?”
“ทรายที่ตกลงมาก่อนแต่ดันมาอยู่บนสุด…” ชูลทซ์ขมวดคิ้วและพูด “มันจะเป็นไปได้อย่างไร”
“ถ้าอย่างนั้นในมือผมมันคืออะไร”
เวอร์นัลยืนขึ้นและค่อยๆ ใส่ทรายลงในถุงตัวอย่างที่เขาพามาด้วยอย่างระมัดระวัง เขาดึงกระดาษโน้ตออกมาแล้วติดไว้ที่ด้านข้างของถุงตัวอย่างด้วยสีหน้าแห่งความสงสัย
เขามองไปที่ค่าความลึกที่แสดงบนคอมพิวเตอร์ข้อมือ หลังจากนั้นเขาขีดๆ เขียนๆ พิกัดความลึกคร่าวๆ บนกระดาษโน้ตด้วยปากกาและพูดขึ้น
“มีความเป็นไปได้สองอย่าง เราหลงทางและผ่านตรงนี้ไปแล้วหรืออุโมงค์บนพื้นผิวเคลื่อนย้ายมาอยู่ตรงหน้าเรา”
ชูลทซ์ “ฟังดูเป็นไปไม่ได้ทั้งสองอย่างเลย”
“ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่…”
ก่อนที่ศาสตราจารย์เวอร์นัลจะพูดจบ จู่ๆ แรงสั่นสะเทือนรุนแรงก็มาจากทุกทิศทาง ทั้งคู่เกือบจะล้มลงไปกับพื้นเพราะแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
หินร่วงลงมาจากด้านบนสุดของถ้ำ กระแทกกับหมวกของพวกเขา
ชูลทซ์หันไปมองข้างหลัง เขาเห็นเส้นทางที่พวกเขาเดินผ่านมาก่อนที่ตรงกลางจะถูกปิก
มันแตกต่างจากถ้ำที่พังทลายทั่วๆ ไป
กำแพงหินเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้กันด้วยความเร็วคงที่ ราวกับว่ามันถูกดึงโดยแรงที่ไม่รู้จัก มันไม่ได้ให้ความรู้สึกที่แข็งอย่างที่หินควรจะให้
มันเหมือนกับหลอดอาหารที่ดิ้นได้…
ราวกับว่ามันมีชีวิต!
“แผ่นดินไหว!” ชูลทซ์กรีดร้องผ่านช่องทางสื่อสาร เขาคว้าตัวเวอร์นัลและพูด “ลุก! ออกไปจากที่นี่กัน”
สีหน้าของศาสตราจารย์เวอร์นัลเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“บ้าเอ๊ย! นี่มันใต้ดินลึกกว่าพันเมตรนะ เราจะต้องไปที่ไหน?!”
“ไม่สำคัญหรอกว่าเรากำลังไปทางไหน อย่างน้อยก็ยังดีกว่ายืนรอความตายอยู่ตรงนี้! เราต้องไปข้างหน้า!”
ความหวาดกลัวต่อความตายเอาชนะความสิ้นหวังของธรรมชาติ
ศาสตราจารย์ใช้กำลังทั้งหมดในการลุกขึ้นจากพื้นและทำพลั่วอเนกประสงค์ในมือหล่น พวกเขาวิ่งไปข้างหน้าโดยที่ไม่หันมามองข้างหลัง
ทั้งคู่ระเบิดความกล้าและความแข็งแรงออกมา พวกเขาแทบจะหนีออกมาจากกำแพงหินที่ปิดลงด้านหลังพวกเขาไม่ทัน
ทั้งคู่อยู่ในถ้ำหินที่กว้างใหญ่
เวอร์นัลลุกขึ้นจากพื้นและปัดฝุ่นที่อยู่บนตัวเขาขณะที่พูด
“บ้าเอ๊ย…ผมคิดว่าเราจะตายกันแล้ว คุณนักคณิตศาสตร์เยอรมัน คุณโอเคไหม”
ชูลทซ์ยกมือขึ้นและสภาพดูแทบไม่ได้ แต่โชคยังดีที่เขาไม่เป็นอะไร
“ผมไม่เป็นไร เดี๋ยวนะ เมื่อกี้คุณเรียกผมว่าอะไร”
“นักคณิตศาสตร์เยอรมัน! ขอโทษที ผมไม่ได้ตั้งใจ…ผมก็แค่ตื่นเต้นไปหน่อย”
เวอร์นัลคว้าตัวชูลทซ์และดึงเขาขึ้นมาจากพื้น
ทั้งคู่พิงกับกำแพง สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความสุขและความลังเล
“เราอยู่ที่นี่นานไม่ได้นะ…ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก บ้าเอ๊ย สองชั่วโมงจริงๆ ด้วย” หลังจากที่สูดลมหายใจเข้าแล้ว ศาสตราจารย์เวอร์นัลตรวจสอบปริมาณออกซิเจนและมองไปที่ชูลทซ์ “ไปต่อกันเถอะ สัญชาตญาณบอกผมว่ามันน่าจะอยู่ไม่ไกลจากที่นี่…เดี๋ยวนะ นั่นอะไร”
จู่ๆ ศาสตราจารย์เวอร์นัลก็หยุด
สายตาของเขาจับจ้องไปที่พื้นที่โล่งที่อยู่ตรงหน้า เขาลืมสิ่งที่อยากจะพูดไปหมด
ชูลทซ์มองตามเขาด้วยสีหน้าแปลกๆ และมองไปข้างหน้า ทันใดนั้นเขานิ่งไป
มันคือพลั่ว
ชัดเจนว่ามันเป็นอันเดียวกับที่ศาสตราจารย์เวอร์นัลทำหล่นเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน
ศาสตราจารย์เวอร์นัลคุกเข่าลงไปกับพื้นและเอื้อมมือที่สั่นเทาออกไป ตอนที่เขาหยิบพลั่วอเนกประสงค์ที่คุ้นตาขึ้นมาจากพื้น สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ
“นี่มัน นี่มัน พลั่วที่ผมทำหล่นไว้นี่นา”
ชูลทซ์กลืนน้ำลายและพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
“…แล้วเราอยู่ที่นี่”
ทั้งคู่มองหน้ากัน
พวกเขาเห็นสีหน้าที่ลังเลของอีกฝ่ายผ่านชุดอวกาศ
“…ยังจะตรงไปไหม”
“นั่นคือสิ่งเดียวที่เราทำได้”
พวกเขาไม่สามารถถอยกลับได้แล้ว
สองชั่วโมงผ่านไปหลังจากที่พวกเขาเข้ามาด้านใน โครงสร้างของอุโมงค์ใต้ดินเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าพวกเขาจะต้องการหาทางออกหรือหาจุดสิ้นสุดของเขาวงกต ถ้าพวกเขาอยากมีชีวิตรอด สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้คือเดินหน้าต่อ
ทั้งสองเดินไปข้างหน้าต่อ
สิบนาทีผ่านไป
พวกเขาเดินผ่านโครงสร้างที่รูปทรงเหมือนประตูแคบๆ เข้าไป จู่ๆ ทัศนียภาพก็ปรากฏตรงหน้าพวกเขา
ทั้งสองอึ้งไปพร้อมๆ กัน
ศาสตราจารย์เวอร์นัลใช้เวลาสักพักกว่าจะเค้นคำพูดออกมาจากปากได้
“พระเจ้า…”
นี่มัน…
เหลือเชื่อเลย!