Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1407 ที่หลบภัย
ภายในถ้ำที่มีรูปทรงเหมือนหลุมฝังศพ
ศาสตราจารย์เวอร์นัลที่หมอบอยู่ข้างหินสี่เหลี่ยมค่อยๆ ลุกขึ้นจากพื้นพลางวางมือของบนเข่า
ชูลทซ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวแล้วถาม “คุณพบเบาะแสอะไรบ้างไหม”
“แน่นอน โบราณวัตถุที่นี่มีค่ามาก” ศาสตราจารย์เวอร์นัลมองไปที่ชูลทซ์ และจู่ๆ ก็เกิดคำถามผุดขึ้นมา “คุณเคยได้ยินตำนานมัมมี่ไหม?”
ชูลทซ์อึ้งเล็กน้อย สีหน้าแห่งความสับสนค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
“ก็นิดหน่อย ทำไมเหรอ”
“ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าวิญญาณของบุคคลนั้นเป็นอมตะหลังความตาย ตราบใดที่ซากศพยังเป็นอมตะ วันหนึ่งก็สามารถเกิดใหม่ได้ ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ศพเน่าเปื่อย ฟาโรห์จะสั่งให้ทาสรับใช้ของตนเจาะอวัยวะภายในของศพพวกเขา เช็ดให้แห้งแล้วห่อด้วยเกลือ เครื่องเทศ ขี้ผึ้ง น้ำผึ้ง และผ้าลินิน มัมมี่เหล่านี้จะไม่เน่าเปื่อยเป็นเวลาหลายพันปี”
ชูลทซ์กลืนน้ำลายและมองไปยังหินสี่เหลี่ยมด้วยสีหน้าท่าทางแปลกๆ เขาพูด “คุณหมายถึง… หินพวกนี้มีไว้เพื่อป้องกันการเน่าเปื่อยของร่างกายอย่างนั้นเหรอ”
“ไม่ใช่แบบนั้นครับ” ศาสตราจารย์เวอร์นัลยิ้มและกล่าวต่อ “หากมันมีไว้เพื่อป้องกันการเนื้อเปื่อยของศพ พวกเขาก็ไม่ควรเก็บศพไว้ในภาชนะโลหะที่มีแนวโน้มจะเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน สมมุติว่าเมื่อหลายพันล้านปีก่อนทรัพยากรออกซิเจนบนดาวอังคารเกือบจะเท่าๆ กับของโลกหรืออาจจะมีมากกว่านั้น และอารยธรรมที่นี่มีเทคโนโลยีในการขุดโครงการขนาดใหญ่บนพื้นทะเลลึกหลายกิโลเมตร พวกเขาคงไม่เพิกเฉยต่อหลักการทางเคมีพื้นฐานแบบนี้หรอก”
“แล้วคุณคิดว่ามันคืออะไร”
“ชัดเจนอยู่แล้ว มันคือที่หลบภัย”
“ที่หลบภัยเหรอ”
“ใช่” เวอร์นัลมองไปที่ชูลทซ์ เขาพยักหน้าและพูดต่อว่า “เมื่อเกิดภัยพิบัติที่เสียหายจนไม่สามารถแก้ไขได้บนดาวอังคาร พวกเขาผนึกตัวเองไว้ในโลงศพเหล็กเหล่านี้เมื่อหลายพันล้านปีก่อน จากนั้นพวกเขาก็ถูกจำศีลด้วยเทคโนโลยีพิเศษและรอวันที่ตื่นขึ้นมา คุณควรเคยได้ยินเรื่องนี้ การจำศีลเย็นเหมือนน้ำแข็งเป็นเทคโนโลยีที่นิยมมากๆ บนโลก โดยใช้แบคทีเรีย X-0172 ที่ชาวอเมริกันนำกลับมาจากดาวอังคาร”
ชูลทซ์พยักหน้า จากนั้นสีหน้าที่ความเข้าใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
เห็นได้ชัดว่าเขาเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน เขายังจำได้ว่าแบคทีเรียที่หยุดการเจริญเติบโตชั่วคราวบางชนิดที่ทำให้เกิดความรู้สึกมากมายในตอนนั้น
แบคทีเรีย X-0172 ได้เปลี่ยนจากภัยพิบัติทางชีวภาพเป็นเทคโนโลยีที่น่ามหัศจรรย์
สำหรับผู้ที่ป่วยที่มีอาการหนัก นี่คือของขวัญจากพระเจ้า เนื่องจากเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบันไม่ก้าวหน้าพอที่จะรักษาพวกเขาได้ อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถมีชีวิตรอดได้ แม้ว่าจะต้องพลัดพรากจากครอบครัวก็ตาม
แต่ชูลทซ์ยังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจอยู่หนึ่งอย่า
ถ้าสิ่งเหล่านี้เป็นตู้สำหรับหลับชั่วคราวจริงๆ แล้วทำไมพวกเขาถึงสูญพันธุ์
“เห็นได้ชัดว่าพวกเขาล้มเหลว” ศาสตราจารย์เวอร์นัลยักไหล่และพูดต่อ “แม้ว่าพวกเขาจะพยายามช่วยตัวเองบ้าง แต่ก็เกือบจะรับประกันได้ว่าการสูญพันธุ์ของพวกเขาอยู่ในประมาณหลายร้อยปี พวกเขาไม่มีโอกาสมีชีวิตรอดเป็นหลายล้านปี ดาวเคราะห์ของพวกเขาสูญเสียการปกป้องจากสนามแม่เหล็ก ชั้นบรรยากาศ และแม้แต่มหาสมุทร แม้แต่อารยธรรมที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่ก็ยังต้องการผืนดินในการอาศัยอยู่”
ชูลทซ์นึกถึงภัยพิบัติวันโลกาวินาศที่อาจจินตนาการได้แล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง
หลังจากนั้นสักพัก เขาถาม “ชาวอังคารเหล่านี้… พวกเขาเป็นอะไรเหรอ ผมหมายถึงในแง่ทางชีววิทยา”
“ผมก็ไม่รู้ แต่ยกเว้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมไปได้เลย สภาวะแรงโน้มถ่วงที่นี่ไม่ดีต่อการพัฒนากระดูกและการสะสมแคลเซียม แม้ว่าจะมีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอยู่ในระบบนิเวศ แต่พวกมันไม่น่าจะมีขนาดตัวที่ใหญ่ การพัฒนากะโหลกศีรษะให้กว้างเพียงพอนั้นยากยิ่งกว่า แต่สัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังจะได้เปรียบ โดยเฉพาะสัตว์ขาปล้อง ที่นี่ขนาดตัวของพวกมันจะใหญ่กว่าอยู่บนโลกและในทางทฤษฎีแล้วจะมีสมองที่ใหญ่กว่าเพื่อรองรับเซลล์ประสาทที่มากขึ้น”
“สัญญาณของอารยธรรมไม่ใช่ไฟและการใช้เครื่องมือ แต่โดยพื้นฐานแล้วมันคือความสามารถในการประมวลผลและสื่อสารข้อมูล”
ศาสตราจารย์เวอร์นัลยักไหล่แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“แน่นอนว่าเรื่องทั้งหมดเป็นแค่การคาดเดาเท่านั้น แม้จะมีเงื่อนไขต่างๆ แต่การกำเนิดของอารยธรรมก็ยังเต็มไปด้วยเรื่องบังเอิญ เมื่อพิจารณาจากมดและผึ้งของเรา สัตว์ขาปล้องอาจมีวิวัฒนาการมาร่วมกับกลุ่มใหญ่และระบบสังคมที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมการผลิตที่เข้มข้น”
ความตื่นเต้นบนใบหน้าของศาสตราจารย์เวอร์นัลเพิ่มมากขึ้น
เขาหรี่ตามองไปรอบๆ ราวกับว่ามีเหมืองทองคำนั่งอยู่ตรงหน้า
“… ทุกอย่างที่นี่น่าสนใจนะ มันเหมือนกับพีระมิดของอารยธรรมดาวอังคาร เราอาจสามารถหาสาเหตุที่ดาวอังคารสูญเสียสนามแม่เหล็กและสิ่งที่ชาวดาวอังคารทำเพื่อเอาชีวิตรอด ไม่ว่าจะเป็นการทำความเข้าใจประวัติศาสตร์เมื่อหลายพันล้านปีก่อนหรือเพื่อช่วยอนาคตของเราเอง โบราณวัตถุที่ล้ำค่าเหล่านี้มีความสำคัญมากๆ ”
“ผมอยากจะสร้างสถานีวิจัยกึ่งถาวรที่นี่เพื่อทำการวิจัย…”
ในขณะที่ศาสตราจารย์เวอร์นัลกำลังตื่นเต้นกำลังบรรยายถึงวิสัยทัศน์ของเขาให้ชูลทซ์ฟัง จู่ๆ ก็เกิดแรงสั่นสะเทือนมาจากพื้นดิน
ศาสตราจารย์เวอร์นัลเอื้อมมือออกไปคว้าหินที่อยู่ข้างๆ เขา เศษหินและฝุ่นร่วงลงมาจากเพดาน สีหน้าของศาสตราจารย์เวอร์นัลเปลี่ยนจากความปลาบปลื้มเป็นอกสั่นขวัญแขวนแทน
“เวรเอ๊ย! อีกแล้วเหรอเนี่ย”
“เราต้องออกไปจากที่นี่!”
ชูลทซ์เป็นคนแรกที่ตอบสนอง เขาคว้าไหล่ของเวอร์นัลไว้และพยายามลากเขาออกไป แต่ดูเหมือนว่าเวอร์นัลจะไม่มีความตั้งใจที่จะออกจากที่นี่เลย
“เดี๋ยวก่อน ขอผมเก็บตัวอย่างเพิ่มอีกสองสามชิ้นเถอะนะ…”
ชูลทซ์คว้าพลั่วอเนกประสงค์ในมือของเขาแล้วขว้างออกไปด้วยความโกรธ
ชูลทซ์ใช้กำลังทั้งหมดปลุกเวอร์นัลให้ตื่นจากความมึนงง
“คุณทำบ้าอะไรของคุณอยู่!
“ถ้าขืนเราอยู่ที่นี่ต่อไปเราจะตายแน่ๆ!”
…
คลื่นสั่นสะเทือนที่รุนแรงมาอีกระลอก
ในที่สุดศาสตราจารย์เวอร์นัลก็ตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหา พวกเขารีบวิ่งไปยังทางออกที่ใกล้ที่สุด
ทันทีที่พวกเขาทั้งสองผ่านอุโมงค์ที่กว้างขวางและผ่านทางออก อุโมงค์ที่อยู่ข้างหลังพวกเขาก็ปิดลงราวกับหิมะถล่ม
ทันใดนั้นชูลทซ์ก็รู้สึกแปลกๆ ในใจ
ถ้าจะให้พูดให้ถูกก็คือ มันเป็นความรู้สึกของการรู้โดยสัญชาตญาณ
เขารู้สึกว่าการพังทลายของอุโมงค์พวกนี้ดูผิดปกติเล็กน้อย
แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ให้เวลากับเขาให้คิด
เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้กำลังของตัวเองทั้งหมดในการหนี
…
อีกด้านหนึ่ง ภายในอุโมงค์อีกที่
หลังจากฟังคำอธิบายของศาสตราจารย์ออเบรย์ ศาสตราจารย์โลโมนอฟลูบคางผ่านหมวกของชุดอวกาศ เขาพยักหน้าอย่างครุ่นคิดและพูด
“ผมเข้าใจแล้ว…”
ออเบรย์ “คุณเข้าใจไหม”
โลโมนอฟ “ก็ประมาณหนึ่ง”
ศาสตราจารย์ออเบรย์ถอนหายใจแล้วโยนพลั่วอเนกประสงค์ในมือไปข้างๆ เขาพิงกำแพงหินที่อยู่ถัดจากเขาและนั่งลงบนพื้น
“… ทำไมผมถึงอธิบายให้คุณฟัง”
“คำอธิบายของคุณน่าสับสน” ศาสตราจารย์โลโมนอฟบ่น “มาตรฐานปริภูมิยูคลิเดียนคืออะไร และสสารสี่มิติชนิดไหนที่รบกวนปริภูมิที่สามมิติ… แล้วมันเกี่ยวข้องกับแผ่นดินไหวอย่างไร”
“ไม่มีแผ่นดินไหว ถนนที่อยู่ใต้เท้าของเราไม่เปลี่ยนแปลงเลยด้วยซ้ำหากการอนุมานของผมถูกต้อง แม้ว่าเราจะถูกอุโมงค์ที่พังทลายจะกลืนเราก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราจะตามพื้นที่ที่ย้ายจากระยะพิกัดปริภูมิสามมิติไปยังปริภูมิสามมิติอื่น”
โมโลนอฟ “มันสอดคล้องกับการอนุรักษ์พลังงานหรือเปล่าครับ”
“พลังงานเหรอ แน่นอนว่ามันถูกอนุรักษ์ไว้” ศาสตราจารย์ออเบรย์ทำเครื่องหมายบนพื้นดินด้วยพลั่วอเนกประสงค์ในมือ เขาถอนหายใจและพูดต่อ “ลำดับในปริภูมิสามมิติถูกรบกวน ถ้าคุณไม่เข้าใจมาตรฐานปริภูมิยูคลิเดียน คุณน่าจะเข้าใจวงล้อหนูแฮมสเตอร์ใช่ไหม”
“คุณกำลังพูดว่าเราเหมือนแฮมสเตอร์บนวงล้อหนูแฮมสเตอร์เหรอ”
“จะพูดแบบนั้นก็ได้ครับ” ศาสตราจารย์ออเบรย์พูด “พื้นที่นี้เป็นวงกลม บางทีเราอาจจะเดินอยู่ในที่เดียวกันก็ได้”
จู่ๆ ศาสตราจารย์โลโมนอฟแสดงสีหน้าแปลกๆ
แล้วจะเดินวนไปวนมาเพื่ออะไรกัน
แต่ทันทีที่เขากำลังจะถาม พื้นดินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ศาสตราจารย์ออเบรย์ลุกขึ้นจากพื้นและมองดูหินที่แตกกระจายลงมาจากเพดาน เขาเริ่มวิ่งหนีทันที
“อะไรวะ! มันจะเกิดขึ้นทุกสองชั่วโมงไม่ใช่เหรอ แล้วนี่มันผ่านมากี่นาทีแล้ว!”
โลโมนอฟวิ่งพลางตะโกน “คุณพูดเองไม่ใช่เหรอว่าเราจะไม่โดยอุโมงค์นี่กลืน!”
“ผมพูด!”
“แล้วคุณจะวิ่งทำไมกัน!”
“นั่นมันก็แค่ทฤษฎี! ผมจะไม่เสี่ยงชีวิตของตัวเองหรอกนะ! หุบปากแล้ววิ่งเร็วเข้า!”
หินและฝุ่นผงยังคงร่วงลงมาจากด้านบนของถ้ำ ตกลงใส่บ่าของพวกเขา
อุโมงค์ที่อยู่ด้านหลังพวกเขาใกล้จะพังทลายลงทุกที คนสองคนซึ่งไม่ค่อยแข็งแรงมีสีหน้าสิ้นหวัง
แต่ทันใดนั้นเอง ก็มีแสงสว่างสาดมาที่หน้าของพวกเขา
ความสิ้นหวังของศาสตราจารย์ออเบรอกลายเป็นความปีติยินดีในทันที
“ทางออก! ทางออกอยู่ข้างหน้า! ไปกันเร็ว!”
แม้ว่าพวกเขาจะไม่พบเบาะแสใดๆ เกี่ยวกับอารยธรรมนอกโลก แต่อย่างน้อยพวกเขาก็รอดชีวิตมาได้ บางทีสภาคองเกรสอาจจะผิดหวังกับเรื่องนี้ แต่ออเบรย์เชื่อว่าหากเขาตายในซากปรักหักพังของถ้ำ มันอาจจะสร้างปัญหาให้กับประเทศของเขามากยิ่งขึ้นไปอีก
การรักษาชีวิตของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด!
“ผมจะไม่ไปสำรวจใต้ดินนั่นอีก! ไอ…”
ในที่สุดพวกเขาก็ฝ่าความมืดมิดออกไปได้ ศาสตราจารย์ออเบรย์วางมือขวาทาบบนเสาหินตรงทางเข้าถ้ำแล้วหอบอย่างไม่เป็นท่า
แต่ทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้น ตัวของเขาแข็งทื่อ
นอกจากรถสำรวจ คนจีนสองคน หวังเผิงและฟานถง รวมไปถึงนักโบราณคดีชาวอังกฤษและนักวิจัยคณิตศาสตร์ชาวเยอรมันก็อยู่ที่นี่ด้วย
ทุกคนยกเว้นนักวิชาการลู่…
หวังเผิงเห็นศาสตราจารย์ออเบรย์วิ่งออกมาจากถ้ำ เขาก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวพร้อมเอื้อมมือออกไปและคว้าไหล่ของเขาศาสตราจารย์ออเบรย์ หวังเผิงตาแดงก่ำ
ความรู้สึกน่าขนลุกนี้ทำให้ออเบรย์ตัวสั่น
ศาสตราจารย์ออเบรย์ที่กำลังถูกจ้องมองอยู่นั้นรู้สึกว่าตัวเองลืมหายใจไปแล้ว
“ลู่โจวอยู่ที่ไหน! เขาอยู่ที่ไหน?!”
“ผมจะไปรู้ได้อย่างไร” ศาสตราจารย์ออเบรย์ตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ผมไม่ใช่บอดีการ์ดของเขานะ เขาไม่ได้อยู่กับพวกคุณเหรอ”
“…”
แม้ว่าหวังเผิงจะไม่เชื่อใจคนอเมริกัน แต่เขาก็ยังปล่อยไหล่ของออเบรย์
เขาจ้องมองไปที่ทางเข้าอุโมงค์พร้อมกำหมัดแน่น ประกายแห่งความมุ่งมั่นแวบเข้ามาในดวงตาของเขา
“ผมจะไปหานักวิชาการลู่”
ฟานถงจ้องมองเขาราวกับว่าเขาเป็นบ้าไปแล้ว
“จะบ้าเหรอ! ทิวเขาทั้งลูกนี้จะต้องถล่มลงมาแน่ๆ!”
“ถ้าอย่างนั้นพวกคุณก็กลับกันไปก่อนเลย”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ จู่ๆ ทางเข้าถ้ำก็เริ่มสั่นไหว แรงสั่นสะเทือนจากพื้นดินมาจากทุกทิศทุกทาง เสาหินเริ่มทรุดลงมาด้านข้าง
ทุกคนรีบไปที่รถสำรวจที่จอดอยู่ข้างๆ พวกเขาอย่างบ้าคลั่ง
“เร็ว! ขับไปเลย!”
“หวังเผิงยังไม่มาเลยนะ!”
“ใครจะสนกัน! เขาอยากตาย แต่เราทุกคนจะตายเพราะเขาไม่ได้!”
ฟานถงกัดฟันหันกลับมามองผู้โดยสารที่นั่งอยู่ในรถ
ไม่มีใครอยากตาย รวมทั้งตัวเขาเองด้วย
ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจ เขาบ่นพึมพำในใจพลางคว้าถังออกซิเจนสองกระป๋องแล้วโยนออกจากประตูรถสำรวจ จากนั้นเขาก็สตาร์ทรถสำรวจและขับออกไปโดยเร็วที่สุด
ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ที่นี่กับชาวดาวอังคารที่ตายไปแล้วตั้งแต่หลายพันล้านปีก่อน
ฟานถงหลบหลีกก้อนหินที่ตกลงมาจากสันเขา เขาเหยียบคันเร่ง จนในที่สุดก็รอดพ้นจากอันตรายออกมาได้
ทันทีที่พวกเขาหนีออกมาได้ กำแพงหินขนาดยักษ์ที่มีความยาวประมาณสิบเมตรก็พุ่งเข้าชนทางเข้าอุโมงค์ ทำให้เกิดเมฆฝุ่นกระจายไปทั่ว
พวกเขาอาจติดอยู่ข้างในตลอดไป…
ทรายและฝุ่นผงกระจายขึ้นมาจากกองกรวด แม้แต่มองจากดาวเทียมก็สามารถเห็นฝุ่นผงพวกนั้น
พวกเขารู้สึกถึงอาฟเตอร์ช็อกที่สั่นสะเทือนมาจากใต้ดิน
“เวรเอ๊ย”
ฟานถงทุบพวงมาลัยรถและค่อยๆ ลดความเร็วลง หน้าผากของเขาซบบนพวงมาลัย ไหล่ของเขาสั่นเทา
ชูลทซ์ตบไหล่เขาเบาๆ ในความเงียบ
ระหว่างทางกลับ ทุกคนในรถต่างพากันเงียบ
มีเพียงศาสตราจารย์ออเบรย์เท่านั้นที่กระซิบ “มันเหมือนกับทางเข้าขุมนรก” หลังจากไม่ได้รับคำตอบใดๆ เขาก็ก้มหัวลงอย่างเงียบ ๆ
วันที่ 10 มิถุนายน
ในวันนี้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยพบบนดาวอังคาร แม้แต่สถานีวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของดาวอังคารที่อยู่ห่างออกไปหลายกิโลเมตรก็สามารถสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของภูเขาที่สั่นไหวได้อย่างชัดเจน
และในวันเดียวกันนั้นเองสถานีวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของดาวอังคารได้สูญเสียสมาชิกที่โดดเด่นสองคน …