Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1475 ที่ปรึกษาปฏิบัติการพิเศษ
- Home
- Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ
- ตอนที่ 1475 ที่ปรึกษาปฏิบัติการพิเศษ
ในบริเวณมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศจีน
หลังจากลงทะเบียนเสร็จเรียบร้อย หวังเผิงก็นำกระเป๋าเสื้อผ้าของเขามาเก็บที่ห้องหอพัก ไม่นานอาจารย์ก็มาเรียกเขา
“มีคนมาหาคุณ”
“มาหาผมเหรอครับ?” หวังเผิงถามอย่างไม่ได้สนใจนัก เขามองมาที่อาจารย์ผ่านอินเตอร์เฟสโฮโลแกรมและพูดว่า “ใครครับ?”
“คนจากสำนักงานความมั่นคง เขามาที่ตึกบริหาร”
“โอเค ผมจะไปตอนนี้เลยครับ”
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทำไมคนจากสำนักงานความมั่นคงถึงมาหาเขา เพราะมันคือเรื่องธุรกิจ แต่หวังเผิงก็ไปที่ตึกบริหารของมหาวิทยาลัยทันที
เมื่อเขามาถึงห้องประชุมบนชั้นสองตามที่อยู่ที่อาจารย์ให้มา เขาก็เห็นชายแปลกหน้าคนหนึ่งสวมเสื้อโค้ทสีเทายืนอยู่ที่โต๊ะประชุม
พวกเขาสบตากัน
“คุณเป็นใคร?”
“สือจินครับ” ผู้ชายที่สวมเสื้อโค้ทสีเทายื่นมือขวาของเขาออกมาและส่งนามบัตรโฮโลแกรมของเขามา “คุณจะเรียกผมว่าคุณสือหรือเรียกชื่อผมก็ได้ครับ”
เจ้าหน้าที่จากสำนักงานความมั่นคงสหการพาน-เอเชียน
เว้นแต่ชื่อกับหน่วยงานแล้วก็ไม่มีข้อมูลอื่นเขียนไว้บนนามบัตร
หวังเผิงเลิกสนใจนามบัตรโฮโลแกรม แล้วเขาก็หันมามองชายคนนี้และถามว่า “มีอะไรเหรอครับ?”
“ตอนที่เราตรวจสอบไฟล์ที่เกี่ยวข้องสำหรับองค์กรจิตวิญญาณแห่งจักรวาล เราพบว่ามีชื่อของคุณปรากฏอยู่ในนั้น”
หวังเผิงพยักหน้าและพูดว่า “ผมเคยเขียนรายงานในช่วงเริ่มแรก”
สือจินพูดด้วยสีหน้าที่จริงจังขณะที่มองมาที่หวังเผิง “เพื่อความมั่นคงของมนุษยชาติ เราหวังว่าคุณจะให้ความร่วมมือกับเรา!”
“แต่ผมอาจจะไม่สามารถช่วยคุณได้” หวังเผิงพูดพร้อมกับทำคิ้วขมวด “ความรู้และทักษะของผมห่างหายไปตามกาลเวลาไปหมดสิ้นแล้ว ถ้าองค์กรยังคงมีการพัฒนาอยู่ตลอดศตวรรษที่ผ่านมา ข้อมูลที่ผมมีก็คงจะล้าสมัยไปนาน บางทีมันอาจจะชักนำงานของคุณไปในทางที่ผิดก็ได้”
สือจินพูดว่า “ก็เพราะองค์กรยังคงมีการพัฒนาอยู่ตลอดศตวรรษที่ผ่านมา มันจึงแทรกซึมเข้ามาในสังคมเราจนถึงขั้นที่อันตรายมาก ดังนั้นเราจึงต้องการความแข็งแกร่งของคุณมากขึ้นไปอีก”
“ขอโทษด้วยครับ คุณควรจะไปหาคนอื่น” หวังเผิงส่ายหัวและพูดว่า “หลังจากเรียนคอร์สเตรียมความพร้อมจบแล้ว ผมจะพิจารณาคำเชิญของคุณอีกครั้ง… ถ้าตอนนั้นคุณยังต้องการผมอยู่ ผมจะให้ความช่วยเหลือด้วยความสามารถของผมเอง”
“อันที่จริง… อุปสรรคต่างๆ ที่เรากำลังเจออยู่อาจจะรุนแรงขึ้นมากกว่าที่คุณคิด”
ด้วยสีหน้าที่อึดอัดใจ สือจินพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงที่ลำบากใจ “แรกเริ่มนั้นหน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจของเราก่อตั้งขึ้นเพื่อตรวจสอบการวางแผนที่อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารนักวิชาการลู่ ทรัพยากรที่เราได้รับจากสำนักงานความมั่นคงค่อนข้างจำกัด”
“จากข้อมูลที่เรามีในตอนนี้ สิ่งที่เราอนุมานขึ้นมาได้ก็คือองค์กรนี้ได้แทรกซึมเข้ามาในสังคมของเราในระดับที่อันตรายแล้ว พวกเขาอาจจะมีไวรัสที่น่าสยดสยอง ไวรัสชนิดที่สามารถเปลี่ยนตรรกะที่ซ่อนอยู่ของชิปความจำของหุ่นยนต์ได้ สามารถทำให้หุ่นยนต์พลเรือนกลายเป็นเครื่องมืออาชญากรรมของพวกเขาได้”
“ตอนนี้หุ่นยนต์ได้กลายเป็นส่วนที่ไม่สามารถแยกออกจากสังคมของเราได้ นี่เป็นสิ่งที่ทำสำเร็จไปแล้วตลอดครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ถ้ามีไวรัสที่เปลี่ยนอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยให้กลายเป็นระเบิดที่ไม่เสถียรโดยสมบูรณ์ มันคงจะไม่ได้มีแค่ความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจที่จะได้รับผลกระทบ มันจะเปลี่ยนสังคมของเราไปด้วย!”
หลังจากได้ยินสิ่งที่สือจินพูด ใบหน้าของหวังเผิงก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
ในฐานะที่เป็นคนที่หลับไปชั่วคราวจากศตวรรษที่ 21 เขายังคงไม่สามารถรู้สึกถึงบทบาทที่ไม่สามารถแทนที่กันได้ของหุ่นยนต์ในสังคมสมัยใหม่ได้อย่างเต็มที่ แต่นับตั้งแต่พวกเขาพุ่งเป้ามาที่นักวิชาการลู่ เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องตลกเลย
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่านักวิชาการลู่กำลังถูกลอบสังหาร
“มีคนลอบฆ่า… นักวิชาการลู่? นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมพวกเขา… ทำไมพวกเขาถึงจะพุ่งเป้าไปที่เขาล่ะ?”
ทำไมลู่โจวไม่บอกอะไรเขาเลย?!
สือจินส่ายหัวและพูดว่า “เราค่อนข้างสับสนกับเรื่องนี้เหมือนกันครับ แต่จากข้อมูลที่ได้จากผู้ให้ข้อมูล การตัดสินขององค์กรก็คือการดำรงอยู่ของเขาอาจจะส่งผลกระทบกับแผนบางแผนของพวกเขา”
หวังเผิงสูดลมหายใจเข้าลึกและพูดอย่างใจเย็นว่า “จริงๆ แล้ว ถ้าคุณพิจารณามันอย่างถี่ถ้วน มันก็สมเหตุสมผลอยู่ที่พวกเขาจะพุ่งเป้ามาที่นักวิชาการลู่”
สือจินมองมาที่เขา กำลังรอให้เขาพูดต่อ
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หวังเผิงก็พูดต่อไปว่า “เมื่อราวศตวรรษก่อน ในการทดลองเรื่องการพิสูจน์มิติที่สูงกว่าของ ILHCRC ศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์ชื่อกาแลตต์ มิโร เคยได้เสนอทฤษฎีของวิญญาณนิยมจักรวาลไว้ นี่อาจจะเป็นรากฐานในเชิงทฤษฎีขององค์กรนี้”
“กาแลตต์ มิโร?” คิ้วของสือจินเลิกขึ้นเล็กน้อย เขาพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “ชื่อนี้ไม่คุ้นเลย ผมไม่เคยเห็นมาก่อนในไฟล์”
“เป็นเรื่องปกติสำหรับเขาที่จะไม่ปรากฏอยู่ในเอกสารสำคัญ อย่างไรก็ตามหลังจากที่เราได้ทำการสืบสวน ตัวตนของเขาก็ได้รับการยืนยันว่าเป็นแค่เพียงนักฟิสิกส์ธรรมดาคนหนึ่ง ในเรื่องของทฤษฎีวิญญาณนิยมจักรวาล มันก็เป็นแค่บทความวิชาการประหลาดๆ เรื่องหนึ่ง”
สือจินพูดว่า “แต่คุณรู้ได้ยังไงครับว่าองค์กรจิตวิญญาณแห่งจักรวาลไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับศาสตราจารย์กาแลตต์ มิโร?”
“เพราะเขาคนนั้นเสียชีวิตแล้วครับ” หวังเผิงพูดต่อไปโดยที่ยังมองดูสือจิน “พอหลังจากที่รายงานเรื่องทฤษฎีมิติพิเศษของลู่โจวจบลง เขาก็ทำการเปลี่ยนแปลงบางอย่างกับบทความวิจัยของเขาและอัพโหลดมันไว้บนบล็อกส่วนตัวของเขา แล้วเขาก็ฆ่าตัวตายในหอพักของเขา”
“นี่ฟังดูคล้ายกับตำนานเรื่องหนึ่งของเมือง… นักฟิสิกส์ผู้ล่วงลับกับบทความวิจัยของเขาได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของศาสนายุคใหม่จริงไหมครับ? แต่ศาสตราจารย์กาแลตต์ มิโร ผมไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย”
“ประวัติศาสตร์ไม่สามารถจะจดจำชื่อของทุกคนได้ โดยเฉพาะถ้าคนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับมุมมองอีกมุมหนึ่ง”
สือจินพูดว่า “นั่นดูน่าจะจริง”
“จากข้อมูลที่มีอยู่จำกัด เราสามารถจะทำการอนุมานเช่นนั้นได้เพียงอย่างเดียว ถ้าองค์กรจิตวิญญาณแห่งจักรวาลเชื่อในทฤษฎีของศาสตราจารย์กาแลตต์ มิโร เช่นนั้นกาแลตต์ มิโร ก็ต้องเป็นศาสดาของพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาอาจจะมีความเป็นศัตรูโดยธรรมชาติกับนักวิชาการลู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้มากจริงๆ”
“นี่เป็นข้อมูลหนึ่งที่มีค่ามากๆ ครับ ฉะนั้นการเดินทางมาที่นี่ของผมก็ไม่ไร้ประโยชน์แล้ว” สือจินเขียนข้อมูลลงไปอย่างจริงจังและยื่นมือขวาของเขาออกไป “ถึงแม้ผมจะเสียใจที่ไม่สามารถโน้มน้าวให้คุณมาเข้าร่วมกับเราได้ แต่เราก็ขอขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของคุณ”
“ใครบอกว่าผมไม่คิดจะไปเข้าร่วมกับพวกคุณ?”
สือจินตะลึงงันไปเล็กน้อย
“แต่คุณไม่ได้เพิ่งจะบอกเหรอครับ…”
“แม้ว่าชายแก่คนหนึ่งจะโน้มน้าวให้ผมทิ้งภารกิจของอนาคตไว้กับผู้คนในอนาคต…”
หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง หวังเผิงก็พูดต่อ “ผมได้คิดถึงเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน ผมเพียงแต่ไม่สามารถจะปล่อยเรื่องนี้ไว้กับพวกคุณและมองดูอยู่ข้างสนามได้”
หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ ใบหน้าที่ตกใจสุดขีดของสือจินก็เปลี่ยนเป็นดีใจในทันที เขาพูดพร้อมกับยิ้ม “ยินดีต้อนรับสู่ทีมครับ!”
“เราจะเขียนใบสมัครเข้าทีมให้คุณเอง คำตอบของคุณจะถูกส่งต่อไปยังฐานข้อมูลของเจ้าหน้าที่สำนักงานความมั่นคงและเก็บไว้ที่นั่นจนกว่าคุณจะออกจากงานของคุณไปและไปเริ่มต้นชีวิตใหม่”
แม้สือจินจะไม่รู้ว่าทำไมทัศนคติของเขาจึงเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่ต้องเฉลิมฉลองอย่างแน่นอนสำหรับหน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจ ซึ่งขาดแคลนกำลังคน
“เรื่องนั้นคงจะไม่เกิดขึ้น” หวังเผิงแกล้งแซวตัวเองแบบหลงตัวเองอยู่นิดหน่อย “สำหรับใครบางคนที่ไม่สามารถจะทนนั่งเฉยๆ ได้ ผมก็คงจะไม่มีทางออกจากงาน”
ด้วยความสัตย์จริง บางทีเขาก็อิจฉาหลี่เกาเหลียง เพื่อนเก่าของเขา
แม้ว่าเจ้านั่นจะบ้าๆ ไปบ้าง แต่เพราะอย่างนั้นเขาจึงสามารถปรับตัวเข้ากันได้ดีไม่ว่าจะในยุคไหน
“ฮ่าฮ่า ไม่มีอะไรผิดปกติในเรื่องนั้น ผมก็ยังชอบงานปัจจุบันของผมด้วย” สือจินยิ้มและยื่นมือขวาของเขาออกไประหว่างที่เขาพูดอย่างจริงใจว่า “จากนี้ไปคุณคือที่ปรึกษาปฏิบัติการพิเศษของหน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจของเรา!”