Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1488 วิธีสุดช็อก
ขั้นตอนลาออกเร็วกว่าขั้นตอนรับสมัครมาก
ไม่ต้องรอจนถึงช่วงเที่ยงวันเสียด้วยซ้ำ ในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที สัญญาอิเล็กทรอนิกส์และสลิปเงินเดือนก็ถูกส่งไปให้นักวิจัยทุกคนที่ลาออก
จากขั้นตอนการอ่านสัญญาไปจนถึงการเซ็นสัญญา ทั้งหมดก็ใช้เวลารวมแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น
ทนายจากแผนกกฎหมายที่มาพร้อมกับเลขานุการโจวเริ่มตอบคำถามเรื่องสัญญาลาออก เขาคะยั้นคะยอให้พวกนักวิจัยกรอกแบบฟอร์มและสัญญา จากนั้นเขาก็จากไปพร้อมกับเอกสารพวกนั้น
หลังจากที่ทั้งทนายและเลขานุการจากไป ทั้งห้องโถงก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
เหล่านักวิจัยมองข้อตกลงในสัญญาลาออกผ่านอินเตอร์เฟสโฮโลแกรมด้วยสีหน้ามึนงง จากนั้นพวกเขาก็มองหน้ากันและกันด้วยแววตาแปลกๆ
ถึงพวกเขาจะขู่ว่าจะลาออกกันจริง แต่ก็แทบจะไม่มีใครคิดว่าพวกเขาจะมาถึงจุดนี้
ทำไมมันรู้สึกเหมือน…
มีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้องเลย?
ไม่สิ มีอะไรบางอย่างผิดพลาดไป…
“ไม่สามารถติดต่อได้…”
ในขณะที่หยางเสี่ยวเฟิงมองสัญลักษณ์การไม่รับสายบนอินเตอร์เฟสของโทรศัพท์ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีซีด
สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปถึงจุดที่เกินความคาดหมายของเขา
ก่อนที่จะเริ่มหยุดงานประท้วง เขาก็นึกถึงความเป็นไปได้หลายอย่าง แต่ไม่คิดถึงความเป็นไปได้ข้อที่ว่า ลู่โจวจะไม่แยแสอะไรกับการที่คนลาออกเลย
ในขณะที่หยางเสี่ยวเฟิงจ้องสัญญาลาออกตรงหน้าอย่างใกล้ชิด นักวิจัยที่อยู่ข้างๆ เขาและมีหน้าตามึนงงก็พูดขึ้นมาว่า
“พวกเราจะทำอย่างไรต่อดี…?”
จะให้ฉันตอบว่าอะไรล่ะ?
หยางเสี่ยวเฟิงก็ไม่รู้คำตอบเหมือนกัน
แต่เมื่อได้เห็นดวงตาหลายคู่ที่จ้องเขาเหมือนกับเขาไปฆ่าพ่อฆ่าแม่พวกเขามา หยางเสี่ยวเฟิงก็รีบใช้น้ำเสียงสบายๆ ปลอบพวกเขาอย่างรวดเร็ว
“ไม่ต้องห่วงหรอกทุกคน อย่างไรพวกเราก็เป็นหัวใจหลักของแล็บแม่เหล็กไฟฟ้าอยู่แล้ว เจ้าคนหลงยุคนั่นจะมาจัดการพวกเราได้อย่างไรกันล่ะ? เดี๋ยวพรุ่งนี้เขาก็ต้องมาคุกเข่าเชิญพวกเรากลับเข้าทำงานอยู่แล้ว!
ผู้อำนวยการหลิวกำลังเป็นตัวแทนพวกเราในการเจรจากับบอร์ดผู้บริหารอยู่ อย่าเพิ่งตื่นตระหนกกันไป ในช่วงเวลาแบบนี้ พวกเราต้องรวมใจกันเป็นหนึ่ง ผมเชื่อว่าจะต้องมีทางออกในเร็วๆ นี้แน่นอน!”
ระหว่างที่เขาเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมา หยางเสี่ยวเฟิงไม่รู้เลยว่าเจ้านายของเขายังไม่สามารถปกป้องตัวเองได้เลยด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่คนอื่นๆ เลย
คนหลายพันคนกลายเป็นคนตกงาน…
หยางเสี่ยวเฟิงก็เป็นหนึ่งในนั้น
ถ้าสุดท้ายลู่โจวไม่ยอมประนีประนอมแล้วล่ะก็ เขาเกรงว่าเขาจะต้องโดนพวกกลุ่มคนที่โมโหโกรธาเหล่านี้ฉีกเป็นชิ้นๆ แน่ๆ
เพราะตอนที่เขาลุกขึ้นมาเรียกทุกคนมารวมตัวกันประท้วง เขาให้คำมั่นสัญญาไปหลายรอบว่าจะไม่มีปัญหาอะไรมากระทบกับงานของพวกเขา และเงินเดือนของพวกเขาจะสูงขึ้นยิ่งกว่าเดิม…
…
กลุ่มเมืองสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซีเกียง
ข้างในแมนชั่นของเขตคนรวย
หญิงวัยกลางคนที่ยังดูสาวอยู่คว้าแขนชายสูงวัยอีกคนแล้วร้องลั่นว่า “พ่อ! พ่อเป็นคนที่เริ่มเรื่องทั้งหมดเองนะ!”
ชื่อของเธอคือซงไห่หยาง ลูกสาวเพียงคนเดียวของซงหยางเกวาย ประธานของกลุ่มทุนหยางเหว่ย
เมื่อคืน สามีของเธอไม่ได้กลับถึงบ้านเลยทั้งคืน ตอนแรกเธอก็คิดว่าสามีของเธอไปมีอีหนูที่ไหน เธอจึงรีบไปหาเบาะแส จนสุดท้ายก็ทราบว่าสามีของเธอถูกตำรวจจับตัวไป
หลังจากได้ยินข่าว เธอก็ร้องห่มร้องไห้ทั้งคืน เธอรีบปรี่ไปหาพ่อของเธอในตอนเช้า หวังว่าพ่อจะช่วยหาทางแก้ให้เธอได้
สิ่งที่เธอทำได้มีเพียงหวังพึ่งพ่อของเธอเท่านั้น
ซงหยางเหว่ยมองลูกสาวที่น้ำตานองหน้า เขาอดสบถออกมาไม่ได้
“ไอ้ทึ่มนั่น พ่อก็บอกเขาไปแล้วว่าอย่าไปใช้กลอุบายอะไร?!”
ลู่โจวก็เล็งเป้าจะหาเรื่องเอาหลิวซือไห่ออกอยู่แล้ว เจ้าตัวดันกลับคิดไอเดียโง่ๆ อยากหยุดงานประท้วงขึ้นมาได้!
มีแต่เขานี่แหละที่จะโคตรของโคตรโง่ขนาดนี้!
ก่อนหน้านี้ยังมีคนหลายคนที่แสดงความเห็นใจที่เขาโดนปลดจากบอร์ดบริหาร แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ของลูกเขยเขาขึ้น ก็ไม่มีใครกล้ายืนอยู่ข้างเขาต่อแล้ว
เสียงร้องไห้ของซงไห่หยางดังขึ้นกว่าเดิมอีก น้ำตาของเธอยังคงไม่หยุดไหล
เมื่อเห็นลูกสาวของเขากำลังร้องไห้ ซงหยางเหว่ยที่ตอนแรกวางแผนจะพูดอะไรรุนแรงก็เปลี่ยนใจ เขาพูดออกมาพร้อมกับเสียงถอนหายใจแทนว่า
“อย่าร้องเลยลูก พ่อจัดการได้ ไม่ต้องห่วงนะ มันก็แค่เจ้าคนหลงยุคคนหนึ่งจากเมื่อร้อยกว่าปีก่อน เขาทำอะไรพ่อไม่ได้หรอก!”
เสียงร้องไห้หยุดไปพักหนึ่ง ซงไห่หยางเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาของเธอเหมือนจะยังมองเห็นความหวังอยู่
“จริงเหรอคะ…จริงเหรอ?”
หลังจากยิ้มปลอบลูกสาวของตัวเอง ซงหยางเหว่ยก็ยิ้มมุมปาก
“พ่อเคยโกหกลูกด้วยเหรอ?”
เดี๋ยวพ่อจัดการเรื่องนี้เอง”
เขาทำงานอยู่ในบอร์ดผู้บริหารมานานหลายปี เขารู้ความลับที่ซ่อนอยู่ของอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้ ต่อให้เขาจะไม่กล้าพูดมันออกมาก็ตาม
ถ้าลู่โจวอยากจะให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ล่ะก็…
เขาจะไม่มีทางให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเป็นอันขาด แม้มันจะทำให้เขาตกที่นั่งลำบากก็ตาม
แต่นั่นก็เป็นไม้ตายสุดท้ายของเขา ตอนนี้เขายังอยู่ห่างจากการไปถึงจุดนั้นอยู่
ถ้าเขาใช้วิธีนั้นจริงๆ มันก็จะเป็นการลากผู้ถือหุ้นในบอร์ดผู้บริหารคนอื่นไปลงเหวด้วย
หลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ ซงหยางเหว่ยก็ทำให้ตัวเองใจเย็นลงได้ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าแล้วโทรหาเพื่อนร่วมรุ่นของเขาที่ทำงานที่สถานีโทรทัศน์
ก่อนจะไปกดดันบอร์ดผู้บริหาร เขาต้องเตรียมตัวอะไรสักอย่างไว้ก่อน
อย่างน้อยก็ต้องทำให้พวกเขากลัวเข้าไว้…
…
ณ มหาวิทยาลัยจินหลิง
ออฟฟิศของอธิการบดี
หลังจากจัดการเรื่องคลาสเตรียมความพร้อมเสร็จ ลู่โจวก็มาที่นี่เพื่อมาเยี่ยมอธิการบดีไช่หมิงรุ่ย
เมื่อเห็นว่าลู่โจวมาหา อธิการบดีไช่จึงเชิญเขาเข้ามาในออฟฟิศอย่างสุภาพและสั่งให้เลขานุการของเขาช่วยชงกาแฟให้เขาสองถ้วย
ลู่โจวนั่งตรงข้ามโซฟาของอธิการบดี เขาทักทายอีกฝ่ายอย่างเป็นกันเอง
“นักวิชาการลู่ คุณชินกับชีวิตใหม่ของคุณแล้วหรือยัง?”
ลู่โจวตอบด้วยรอยยิ้ม “ผมชินแล้วครับ”
“ดี ดีแล้ว พวกเรากำลังกังวลอยู่เลยว่าคุณจะไม่สามารถปรับตัวเข้ากับชีวิตที่นี่ได้ เหมือนพวกเราจะกังวลกันมากไป” อธิการบดีไช่หมิงรุ่ยเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้ม “ถ้ามีเรื่องอะไรที่พวกเราช่วยคุณได้ ก็บอกผมได้เลยนะ”
ลู่โจวจิบกาแฟ จากนั้นก็วางถ้วยกาแฟลง เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก็บอกว่า “จะว่าไปแล้ว…ช่วงนี้ผมก็มีเรื่องที่ต้องอาจจะรบกวนคุณเหมือนกัน”
อธิการบดีไช่ยิ้มแล้วบอกว่า “คุณก็พูดเกรงใจเกินไป! ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกผมได้เลย พวกเราจะช่วยคุณแก้ปัญหาแน่นอน!”
ลู่โจวเอ่ย “ก่อนที่จะผมจะขอคุณ จริงๆ แล้วผมมีเรื่องสงสัยอะไรบางอย่างอยู่ ผมได้ยินมาว่าคณะวิศวกรรมนิวเคลียร์ที่มหาวิทยาลัยจินหลิงเป็นที่ที่ดีที่สุดในโลก แต่ทำไมถึงมีบัณฑิตจากคณะนี้น้อยนักที่ไปทำงานที่อีสต์เอเชียเอเนอร์จี้ล่ะครับ?”
ถึงเขาจะไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ลู่โจวถึงถามคำถามนี้ขึ้นมา แต่มันก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่มหาวิทยาลัยจินหลิงไม่ชอบใจจริงๆ
อธิการบดีไช่หมิงรุ่ยถอนหายใจแล้วตอบว่า “มัน…เรื่องมันยาวน่ะ มองด้านหนึ่งก็คือมาตรฐานการเข้าทำงานของอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้นั้นสูงเกินไป มองอีกด้านหนึ่งก็คือ อาจจะเป็นเพราะว่าวงการอุตสาหกรรมกับวงการการศึกษามีคนที่มีความสามารถต่างกันก็ได้”
“มาตรฐานการเข้าทำงานสูงไปเหรอครับ?” ลู่โจวขมวดคิ้วเล็กๆ “ยังมีสถานศึกษาที่มีมาตรฐานสูงกว่ามหาวิทยาลัยจินหลิงอีกเหรอ?”
“เกณฑ์มันอาจจะไม่เกี่ยวกับวิชาการหรอก ผมไม่รู้ว่าคุณจะเข้าใจเรื่องที่ผมกำลังจะสื่อหรือเปล่า” อธิการบดีไช่พูดอย่างคลุมเครือ “ทุกๆ ปี อีสต์เอเชียเอเนอร์จี้จะจัดงานรับสมัครคนเข้าทำงานที่นี่ แต่จำนวนของคนที่ผ่านเข้ารอบก็มีน้อยกว่า 10 และจำนวนคนที่ยังสามารถอยู่จนจบการฝึกงานได้ก็มีน้อยกว่า 3 ใน 10 เสียอีก จากที่ผมได้ยินมาจากอาจารย์ของมหาวิทยาลัยที่สอนวิศวกรรมศาสตร์ นักศึกษาส่วนใหญ่ที่ไปเข้าทำงานในอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้หลังเรียนจบจะไม่มีความสุขกัน คนที่อยู่ทำงานที่นั่นต่อในเวลา 2 ปีหรือมากกว่านั้นเรียกว่าหายากเลยทีเดียว คนที่มีความสามารถหลายคนก็กลับมาทำงานวิจัยที่มหาวิทยาลัยหลังจากไปทำงานที่นั่นได้ 1 ปี”
ลู่โจวพยักหน้าด้วยสีหน้าครุ่นคิด “ดูเหมือนอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้จะมีปัญหาใหญ่นะ”
“ปัญหามันอยู่ตรงนั้นนั่นแหละครับ แต่สุดท้าย มันก็เป็นบริษัทเอกชน พวกเราควบคุมอะไรไม่ได้อยู่ดี ผมหวังว่าพวกเราจะพัฒนาในอนาคตได้มากขึ้น แต่เราเลิกพูดเรื่องปัญหาของพวกเรากันดีกว่า มาพูดเรื่องปัญหาของคุณกันเถอะ” ไช่หมิงรุ่นยิ้มแล้วถามว่า “ไม่ใช่ว่าคุณมีเรื่องจะมารบกวนผมเหรอ? ผมรอเวลานี้มานานแล้ว”
“ผมต้องให้คุณช่วยหน่อย มันเกี่ยวกับคำถามที่ผมถามไปเมื่อครู่ก่อนนั่นแหละ” ลู่โจวพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผมต้องการจัดงานรับสมัครคนที่จะเข้าทำงานกับอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้ในอนาคตเร็วๆ นี้ งานจะจัดที่มหาวิทยาลัยจินหลิง ในอีกไม่กี่วัน…หรือยิ่งเร็วก็ยิ่งดี
“รับสมัครคนเข้าทำงานเหรอ?”
อธิการบดีไช่หมิงรุ่ยตกใจแล้วพูดต่อว่า “การรับสมัครคนเข้าทำงานเพิ่งจัดไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนนี่เอง…ต้องจัดอีกงานในเวลาไวขนาดนี้เลย…”
ลู่โจว “ผมไม่รู้ว่าคุณได้ยินข่าวหรือยังนะ ไม่นานมานี้ผมเพิ่งจะจัดทำโปรเจกต์ฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สองขึ้นมา ซึ่งมันต้องใช้คนเป็นจำนวนมากในการทำ”
อธิการบดีไช่ถามอย่างจริงจังว่า “คุณต้องการกี่คน?”
ลู่โจวคิดอยู่ครู่ ก่อนจะให้ตัวเลขมาว่า
“หนึ่งถึงสองพันคนครับ”
อธิการบดีไช่สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อว่า “หนึ่งถึงสองพันตำแหน่งเลยเหรอ? นี่คุณ…วางแผนจะเปิดสถาบันวิจัยใหม่หรืออย่างไรกัน? ทำไมคุณถึงต้องการคนมากขนาดนั้นด้วย?”
“ไม่ใช่สถาบันวิจัยใหม่อะไรหรอกครับ” ลู่โจวกระแอมแห้งๆ จากนั้นเขาก็พูดออกมาด้วยเสียงที่ไม่ค่อยมั่นใจนักว่า “เรื่องของเรื่องก็คือผมไม่พอใจกับสถาบัน ผมก็เลยไล่ทุกคนออก”
ไช่หมิงรุ่ย “…?”
ลู่โจวสรุป “สั้นๆ เลยก็คือ ผมวางแผนจะหาคนมาทำงานเพิ่มเพื่อแทนคนที่ผมไล่ออกไปนั่นแหละครับ”
อธิการบดีไช่มองลู่โจวแล้วพูดออกมาด้วยความมึนงงว่า “เรื่องจัดงานรับสมัครคนเข้าทำงานไม่มีปัญหาเลย…ผมหวังว่าคุณจะรับนักศึกษาจากพวกเราไปมากกว่าเดิม แต่ทำไม…คุณถึงไล่ทุกคนออกล่ะ?! อย่างน้อยต้องมีคนสักหน่อยที่สำรองไว้ฝึกพนักงานใหม่สิ ใช่ไหม?”
“ไม่จำเป็นหรอกครับ” ลู่โจวตอบ “ผมพูดตรงๆ เลยก็แล้วกัน แล็บแม่เหล็กไฟฟ้ามันเน่าไปหมดแล้วล่ะครับ ถ้าไม่ใช้วิธีสุดช็อกแบบนี้ก็ไม่มีทางช่วยให้มันดีขึ้นได้แล้ว ไม่ว่าพนักงานใหม่จะเป็นคนเก่งแค่ไหน พอรับพวกเขามาทำงาน พวกเขาก็จะแปดเปื้อนแล้วถูกเปลี่ยนให้เป็นขยะอยู่ดี ไล่พวกเขาไปให้หมดแล้วเริ่มใหม่ทุกอย่างจะดีกว่า”
“สรุปแล้วคุณตกลงจะจัดงานรับสมัครคนเข้าทำงานใช่ไหม? ถ้าคุณไม่ตกลง ผมจะได้ไปคุยกับที่อื่น”
“ตกลง! แน่นอนครับ!” เมื่อเห็นว่าลู่โจวทำท่ากำลังจะไป อธิการบดีไช่ไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้หลุดมือไปแน่ๆ เขาพูดอย่างรวดเร็วว่า “วันมะรืนนี้ผมจะจัดการประชุมที่นี่เพื่อเตรียมจัดงานรับสมัครคนเข้าทำงาน คุณส่งพวก HR มาที่นี่ได้เลย!”
ลู่โจวพยักหน้าแล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณมากครับ”