Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1497 แบบจำลองแนวคิดของเครื่องกำเนิดสนามแม่เหล็ก
- Home
- Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ
- ตอนที่ 1497 แบบจำลองแนวคิดของเครื่องกำเนิดสนามแม่เหล็ก
ในห้องสอบสวน
ซงหยางเหว่ยนั่งคอตกอยู่บนโต๊ะ ในมือของเขาถูกใส่กุญแจมือ เขาหน้าถอดสี และเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและความเสียใจ
จบแล้ว
มันจบแล้ว
เขาเดาได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้นในตอนนี้ได้โดยไม่ต้องมองด้วยซ้ำ
เมื่อไม่มีลายเซ็นของเขา ก็เป็นไปไม่ได้ที่กลุ่มทุนหยางเหว่ยจะใช้เงินจำนวนมากดำเนินแผนการขายชอร์ตของเขาต่อ นอกจากนี้ ทั้งบริษัทยังหวังพึ่งอาวุธลับของเขาอีกด้วย มีเขาคนเดียวที่รู้ว่าอาวุธนี้ถูกยึดไปเสียแล้ว…
“ชื่อจริง”
“ซงหยางเหว่ย…คุณยังต้องถามคำถามนี้อีกเหรอ?”
“มันเป็นขั้นตอนน่ะ”
ซิงเปียนอยู่นอกห้องสืบสวน เขามองใบหน้าขมขื่นของผู้อำนวยการซงผ่านกระจกกั้น ซิงเปียนพูดต่อด้วยเสียงเรียบเฉย “ถ้าอย่างนั้นเราเข้าประเด็นกันดีกว่า คุณเริ่มติดต่อกับองค์กรจิตวิญญาณแห่งจักรวาลตั้งแต่เมื่อไร?”
ซงหยางเหว่ยกลืนน้ำลาย
เขาดูลังเล แต่ก็ยังตอบคำถาม
“ประมาณสิบห้าปีก่อน…”
“สิบห้าปีก่อน?” ซิงเปียนเหลือบมองเขา “ผมจำได้ว่ากลุ่มทุนหยางเหว่ยก็ลงทะเบียนก่อตั้งเมื่อสิบห้าปีก่อน”
“ครับ” ซงหยางเหว่ยพยักหน้าเล็กๆ แล้วตอบคำถามอย่างซื่อตรง “ผมยอมรับว่าผมได้รับเงินทุนมาจากองค์กรนั้น และกำไรครั้งแรกของผมก็ได้รับมาจากการที่พวกเขาช่วยเหลือ”
ร้อยเอกซิงพยักหน้าตามอย่างครุ่นคิด เขาสนอกสนใจในคำสารภาพเรื่องนี้แล้วซักถามต่อ “มีใครอีกไหมที่ได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากองค์กรแบบเดียวกับคุณ?”
“หลิวเจิ้งซิง”
สือจินจ้องเขาต่อแล้วกล่าวประณาม “อย่ามาทำเป็นเล่นลิ้น พวกเราไม่ได้ขอให้คุณบอกชื่อคนตายมานะ”
“ผมรู้แค่เขาคนเดียว ผมไม่ได้โกหกนะ!”
เมื่อเห็นสีหน้าตึงเครียดของซงหยางเหว่ย ร้อยเอกซิงก็คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามต่อ “เอาล่ะ พวกเราเข้าใจในสถานการณ์อันยากลำบากนี้ดี ขอบคุณที่ร่วมมือ พรุ่งนี้คุณก็กลับบ้านได้”
ซงหยางเหว่ยชะงัก เขาคิดว่าตัวเองฟังผิดไป เขาจึงทวนประโยคที่ได้ยินใหม่อีกรอบอย่างไม่เชื่อหู “กลับบ้านเหรอ?”
“ใช่” ร้อยเอกซิงพยักหน้าแล้วพูดตอบอย่างตรงประเด็น “ถึงตามหลักแล้วจะไม่มีการประกันตัวในคดีที่สร้างภัยอันตรายต่อความมั่นคงในสังคม แต่การเก็บคุณไว้ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ให้คุณกลับบ้านไปรอผลดีกว่า รอจนกว่าศาลจะตัดสินก็แล้วกัน แล้วพวกเราจะส่งกำหนดการไปใหม่ นอกจากนี้คุณยังไม่สามารถออกจากประเทศได้ในช่วงเวลานี้ และคุณยังไม่สามารถออกจากจินหลิงได้…แล้วถ้าเกิดคุณอยากอยู่ต่อที่นี่ก็ได้เหมือนกัน”
“ไม่เอา” ซงหยางเหว่ยพูดออกมาทันที “ปล่อยผมออกไปเถอะ ส่วนเรื่องเงินประกันตัว…”
“จะไม่มีการจ่ายเงินค่าประกันตัวใดๆ อย่างที่ผมพูดไปว่านี่ไม่ใช่กระบวนการประกันตัวรูปแบบปกติ” ร้อยเอกซิงพูดต่อด้วยเสียงของคนตั้งใจทำงาน “ถ้าคุณมีข้อมูลอย่างอื่นที่สามารถช่วยเหลือพวกเราได้ จะเป็นการดีถ้าคุณนำมาบอกเราก่อนที่จะมีการตัดสิน หลังจากมีการตัดสินแล้ว ต่อให้พวกเราอย่างให้คุณได้รับบทลงโทษที่เบาลง มันก็ทำได้ยากแล้ว”
ไม่มีใครอยากติดคุกกันทั้งนั้น
อีกอย่างซงหยางเหว่ยก็เป็นชายที่มีงานยุ่ง เขายังมีบริษัทให้ต้องดูแลอีก ในกรณีใดก็ตาม ตราบใดที่เขาไม่ต้องอยู่ในคุกแล้วสามารถติดต่อกับผู้จัดการการลงทุนของเขาได้ ราคาที่ต้องจ่ายก็นับว่าคุ้ม
บริเวณนอกห้องสอบสวน
สือจินมองร้อยเอกซิงด้วยความสับสน
“ร้อยเอกครับ”
“อะไรเหรอ?”
“พวกเรา…ทำไมพวกเราถึงควรปล่อยเขาไปครับ?”
ร้อยเอกซิงตอบคำถามด้วยท่าทางสบายๆ “พวกเราไม่ได้ปล่อยเขาไป พวกเรากักบริเวณเขาให้อยู่ในบ้านต่างหาก”
“แต่…”
“ผมสงสัยว่ายังมีคนอื่นในบอร์ดผู้บริหารของอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้อีกที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้” ซิงเปียนหยิบบุหรี่ไฟฟ้าออกมาจากกระเป๋า กดกริ๊ก แล้วก็พูดต่อ “อย่างน้อยก็ยังมีอีกสักคน ไม่อย่างนั้นแล้วพวกเขาก็จะไม่สามารถควบคุมบอร์ดได้ง่ายขนาดนี้”
พอสือจินได้ยินดังนั้นเขาก็ผงะไปเล็กน้อย เขามองร้อยเอกซิงด้วยความประหลาดใจ
“คุณคิดว่า…”
“ถ้าเหยื่อไม่ใหญ่พอ เราจะจับปลาได้อย่างไรล่ะ?” ร้อยเอกซิงยิ้มเล็กๆ เขาพูดต่อด้วยเสียงราบเรียบ “อย่าลืมจัดการกับหุ่นยนต์ทุกตัวในบ้านของเขาด้วย รวมทั้งโดรนกับอุปกรณ์สมาร์ตทุกอย่างตัว แล้วก็บริเวณรอบๆ บ้านเขา ให้หาทีมสองทีมไปสแตนด์บายไว้แถวนั้น”
“ผมไม่เชื่อหรอกว่าเราจะจับคนเป็นไปไม่ได้เลยสักคน!”
…
ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมกราคม มหาวิทยาลัยจินหลิงดูมีชีวิตชีวากว่าปกติขึ้นมานิดหน่อย
ถึงแม้ว่าจะเหลืออีกสองสามวันก่อนถึงช่วงเวลาวันหยุด และนักศึกษาหลายคนที่เลิกเรียนแล้วก็นั่งรถกลับเมืองบ้านเกิดไปล่วงหน้าแล้ว แต่ในเวลานี้จำนวนคนที่ยังเข้าออกอยู่ในมหาวิทยาลัยจินหลิงไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด แต่มันกลับเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
ตั้งแต่เด็กปริญญาตรีจนไปถึงคนวัยกลางคนอายุ 40 ปีที่ทำงานมามากกว่าสิบปี คนเหล่านี้ต่างมาที่นี่เพื่อมาสมัครงานที่ครอบคลุมทุกวงการและทุกชีวิต ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฟิวชั่นที่ควบคุมได้ต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่
เพราะมันมีเหตุผลเพียงแค่ข้อเดียวเท่านั้น
บริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีมูลค่าทางตลาดมากที่สุดในเอเชียกำลังจะจัดจ๊อบแฟร์ในวันนี้
และยังไม่ใช่แค่นั้น
ครั้งนี้มันต่างจากการรับสมัครคนเมื่อฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา เพราะนักวิชาการลู่โมโหมากเสียจนไล่คนออกไปทั้งสถาบันวิจัย ทำให้ทั้งแล็บวิจัยแม่เหล็กไฟฟ้าว่างเปล่า ตามข่าวลือที่ว่ากัน จำนวนตำแหน่งที่ว่างมีมากถึง 2,000 ตำแหน่ง
แล้ว 2,000 ตำแหน่ง ที่ว่านี่หมายความว่าอะไรน่ะเหรอ?
ก็หมายความว่า อัตราการรับเข้าทำงานปกติที่น้อยกว่า 1% อาจจะเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่าในครั้งนี้น่ะสิ และถึงจะนับว่าจำนวนผู้เข้าสมัครจะมากกว่าปกติ โอกาสที่จะได้รับเลือกเข้าไปทำงานก็สูงกว่าปกติเช่นกัน
ถ้าใครอยากเข้าไปทำงานในสถาบันวิจัยที่มีรายได้ดีที่สุดและผลประโยชน์ดีที่สุดในเอเชียแล้วล่ะก็ การรับสมัครเข้าทำงานครั้งนี้ก็ถือเป็นโอกาสที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่อย่างไรก็ตาม…
ถ้าพวกเขาคิดว่าจ๊อบแฟร์ครั้งนี้จะง่ายแล้วล่ะก็ พวกเขาเข้าใจผิดแล้ว
ในการสอบรอบแรก คนส่วนใหญ่ก็รู้ซึ้งถึงความชั่วร้ายของคนที่คิดคำถามในข้อสอบ ผู้สมัครถึง 90% ถูกคัดออกโดยตรง
และคนอีก 100,000 คนที่เหลืออยู่ก็ต้องทนทุกข์ทรมานกับคำถามที่ยากและแปลกประหลาดในรอบที่สองของการสอบข้อเขียนแบบออนไซต์ มีหลายคนที่ร้องไห้ออกมาจากห้องสอบ
“ใครมันคิดคำถามพวกนี้เนี่ย? แม่*ถามเชี่*อะไรนักหนาวะ!”
“ได้ยินว่านักวิชาการลู่เป็นคนคิดคำถามน่ะ…”
“นักวิชาการลู่เองเลยเหรอ?! เป็นไปไม่ได้! เขาเพิ่งตื่นจากแคปซูลหลับชั่วคราวมาได้ไม่ถึงเดือนหนึ่ง เขาจะมาคิดคำถามออกสอบพวกเราได้อย่างไร?”
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ? เขาเป็นผู้อำนวยการของคณะกรรมการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้ไม่ใช่เหรอ? ได้ยินมาว่าหลี่กวงหยาจากสหการพาน-เอเชียนยังเชิญเขามารับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วยนะ แต่เขาไม่สนใจเรื่องการเมืองเอามากๆ ก็เลยไม่ได้ตอบตกลงไป”
“เวอร์ชันที่ฉันได้ยินมาบอกว่าเป็นตำแหน่งหัวหน้าที่ปรึกษาน่ะ”
“จะตำแหน่งไหนก็ไม่สำคัญกับเขาหรอก กับอัจฉริยะระดับนี้แล้ว ใช้คอมมอนเซนส์ด้วยไม่ได้เลย! บางทีในถ้าใช้เวลาสักหนึ่งเดือน เขาอาจจะเรียนรู้เรื่องวิจัยตลอดศตวรรษที่เขาหายไปก็ได้?”
ไม่ใช่แค่ผู้สมัครที่กำลังเจอปัญหา
เมื่อมองใบปริญญาที่ HR ส่งมาให้เขาตรงหน้าแล้ว ผู้อำนวยการถังแห่งแล็บวิจัยแม่เหล็กไฟฟ้าก็ปวดหัวเช่นกัน
“คน 3,211 คนได้เกรด A ส่วนอีก 5,102 ได้เกรด B…ด้วยความเคารพนะครับ ข้อสอบข้อเขียนรอบแรกอยู่ในระดับที่เลยคำว่ารับได้มานิดหน่อย แต่ผมว่าความยากของข้อสอบข้อเขียนรอบที่สองมันมากเกินไปหน่อยนะครับ”
“จำนวนมากขนาดนั้นเลยเหรอ?” บนสีหน้าของลู่โจวมีร่องรอยของความประหลาดใจอยู่ เขาอดพยักหน้ารับด้วยไม่ได้ “สมกับที่เป็นลูกศิษย์ผมจริงๆ ”
ตามแผนดั้งเดิมของเขา จะมีคนราวๆ 4,000 คนสอบข้อเขียนรอบสองผ่าน จากนั้นคนจำนวนครึ่งหนึ่งในนั้นก็จะถูกคัดเลือก พวกเขาจะได้เข้าทำงานหลังจากฝึกงานขั้นพื้นฐาน
เขาไม่ได้คิดว่าจะมีผู้สมัครมากกว่าที่เขาคาดคิดไว้
“มันมากเกินไปหรือเปล่าครับ? เหตุผลหลักที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะจำนวนผู้สมัครตั้งต้นมีมากเกินไป แต่ผมก็คิดว่าไม่ได้มากขนาดนั้น…” ถังอวิ๋นเกอตอบด้วยรอยยิ้มแห้งๆ “เอาตรงๆ แล้ว ข้อสอบที่คุณออกอาจจะยากเกินไปสำหรับเด็กจบใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์การทำงานนะครับ”
หากพูดตรงๆ แล้ว การสอบข้อเขียนเป็นแค่เกณฑ์ในการสกรีนหาสกิลเชี่ยวชาญของผู้สมัครเฉยๆ
การคัดเลือกผู้มีความสามารถจริงๆ จะอยู่ในช่วงการสัมภาษณ์ จากตำแหน่งที่ต่างกันนั้น ประสบการณ์การทำงานหรือเรซูเม่ทางวิชาการของผู้สมัครจะถูกตรวจสอบทีละคน
คนที่อีสต์เอเชียเอเนอร์จี้ต้องการจ้างนั้นมีถึง 2,000 คน ไม่ใช่ 200 คน หรือ 20 คน อีกอย่างคือ วิธีนี้ยังตรงกับความต้องการของลู่โจวที่ตั้งใจจะใช้แล็บวิจัยแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นต้นแบบของการปฏิรูปแบบใหม่และจะไม่ย้ายการจัดการมาจากแผนกอื่น เขาจะส่งแค่ผู้บริหารจากที่นี่ไปแผนกอื่นในอนาคต
ในเมื่อมีความจำเป็นต้องจ้างคนมากขนาดนี้ การยอมลดหย่อนมาตรฐานอย่างพอเหมาะก็ถือว่าจำเป็น แต่หลังจากผ่านการสอบข้อเขียนไปสองรอบก็เหลือคนอยู่เพียง 8,000 คนเท่านั้น ถ้าพวกเขาอยากจะเลือกคนที่ใช่จากกลุ่มนี้แล้วล่ะก็ มันก็เหลือตัวเลือกให้พวกเขาเลือกน้อยเหลือเกิน
“ผมเห็นตรงกันข้ามกับคุณนะ ผู้สมัครที่สามารถผ่านข้อสอบที่ผมคิดขึ้นมาได้ก็แทบจะเกือบผ่านแล้ว ในกลุ่มคนพวกนี้ คุณก็เลือกคนที่ดีที่สุดมา แล้วดูว่าใครทำงานได้ดีบ้าง” ลู่โจวยิ้มแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องห่วงไป ผมยังมั่นใจกับวิสัยทัศน์ของตัวเองมาก และผมจะไม่มีทางทำให้คุณผิดหวังแน่นอน”
ถังอวิ๋นเกอถอนหายใจแล้วบอกว่า “ผมเชื่อคุณครับ…”
ไม่ว่าเขาจะเชื่อจริงหรือไม่ เขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
การประชุมผ่านโฮโลแกรมจบลง อนุภาคแสงสีน้ำเงินอ่อนจางหายไปจากพื้นที่รอบตัว ทิ้งให้เห็นภาพห้องก่อนที่มันจะถูกลำแสงโฮโลแกรมปรับไปเป็นแบบเมื่อครู่
ลู่โจวยืนเส้นยืดสายอยู่บนโซฟา จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นมาแล้วเดินกลับไปที่ห้องอ่านหนังสือ
แล็บวิจัยแม่เหล็กไฟฟ้าของอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้เพิ่งผ่านวิธีสุดช็อกไปได้ไม่นาน ตอนนี้ตัวแล็บก็กำลังเข้าสู่ช่วงการปรับปรุงใหม่อยู่อีกต่อ การจะใช้แล็บนี้ในอนาคตอันใกล้ก็ยังเป็นเรื่องที่ยากอยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้นแล้วเครื่องกำเนิดสนามแม่เหล็กพัลส์ A-1 ที่เขาออกแบบมาก็เป็นแค่แนวคิดผลิตภัณฑ์เพียงเท่านั้น ต่อให้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้รับการเพิ่มระดับถึงสิบเท่า มันก็ยังไม่ถึงจำนวน 1 เทสลาอยู่ดี
และถ้าให้พูดจริงๆ ก็คือ ลู่โจวทำได้เพียงเดาแบบคร่าวๆ เท่านั้นว่าเจ้านี่จะเอาไปใช้ในฟิวชั่นที่ควบคุมได้ได้จริงหรือไม่ เขาไม่สามารถใช้จินตนาการตัวเองตัดสินสิ่งที่ยังไม่รู้ได้
เขาบอกได้เพียงว่า ถ้าเกิดเขาวิจัยเรื่องนี้ต่อ เขาอาจจะค้นพบอะไรบางอย่างเพิ่มมา
ลู่โจวนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์โฮโลแกรม หลังจากที่เขานั่งนิ่งอยู่หลายวินาที เขาก็พิมพ์ชื่อเรื่องลงไปบนอินเตอร์เฟสโฮโลแกรม
[การวิเคราะห์ทางทฤษฎีของการบีบอัดแม่เหล็กระเบิดพลังงานสูงและแบบจำลองแนวคิดของเครื่องกำเนิดสนามแม่เหล็กพัลส์]
“หวังว่านี่จะมีส่วนช่วยให้กับคนอื่นที่สนใจเรื่องนี้นะ”
พอมองชื่อเรื่อง ลู่โจวก็ยิ้มมุมปากขึ้นมา
เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่แล็บแม่เหล็กไฟฟ้าขนาดใหญ่จะทำงานได้โดยมีพนักงานชั่วคราวไม่กี่คน
ถ้าสถานการณ์ออกมาในทางบวก งานวิจัยนี้น่าจะดึงดูดความสนใจจากนักวิชาการบางคนที่ทำงานในสาขาที่เกี่ยวข้องและช่วยโปรโมตการถือกำเนิดของผลลัพธ์การวิจัยที่มีค่ามากกว่านี้
ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าเขาสามารถจ้างนักวิชาการเหล่านั้นมาทำโปรเจกต์ของเขาได้ มันจะเป็นสิ่งที่ดีเสียยิ่งกว่าอะไร…