Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1499 ไม่ยอมกินเหยื่อ
ความตื่นเต้นในใจของนักวิชาการจางเฟยเยว่ก็เรื่องหนึ่ง
เมื่อเปรียบเทียบกับวิศวกรที่วิจัยแม่เหล็กไฟฟ้า คนที่ทำงานวิจัยนิวเคลียร์ฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สองต่างมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องของมุมมองต่อเครื่องกำเนิดสนามแม่เหล็กพัลส์ที่นักวิชาการลู่เสนอขึ้นมา
นักวิชาการบางคนก็มองในมุมเดียวกับนักวิชาการจางที่เชื่อว่าแนวคิดสนามแม่เหล็กพัลส์ที่ลู่โจวเสนอขึ้นมาอาจจะเป็นกุญแจในการแก้ปัญหาการขาดการยับยั้งสนามแม่เหล็กในนิวเคลียร์ฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สองก็เป็นได้
นักวิชาการบางคนก็เชื่อว่าการใช้สนามแม่เหล็กที่ไม่มั่นคงแบบนั้นในการกักตัวทำปฏิกิริยาฟิวชั่นที่มีอุณหภูมิสูงหลายพันล้านองศาเป็นสิ่งที่ทั้งอันตรายและไม่สามารถทำได้จริง
อย่างเช่น สถาบันวิทยาศาสตร์พาน-เอเชียน เป็นต้น
หลังจากได้เห็นสิ่งที่พรินต์มาล่วงหน้าและแบบจำลองโฮโลแกรมที่แนบมากับงานวิจัย ศาสตราจารย์ชราคนหนึ่งไม่เพียงแต่จะมองในมุมคนละด้านกับลู่โจว แต่ยังแสดงความคิดเห็นต่างออกมาด้วย
“สนามแม่เหล็กพัลส์เหรอ?”
“ไร้สาระ!”
“สนามแม่เหล็ก 10,000 เทสลา…ถ้าไปเจอกับโมเลกุลน้ำในร่างกายมนุษย์ เซลล์ร่างกายจะเสื่อมสภาพโดยตรง! แล้วคุณจะสร้างเจ้าเครื่องปฏิกรณ์นี่ไว้ที่ไหน?”
“นี่ยังไม่นับว่าสนามแม่เหล็กทั้งหมดยังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาอีก! ผมว่าถ้าเอาเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในอุปกรณ์ฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สองจริงล่ะก็ มันต้องไม่ได้เอาไปใช้ในเครื่องปฏิกรณ์ แต่เป็นอาวุธ EMP ต่างหาก!”
ความขัดแย้งไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในฟอรั่ม LSPM แต่ยังเห็นได้บ่อยๆ ในแล็บมหาวิทยาลัยและศูนย์วิจัยชั้นนำ
อันที่จริงความขัดแย้งก็ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะวิทยาศาสตร์เองก็ก้าวหน้าได้ด้วยความขัดแย้ง
อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าสนใจมากกว่าอยู่ตรงที่ มุมมองของตลาดทุนกับผลการวิจัยล่าสุดของลู่โจวนั้นขัดกับความขัดแย้งเรื่อยๆ ในโลกวิชาการ ตรงที่พวกเขามองผลการวิจัยในแง่ดีอย่างคาดไม่ถึง
ในขณะที่กำลังจะครบสองวันหลังงานวิจัยถูกตีพิมพ์ พาดหัวข่าวของ ‘ลู่เจียจุ่ยเดลี่’ ก็เป็นหัวข้อข่าว ‘กุญแจดอกใหม่ของเทคโนโลยีฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สอง’
เมื่อเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น พอตลาดหุ้นเปิดในวันนั้นราคาหุ้นของอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้ก็พุ่งสูงขึ้นเกินการควบคุม…
มันเหมือนจะสอดคล้องกับคำพูดของนิวตัน ‘ผมสามารถคำนวณได้ทุกการเคลื่อนไหวของดวงดาวบนฟากฟ้า แต่ไม่สามารถคำนวณความบ้าคลั่งของคนได้เลย…’
…
บางคนก็มีความสุข บางคนก็เศร้า บางคนก็อารมณ์ดี บางคนก็วิตกกังวล
การเคลื่อนไหวอันทรงพลังของอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้ทำให้ผู้ถือหุ้นรู้สึกดีเป็นล้นพ้น แต่ก็ทำให้คนที่พลาดโอกาสรู้สึกเสียใจไปด้วย และยังทำให้คนที่เชื่อในรายงานการชอร์ตของกลุ่มทุนหยางเหว่ยรู้สึกเจ็บปวดจนแทบจะหายใจไม่ออก
โดยเฉพาะตัวกลุ่มทุนหยางเหว่ยเอง
เมื่อได้เห็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงของหุ้นอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้ ทำให้ซงหยางเหว่ย ซีอีโอของกลุ่มทุนหยางเหว่ย แทบจะเป็นลมสลบไป
เขาเพิ่งกลับมาจากกองความมั่นคงตอนที่ได้ยินข่าวพอดี
พอมองที่หน้าจอวิดีโอ ผู้จัดการการลงทุนก็กำลังรายงานให้เขาฟังด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เขาโกรธเสียจนเกือบจะถอดกำไลคุมความประพฤติอัจฉริยะออกมา
“เพิ่มขึ้น 10% เหรอ?! จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!”
นี่มันอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้นะโว้ย ยักษ์ใหญ่ของบริษัทพลังงานที่มีมูลค่าตลาดเป็นสิบล้านล้าน!
ไม่ใช่บริษัทเล็กๆ ที่มีมูลค่าตลาดหลักหลายพันล้าน แค่เพิ่มขึ้นมา 1% ก็ทำให้มูลค่าทางตลาดหนึ่งแสนล้านปลิวหายไปในอากาศแล้ว
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึก ซงหยางเหว่ยก็สามารถสงบสติอารมณ์ตัวเองได้
หลังจากผ่านไป 5 นาที เขาก็พูดขึ้นมาเหมือนกับว่าตัดสินใจได้แล้ว
“พอราคาหุ้นดึงตัวกลับมา พวกเราถอยกันเถอะ”
หลังจากที่ได้ฟังคำของท่านประธาน ผู้จัดการการลงทุนที่อยู่ปลายสายก็มีท่าทางเศร้าหมอง อารมณ์ของเขาดำดิ่ง
ถึงมันจะควรทำแบบนั้นเพื่อลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น แต่การที่ผลออกมาเป็นแบบนี้ก็ทำให้เขารู้สึกผิดหวังอยู่ดี
เขารอให้บอสของเขาเปิดเจ้าสิ่งที่เรียกว่า ‘ไพ่ตาย’ ออกมา แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรออกมาทั้งนั้น
ต้องซื้อหุ้นกลับมาในราคาที่สูงขึ้น…
ก็เท่ากับว่ายอมแพ้แล้วนั่นแหละ
จากการประเมินคร่าวๆ ของเขา ความสูญเสียของกลุ่มทุนหยางเหว่ยในครั้งนี้จะมีค่าอย่างน้อยแต้มเครดิตสามพันล้านแต้ม
เรื่องโบนัสท้ายปีคงไม่ต้องได้แล้วล่ะ…
…
ในตอนนี้ซงหยางเหว่ยไม่อยากคิดเรื่องการขายชอร์ตเลย หลังจากกลับถึงบ้านซงหยางเหว่ยก็อาบน้ำแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสะอาดๆ เขาโทรหากองความมั่นคงแล้วรายงานสถานที่ที่เขาอยู่
ถึงเขาจะไม่ได้อยู่ในคุก แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะเป็นอิสระโดยสมบูรณ์ เขาเคยได้ย้ายมาอยู่ในที่ที่สะดวกสบายมากกว่านิดหน่อยเพื่อรอผลการตัดสิน
เขาไม่เพียงแต่จะต้องรายงานตำแหน่งของเขาทุกๆ 24 ชั่วโมง แต่เวลาในการออกไปนอกบ้านของเขายังถูกจำกัดอยู่ที่ 2 ชั่วโมงอีกด้วย
เอาจริงๆ แล้ว ซงหยางเหว่ยอยากให้คดีของเขาได้รับการอภัยโทษมาก
ถึงเขาจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีสารสนเทศ แต่ในฐานะคนในวงการการเงิน เขาก็รู้ถึงอันตรายของไวรัสอัลฟ่าดีกว่าใคร
ในสมัยศตวรรษที่ 22 นอกจากบางประเทศในแอฟริกาที่หุ่นยนต์ยังไม่ได้รับความนิยมแล้ว ประเทศส่วนใหญ่แทบจะทุกหนแห่งบนโลกนี้ต่างก็นิยมใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์กันทั้งนั้น
แม้กระทั่งประเทศเล็กๆ ในกลุ่มพันธมิตรทะเลเหนือก็ยังเจรจาจะให้สิทธิพลเมืองขั้นพื้นฐานกับหุ่นยนต์ที่มีอายุทำงานด้วยเลย
เมื่อมองถึงความพึ่งพาหุ่นยนต์ในอุตสาหกรรมระดับรองและระดับย่อยลงมาของกลุ่มเศรษฐกิจหลักๆ ในปัจจุบันแล้ว เมื่อไวรัสเอไอนี้แพร่กระจายออกไป สภาพเศรษฐกิจโลกจะต้องเจอปัญหาหนักแน่นอน
ดังนั้นกองความมั่นคงจึงไม่ปล่อยเขาออกไปง่ายๆ แน่นอน
พอคิดได้ดังนี้ ซงหยางเหว่ยที่เพิ่งวางสายก็เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ เขาถอนหายใจในใจ
ถ้ารู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ไม่เซ็นชื่อตัวเองลงเอกสารนั่นเสียก็ดี
ส่วนสาเหตุว่าทำไมตอนนั้นเขาถึงอยากวิจัยไวรัส มันก็เป็นเรื่องยาวอยู่
ถึงจะมีคำสั่งจากองค์กรลงมา แต่เขาก็ทำมันเพราะว่าตัวเองเห็นแก่ตัวด้วย
แม้ว่าวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจจะเป็นหายนะกับคนส่วนใหญ่ แต่มันก็ยังมีโอกาสอยู่สำหรับคนกลุ่มเล็กๆ
โดยเฉพาะคนที่สามารถคาดการณ์การมาถึงของวิกฤตการณ์นั้นได้
หุ้นส่วนใหญ่ก็จะราคาถูกมากในช่วงวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ตราบใดที่มีการเตรียมตัวป้องกันไว้อย่างพอเหมาะก่อนจะเกิดวิกฤตการณ์ขึ้นจริง เขาก็จะสามารถยืนอยู่ในจุดสูงสุดของโลกนี้ได้โดยมีความร่ำรวยหมุนเป็นระลอกๆ
ปัญหาทางการเงินไม่ได้เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ซงหยางเหว่ยเชื่อว่าปัญหาทางเทคนิคก็มีโอกาสทำให้เกิดวิกฤตการณ์ได้เช่นกัน
แต่อย่างไรก็ตาม…
การย้อนไปคิดเรื่องนั้นในตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร
กองความมั่นคงเตือนเขาแล้วว่าอย่าเอาข่าวเรื่องไวรัสอัลฟ่าไปบอกใคร ซึ่งก็เท่ากับเป็นการยึดไพ่ตายของเขาไว้นั่นแหละ
เขาไม่อยากจะคิดเรื่องกลุ่มทุนหยางเหว่ยต่อเลย มีเพียงสิ่งเดียวที่แวบเข้ามาในหัวของเขา
เพื่อจะได้มีโอกาสถูกปล่อยตัวจากการขังคุกตลอดชีวิต เขาต้องหาทางลดหย่อนโทษของเขาก่อนที่ศาลจะสั่งตัดสินความผิด
หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ซงหยางเหว่ยก็ตัดสินใจได้ เขายื่นมือออกไปกดบนโต๊ะเบาๆ จากนั้นเขาก็เปิดใช้งานระบบการประชุมโฮโลแกรม
เมื่อลำแสงสีน้ำเงินผุดขึ้นมา ภาพผู้ชายไร้หน้านั่งอยู่บนเก้าอี้ออฟฟิศก็ค่อยๆ โผล่เข้ามาในห้องอ่านหนังสือ
ชายไร้นาม
หรือก็คือ….มิสเตอร์ดี
ซงหยางเหว่ยเรียกเขาว่าอย่างนั้นมาตลอด
ถึงเขาจะสงสัยว่าชายคนนั้นหน้าตาในโลกความจริงเป็นอย่างไร แต่คนจากองค์กรก็ไม่เคยช่วยเฉลยความสงสัยของเขาเลยสักครั้ง
เมื่อเห็นว่าชายไร้หน้าปรากฏตัวขึ้นที่โต๊ะ ซงหยางเหว่ยก็กระแอม แล้วเอ่ยออกมาด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลยนะ”
“ใช่ ไม่เจอกันตั้งนานเลย”
ระหว่างที่อีกฝ่ายพูดประโยคนี้ออกมา ถึงแม้ซงหยางเหว่ยจะไม่เห็นรอยยิ้มจางๆ จากใบหน้าของชายไร้หน้า เขาก็ได้รับรู้ถึงน้ำเสียงอันโหดร้าย
หลังจากโยนความคิดแปลกๆ ทิ้งไป ซงหยางเหว่ยก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วรายงานว่า
“นักวิชาการลู่เข้าควบคุมอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้แล้ว ผมพยายามใช้อำนาจอิทธิพลเข้าสู้แล้ว แต่น่าเสียดายที่ผมทำพลาด
และถ้าดูจากงานวิจัยที่เขาตีพิมพ์ออกมา โปรเจกต์ฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สองก็ดูมีโอกาสทำได้จริงอยู่มากด้วย ถ้าเขาสามารถทำโปรเจกต์แห่งศตวรรษนี้ได้จริง ชื่อเสียงของเขาในศตวรรษนี้ก็จะพุ่งทะยานไปถึงขีดสุดอย่างไม่ต้องสงสัย มากกว่าเมื่อศตวรรษที่แล้วเสียอีก”
“ผมไม่สามารถทำลายเขาได้ด้วยกำลังของตัวเอง ผมต้องการให้องค์กรช่วย”
ชายไร้หน้ามองซงหยางเหว่ยด้วยความเงียบงัน เขารอให้ชายสูงวัยพูดให้จบก่อน
หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน เสียงหัวเราะเบาๆ ก็ลอยผ่านภาพโฮโลแกรมออกมา
ซงหยางเหว่ยรู้สึกสับสนเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะ เขาเริ่มรู้สึกไม่ดี จึงถามชายไร้หน้าว่าอีกฝ่ายหัวเราะอะไร
ตอนนั้นเอง ที่ชายไร้หน้าพูดด้วยเสียงอิเล็กทรอนิกส์ในโทนใจเย็น
“ตอนนี้คุณต้องการความช่วยเหลือเหรอ?”
ซงหยางเหว่ย “ผมไม่ต้องการรบกวนคุณอยู่แล้ว แต่ตอนนี้สถานการณ์มันก็เป็นไปอย่างนี้แล้ว พวกเขาต้องรวมกำลังกันป้องกันไม่ให้อำนาจของลู่โจวขยายไปมากในอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้นะ! จะว่าไปแล้ว คุณมีเวลาว่างบ้างไหมในช่วงสองสามวันข้างหน้านี้? พวกเราอาจจะได้คุยกันแบบตัวจริงๆ บ้าง”
“คุยกันแบบตัวจริงๆ เหรอ?” ชายไร้หน้าถามด้วยรอยยิ้มเล็กๆ “แล้วผมจะได้เห็นคุณขายผมให้กองความมั่นคงใช่ไหม?”
ทันทีที่ซงหยางเหว่ยได้ยินคำพูดนั้น หัวใจของเขาก็สั่นสะท้าน แล้วเขาก็รีบปฏิเสธทันที
“อะไรนะ! คุณพูดเรื่องอะไรกัน เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับกองความมั่นคง?”
“อย่ามาทำไขสือ ผมรู้ดีว่าคุณไปที่ไหนและพูดอะไรออกมาบ้างในช่วงหลายวันนี้ คุณคิดว่าคุณระวังตัวดีพอแล้วน่ะเหรอ แต่ขอโทษทีนะ ผมไม่ใช่คนโง่ขนาดนั้น”
ชายไร้หน้ามองเขาอย่างนิ่งๆ ราวกับนักล่ากำลังมองเหยื่อ หลังจากเว้นจังหวะไปพักหนึ่ง เขาก็กดเสียงลงต่ำแล้วพูดต่อ “ขอเดานะว่ากองความมั่นคงเสนออะไรให้คุณ เงินเหรอ? ไม่น่าใช่ หรือจะเป็น…สัญญาบางประเภทหรือเปล่า? ตราบใดที่คุณให้ข้อมูลที่มีค่ากับพวกเขา พวกเขาก็วางแผนจะปล่อยตัวคุณอย่างนั้นสินะ?”
เม็ดเหงื่อเย็นยะเยียบหยดลงจากหน้า ซงหยางเหว่ยมองชายไร้หน้าด้วยสีหน้ามึนงง
“ผมไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไรกัน…”
“คุณไม่ต้องรู้หรอก เพราะมันใกล้จะจบแล้ว” เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างช้าๆ ภาพโฮโลแกรมค่อยๆ เดินมาที่โต๊ะของชายสูงวัย มันจ้องลงมาหาซงหยางเหว่ยที่นั่งอยู่ข้างหลังโต๊ะ
“คุณลืมคำปฏิญาณที่กล่าวไว้แล้วยังหักหลังพวกเราอีกด้วย”
“แม้แต่นรกก็ยังลงทัณฑ์คุณได้ไม่มากพอ มีแต่เดอะวอยด์เท่านั้นที่จะเป็นจุดหมายปลายทางของคุณ สิ่งที่ดวงวิญญาณของคุณจะต้องเจอก็คือการเนรเทศชั่วนิรันดร์”
ซงหยางเหว่ยตื่นตระหนก เขาลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ออฟฟิศ เขามองชายไร้หน้าตรงหน้าเขาด้วยความกลัว แล้วจึงพูดออกมาด้วยเสียงเรียบๆ ว่า “คุณจะทำอะไรกันแน่?”
ถึงเขาจะไม่คิดว่าชายคนนี้ที่เป็นภาพโฮโลแกรมจะสามารถทำร้ายเขาผ่านสายเคเบิ้ลได้ แต่เขาก็อดรู้สึกถึงความตื่นตระหนกอย่างเต็มที่ไม่ได้พอนึกถึงองค์กร
เขามองปุ่มบนโต๊ะที่เขาสามารถกดเพื่อปิดระบบการประชุมโฮโลแกรมได้ เขารีบกดปุ่มปิดทันที
รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายไร้หน้าอีกครั้ง ในขณะที่อีกฝ่ายพ่นคำตอบอันโหดร้ายออกมา
“ผมจะทำอะไรน่ะเหรอ?”
“ก็ต้องลงโทษไอ้คนทรยศน่ะสิ”