Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1500 ปลูกถ่าย
บริเวณนอกสนามของแมนชั่น
มันเต็มไปด้วยรอยเท้าของคนหลายคนและเสียงร่ำไห้ของหญิงสาว
หุ่นยนต์เจ้าหน้าที่พยาบาลสองตัวรีบแบกเปลพยาบาลเข้าไปในสวน จากนั้นก็แบกออกมาจากแมนชั่น มุ่งหน้าตรงไปยังรถพยาบาล
มีรถตำรวจสองคันจอดอยู่หน้าทางเข้าสนาม พวกเขาใช้เทปกั้นเพื่อป้องกันพื้นที่เกิดเหตุเอาไว้ ในขณะที่พยายามทำให้คนในครอบครัวของซงหยางเหว่ยใจเย็นลงด้วย
เมื่อ 5 นาทีก่อนซงหยางเหว่ยบอสของกลุ่มทุนหยางเหว่ย ก็ถูกพบเป็นศพอยู่ในบ้านของเขา
ไม่มีร่องรอยของบาดแผลบนร่างกายเขาหรือยาพิษอันตรายในเลือดเลย ถ้าไม่ใช่เพราะสีหน้าตอนตายของเขาล่ะก็ คงแทบจะไม่มีใครสงสัยอะไรและคิดว่ามันเป็นแค่อุบัติเหตุ
มันเกิดขึ้นกะทันหันเสียจนไม่มีใครมีเวลาได้ทันตั้งตัว และยังไม่มีร่องรอยของการพยายามป้องกันตัวอีกด้วย
จนตำรวจที่ถูกมอบหมายงานให้มาเฝ้าพื้นที่ใกล้ๆ ได้พบว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ จึงติดต่อซงหยางเหว่ยให้ยืนยันสถานการณ์ตัวเอง แต่กลายเป็นว่าคนคนนั้นกลับเสียชีวิตไปแล้ว
ซิงเปียนยืนอยู่ข้างเทปกันคนเข้า เขาหยิบบุหรี่ไฟฟ้าออกมาจากกระเป๋า หลังจากสูบเอาควันเข้าไปเขาก็เก็บบุหรี่ไฟฟ้ากลับไปที่เดิม
พอเห็นสือจินเดินมาทางเขา เขาก็ถามอีกฝ่ายด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“เขาตายได้อย่างไรกัน?”
สือจินไม่ได้ตอบคำถาม เขาทำเพียงส่งถุงตัวอย่างที่มีวงจรรวมให้ร้อยเอกอย่างเงียบๆ
พอซิงเปียนเห็นชิปที่เก็บอยู่ในถุงตัวอย่าง ดวงตาของเขาก็ค่อยๆ ฉายแววจริงจังขึ้นมา
ผ่านไปชั่วขณะ เขาเอ่ยถามเสียงหนักแน่นว่า “ปลูกถ่ายเหรอ?”
“ใช่ครับ ซงหยางเหว่ยมีหัวใจเทียมที่ปลูกถ่ายเข้าร่างกาย แต่มันถูกสั่งปิดทำงานเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน…”
สือจินพยักหน้า สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม เขาเงียบไปพักหนึ่ง แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่บอกไม่ถูก “พวกเราอาจจะเจอปัญหาแล้วครับ”
…
ณ ภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน
ในบริเวณที่แสนจะห่างไกลจากตัวเมือง ยานพาหนะออฟโรดสี่ล้อกำลังวิ่งอยู่บนถนนอันว่างเปล่าไร้ผู้คนในเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ
หวังเผิงมองระบบบนการจัดตำแหน่งบนรถ จากนั้นเขาก็มองไปทางต้นไม้ที่ขึ้นเรียงรายเป็นแถวในป่านอกหน้าต่างรถ สีหน้าของเขามีความช็อกปนอยู่
“ผ่านไปหนึ่งศตวรรษ ทะเลทรายทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือกลายเป็นป่าไปแล้วจริงๆ เหรอเนี่ย”
“เมื่อนานมาแล้วมันก็เคยเป็นแบบนี้มาก่อน นี่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสมบัติที่นักวิชาการลู่ทิ้งไว้ให้สินะ ถึงพวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นผลงานของลูกหลานเขาก็เถอะ…พวกเรามาถึงแล้ว”
หลังจากผ่านจุดตรวจบนถนน รถยนต์ก็ยังแล่นไปต่อตามทางอีกพักหนึ่ง จากนั้นมันก็จอดที่หน้าฐานทัพทหารที่ไม่ได้ปรากฏบนแผนที่
หากให้พูดจริงๆ แล้ว สภาพตึกเหล่านี้ดูไม่เหมือนฐานทัพทหารเลยแม้แต่น้อย
และเหตุผลที่หวังเผิงรู้ว่าที่นี่เป็นฐานทัพทหารมาจากสัญชาตญาณความเป็นทหารในตัวเขาล้วนๆ
ชายคนขับเปิดประตูรถแล้วก้าวออกมาจากที่นั่งคนขับ เขาหรี่ตามองฐานทัพทหารที่อยู่ตรงหน้าแล้วเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกคิดถึงว่า
“นี่เป็นฐานฝึกหน่วยรบพิเศษที่ใหญ่ที่สุดในพาน-เอเชียแล้ว มันยังเป็นฐานฝึกที่มีความก้าวหน้ามากที่สุดบนโลก…ส่วนทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวคุณเข้าไปข้างในก็รู้เอง”
หวังเผิง “กองความมั่นคงเป็นหน่วยรบพิเศษเหรอ?”
“เปล่าหรอก แต่คนส่วนใหญ่จบการศึกษาจากที่นั่นน่ะ” ชายที่ใบหน้ามีริ้วรอยผู้ยืนอยู่ข้างประตูรถยิ้มกว้าง เขาเล่าต่อ “ไม่ว่าคุณจะเคยฝึกแบบไหนมาก่อน แต่ที่นี่นั้นเป็นการเริ่มต้นครั้งใหม่ ผมว่าคุณจะลืมพวกเทคโนโลยีตกยุคไปให้หมดแล้วตั้งใจผ่านการฝึกให้ได้”
หวังเผิงยิ้มบางๆ เขาตอบว่า “ถึงนี่จะเป็นจุดเริ่มต้นครั้งใหม่ แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่เปลี่ยนแปลงหรอก”
ผู้ชายอีกคนยักไหล่ เขาไม่พูดอะไรออกมา
หวังเผิงมองเขาอย่างสงสัยแล้วถามว่า “จะว่าไปแล้ว คุณยังไม่ได้บอกชื่อผมเลย”
“ฮันเตอร์ เพื่อนๆ เรียกผมว่าอย่างนั้นน่ะนะ คุณจะเรียกชื่อผมตามนั้นก็ได้” ชายคนนั้นจับมือหวังเผิงเขย่า เขายิ้มกว้างแล้วว่าต่อ “อย่างไรก็แล้วแต่ขอให้คุณโชคดี ถ้าคุณทำได้ดี และผ่านการฝึกมาได้แล้วล่ะก็พวกเราน่าจะได้เจอกันอีก”
“ขอบใจนะ”
หลังจากจับมือและปล่อยแล้วหวังเผิงก็หันไปมองฐานทัพทหารที่อยู่ห่างไปไม่ไกล เขาถามฮันเตอร์ด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ขอถามหน่อยนะ การฝึกนี้ใช้เวลาเท่าไหร่เหรอ? หรือการฝึกที่คุณพูดถึงนี่จะเริ่มตอนไหน?”
ฮันเตอร์หัวเราะแล้วตอบ “มันเริ่มไปแล้ว ส่วนที่ว่าคุณจะผ่านเมื่อไรก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณสามารถผ่านมาตรฐานเฉลี่ยของเจ้าหน้าที่ความมั่นคงได้หรือเปล่า”
หวังเผิง “แล้วเจ้ามาตรฐานที่ว่านี่คืออะไร?”
“อันนั้นคุณต้องหาคำตอบเองแล้วล่ะ”
ชายอีกคนทำท่าทางบอกลา เขาหันหลังเดินกลับไปขึ้นรถออฟโรด
เครื่องยนต์ส่งเสียงว่ามีการสตาร์ตแล้ว แล้วรถก็กลับไปอยู่บนถนนหลักและแล่นหายไปจากสายตาของหวังเผิง
นี่ฉันต้องทำงานส่งมอบเองเหรอเนี่ย?
หวังเผิงมองรถคนนั้นแล่นจากไป ในขณะที่หวังเผิงกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเอง เสียงเรียกชื่อเขาก็ดังมาจากด้านหลัง
“หวังเผิงหรือเปล่า?”
เขาหันหลังกลับไปมองชายแปลกหน้ายืนอยู่ตรงนั้น มีหน้าจอโฮโลแกรมลอยอยู่ที่ข้อมือซ้ายของเขา
ถึงเขาจะมองไม่เห็นว่าบนหน้าจอมีข้อความอะไรลอยอยู่ เขาก็เดาว่ามันคงจะเป็นเรซูเม่ของเขาหรือไม่ก็ข้อมูลส่วนตัวของเขาเอง
“ใช่ครับ”
ตอนแรกหวังเผิงคิดว่าคนคนนี้จะถามข้อมูลเขาอย่างละเอียด เขาไม่คิดว่าพออีกฝ่ายเช็กชื่อเขาเสร็จ อีกฝ่ายจะแค่มองผ่านๆ แล้ววางจอโฮโลแกรมลง
“มาเร็วกว่าที่คิดนะ ตามผมมาสิ”
หลังจากนั้นเขาก็หันหลังกลับแล้วเดินนำหน้าเข้าไปในฐานฝึกทหาร
หวังเผิงไม่ได้ลังเลอยู่นานนัก เขาที่ถือกระเป๋าเดินทางไว้ในมือเดินตามอีกฝ่ายไปทันที
เขาผ่านจุดตรวจหน้าประตู พอเขาตามชายแปลกหน้าเข้ามาในฐาน ภาพทุกอย่างตรงหน้าก็ชัดขึ้นมาทันที
ตอนนั้นเองที่เขาเข้าใจว่าทำไมเจ้าหน้าที่ที่บอกว่าตัวเองชื่อฮันเตอร์ถึงเรียกที่นี่ว่าเป็นฐานฝึกที่มีความก้าวหน้ามากที่สุดในโลก
ชายแปลกหน้าเหมือนจะสังเกตเห็นสีหน้าของเขา อีกฝ่ายหันกลับมามองเขาแล้วถามยิ้มๆ ว่า “คุณดูประหลาดใจนิดหน่อยนะ?”
“ผมค่อนข้างประหลาดใจเลยล่ะครับ” หวังเผิงพูดต่อ พลางมองไปยังห้องโถงที่ว่างเปล่า “ถ้าไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนล่ะก็ ผมไม่คิดว่าที่นี่เป็นฐานทัพทหารแน่ๆ ”
ถึงเขาจะไม่เคยไปเยี่ยมเยือนหน่วยงานทหารของประเทศอื่นในยุคนี้ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าเขาก็ได้ทำลายความเข้าใจในคำว่า ‘ฐานทัพทหาร’ ของเขาไปจนหมดสิ้น
คนส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นี่ไม่ใช่ทหารในชุดเครื่องแบบทหาร แต่เป็นนักวิจัยในเสื้อกาวน์ขาว จากที่เขาเห็น อัตราส่วนระหว่างคนสองกลุ่มนั้นที่นี่แทบจะเป็นหนึ่งต่อหนึ่งแล้ว
เทคโนโลยีแปลกๆ ที่เห็นได้ตามทาง บวกกับอุปกรณ์ที่ชวนสับสน ทำให้นึกภาพตามยากว่าที่นี่เป็นค่ายทหารจริงๆ มันดูเหมือนเป็นแล็บเสียมากกว่า
ชายแปลกหน้าอ่านสีหน้าประหลาดใจของหวังเผิงออก เขายิ้มบางๆ แล้วเล่าต่อ “ในยุคนี้ ความขัดแย้งทางการทหารส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นบนอวกาศที่ห่างไกลจากดาวโลก ไม่ก็เกิดในอาณานิคมดาวอังคารที่ห่างไกล แล้วถึงจะมีความขัดแย้งทางการทหารกัน การต่อสู้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการต่อสู้ของเอไอ”
“แต่ก็ยังมีภารกิจบางประเภทที่ไม่เหมาะกับการใช้เอไออยู่ ผมชื่อหลินเฟิง เป็นครูฝึกของคุณ ถ้าคุณไม่เข้าใจอะไรก็ปรึกษาผมได้”
หวังเผิงอดถามหลินเฟิงขึ้นมาขณะมองชายอีกคนที่เดินผ่านไปพอดีไม่ได้ ชายคนนั้นมีแขนที่ใหญ่กว่าปกติ ผิวที่ทาสีและกระดูกโลหะที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
“คนนั้นใช่หุ่นยนต์ทหารหรือเปล่าครับ?”
“ให้พูดตามจริงแล้ว พวกเราไม่มีหุ่นยนต์ทหารแบบเพียวๆ หรอกนะ อันดับแรกเลย มันผิดกับกฎความสัมพันธ์มนุษยชาติ และอันดับที่สอง มันไม่จำเป็น ในสนามรบแนวหน้า โดรนหลายประเภทและยานพาหนะที่เคลื่อนที่ได้ทุกสภาพภูมิประเทศและควบคุมได้ด้วยรีโมตคอนโทรลต่างก็เป็นสิ่งที่ใช้ได้ดีกว่าสิ่งที่เดินสองขา ทหารที่เหมือนมนุษย์จะใช้ในสนามรบที่ไม่ใช่แนวหน้าได้ดีกว่า ส่วนเรื่องความทรงจำของหุ่นยนต์ก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างสมบูรณ์ได้ ก็เลยเป็นปัญหาในโปรแกรมเอไอส่วนใหญ่ของทุกวันนี้”
หลินเฟิงเว้นจังหวะไปนิดหนึ่ง แล้วจึงเล่าต่อ “ส่วนสิ่งที่คุณเห็นน่ะ มันเรียกว่าการปลูกถ่าย”
หวังเผิง “การปลูกถ่ายเหรอครับ?”
หลินเฟิงพยักหน้า
“ใช่แล้ว เป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไปมากๆ ในยุคสมัยนี้ จะเรียกว่ามันกลายเป็นเทรนด์แฟชั่นไปแล้วก็ได้”
“อวัยวะธรรมชาติของมนุษย์มักจะมีปัญหาเยอะ ทั้งการติดเชื้อไวรัส การทำงานล้มเหลว หรือการได้รับความเสียหายโดยตรงจากพลังงานบางอย่าง ดังนั้นการปลูกถ่ายอวัยวะเทียมจึงกลายเป็นแฟชั่นใหม่…ซึ่งก็แน่นอนว่าทางการทหารได้มีการใช้เทคโนโลยีนี้มาแต่ก่อนแล้ว ย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยช่วงทศวรรษ 2020 ของศตวรรษก่อน ตอนที่มีเคสการใช้อวัยวะเทียมครั้งแรก”
หวังเผิง “…ผมอาจจะรู้จักคนที่คุณพูดถึงอยู่ก็ได้”
มันเป็นเพราะชีวมณฑล A ถูกองค์กรไม่ทราบฝ่ายเข้าโจมตี และหลี่เกาเหลียงก็เสียขาของเขาไป
ตอนนั้นเอง เทคโนโลยีการเข้าถึงระบบประสาทก็กำลังมาแรง พอนักวิชาการลู่ได้ยินข่าวนั้น เขาเลยดีไซน์อวัยวะเทียมให้หลี่เกาเหลียงโดยเฉพาะ หลี่เกาเหลียงที่ผ่านการปลูกถ่ายอวัยวะเทียมที่เข้ากันแล้ว ได้กลับไปเป็นปกติ ขากับเท้าของเขาทำงานได้ดีกว่าเมื่อก่อนด้วยซ้ำ
ถ้าหวังเผิงจำไม่ผิดแล้วล่ะก็ มันเป็นประเด็นร้อนกันอย่างมากในช่วงนั้น
หลังจากได้ยินคำพูดของหวังเผิง หลินเฟิงก็แสดงสีหน้าประหลาดใจ เขาพูดยิ้มๆ ว่า “ผมเกือบจะลืมไปเลยว่าคุณก็มาจากยุคนั้น”
หวังเผิง “ผมมีคำถามครับ”
หลินเฟิง “อะไรเหรอ?”
หวังเผิง “คุณเป็นหุ่นยนต์หรือเปล่า?”
“การปลอมตัวล้มเหลวเสียแล้ว…” หลินเฟิงชะงักไปเล็กๆ เขายิ้มแล้วก็พยักหน้ารับ “ตอนแรกนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบเหมือนกัน แต่ผมไม่คิดว่าคุณจะผ่านจุดนี้ได้ตั้งแต่วันแรก ดูเหมือนคุณจะเป็นพวกที่จับสังเกตเก่งนะ เดี๋ยวผมจะแนะนำอุปกรณ์ที่เข้ากับคุณให้ก็แล้วกัน”
ถึงจะคาดไว้แล้ว แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่า แม้แต่สถานที่อย่าง ‘ค่ายฝึก’ จะมีการใช้หุ่นยนต์จริงๆ
ดูเหมือนการพึ่งพาเครื่องมืออัจฉริยะในยุคนี้จะมากถึงระดับที่เขาคาดไม่ถึงจริงๆ
หวังเผิงส่ายหัวเอาสิ่งนี้ออกไปจากสมอง เขาหันไปมองหน้าต่างกระจกข้างๆ หลังทหารที่เพิ่งผ่านการตรวจสอบบำรุงอวัยวะเทียม แล้วจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ “อุปกรณ์ที่ว่า ถ้าคุณหมายถึงอวัยวะปลูกถ่ายล่ะก็ ไม่ต้องพูดเรื่องนั้นเถอะครับ ผมเห็นตรงกันข้าม ผมเชื่อในร่างกายตัวเองมากกว่า”
หลินเฟิงยักไหล่
“ดูเหมือนว่าความดื้อรั้นจะเป็นหนึ่งในลักษณะของคุณด้วยสินะ”
“แต่ก็ไม่ได้สำคัญอะไรหรอก นี่เป็นทางเลือกส่วนบุคคลเฉยๆ ถึงผมจะแนะนำให้คุณยอมรับความสะดวกสบายของเทคโนโลยีในยุคนี้ก็เถอะ เพราะมันจะช่วยให้คุณผ่านการฝึกได้ง่ายขึ้นนะ”
” ‘เรื่องบางเรื่องก็ไม่มีทางลัด’ เป็นประโยคที่เพื่อนของผมเคยพูดไว้ครับ” หวังเผิงยิ้มเล็กๆ แล้วพูดด้วยเสียงสุขุมนุ่มลึก “พาผมไปหอพักได้ไหมครับ หลังจากนั้นผมว่าจะไปลานฝึกเสียหน่อย”
หลินเฟิงยิ้มนิดๆ เขาพยักหน้าแล้วบอกว่า “ไม่มีปัญหา”