Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1504 ตำแหน่ง
ณ เมืองก่วงฮั่น
ออฟฟิศของเทศมนตรี
เมื่อมองจอโฮโลแกรมสภาพกึ่งโปร่งแสงตรงหน้าแล้ว เหย่เหอ ชายผู้เป็นนายกเทศมนตรีของเมืองก่วงฮั่น ก็อดแสดงสีหน้างุนงงขึ้นมาไม่ได้
“การคัดเลือกตำแหน่งที่ตั้งสำหรับเครื่องปฏิกรณ์ฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สองเหรอ?”
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้คือหนังสือโปรเจกต์จากอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้
ในหนังสือโปรเจกต์นี้ อีสต์เอเชียเอเนอร์จี้อธิบายง่ายๆ ว่าพวกเขาหวังจะพัฒนาระบบเพาว์เวอร์ซัพพลายของเขตเศรษฐกิจพิเศษก่วงฮั่น พวกเขาวางแผนผังคอนเซปต์ของ ‘ย่านพลังงานระหว่างโลก-ดวงจันทร์’ ไว้แล้ว
อันที่จริงถ้าเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้ หากพวกเขาต้องการลงทุนกับเมืองก่วงฮั่นจริงๆ นายกเทศมนตรีจะต้องยินดีต้อนรับอย่างแน่นอน เพราะบริษัทใหญ่ที่ลงทุนกับดวงจันทร์นั้นไม่เพียงแต่จะแก้ปัญหาการจ้างงานของประชาชนทั่วไปได้ แต่ยังช่วยพัฒนาระบบซัพพลายพลังงานที่มีอยู่ทั่วเมืองก่วงฮั่นอีกด้วย
อย่างข้อหลังนี่ยิ่งแล้วใหญ่ ในตอนนี้ปัญหาขาดแคลนพลังงานแทบจะกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่ขวางไม่ให้เขตเศรษฐกิจพิเศษก่วงฮั่นเกิดการพัฒนาในอนาคต
แต่อย่างไรก็ตาม…
นี่ก็ยังเป็นจุดต้นตอของปัญหาเช่นกัน
พอมองหนังสือโปรเจกต์ที่ฉายอยู่ภาพหน้าต่างโฮโลแกรมด้วยความที่หัวว่างเปล่า เทศมนตรีเหย่ก็พึมพำกับตัวเอง
“แต่ทำไมต้องอยู่บนดวงจันทร์ล่ะ…?”
เพราะมีปัญหาเรื่องการสะสมอุณหภูมิ จึงทำให้เทคโนโลยีฟิวชั่นที่ควบคุมได้ไม่เป็นที่นิยมบนดวงจันทร์มาแต่ไหนแต่ไร แม้กระทั่งเครื่องชนอนุภาคบนพื้นผิวดวงจันทร์ของ ILHCRC ก็ยังได้รับพลังงานจากพลังแสงอาทิตย์
เทคโนโลยีฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สองก็ฟังดูดี แต่เทศมนตรีเหย่ก็มองไม่ออกว่า ถ้าเกิดเทคโนโลยีฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นแรกไม่ได้เป็นที่นิยมบนดวงจันทร์แล้ว เจ้ารุ่นที่สองนี่จะไปได้รับความนิยมได้อย่างไรกัน?
ถึงเขาจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในวงการ เขาก็ยังมีความรู้เล็กๆ น้อยๆ ในเรื่องนี้อยู่ เงื่อนไขในการทำให้เกิดปฏิกิริยาของเทคโนโลยีฟิวชั่นรุ่นที่สองนั้นทำได้ยากกว่าของรุ่นแรก โดยเฉพาะเงื่อนไขเรื่องอุณหภูมิที่ต้องมีมากกว่าพันล้านองศาจึงจะเกิดขึ้นได้
กับเงื่อนไขความร้อนสูงขนาดนั้น อย่าว่าแต่สภาพแวดล้อมที่เป็นสุญญากาศเลย ขนาดพื้นที่ชายฝั่งที่มีสภาพแวดล้อมและบรรยากาศเหมาะสมยังไม่สามารถกระจายความร้อนที่สะสมอยู่บริเวณใกล้เครื่องปฏิกรณ์ได้ง่ายๆ เลย
เมื่อหวังจิน เลขาของเทศมนตรีเหย่ที่ยืนอยู่ข้างๆ เห็นสีหน้าไม่สบายใจของเจ้านาย เขาก็เสนออีกฝ่ายว่า “ผมแนะนำว่าถ้าคุณยังตัดสินไม่ได้ล่ะก็ คุณอาจจะลองขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญก็ได้ล่ะครับ”
“ก็ว่าจะทำอย่างนั้นเหมือนกัน น่าจะดีกว่าถ้าให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นคนวิเคราะห์ปัญหาเฉพาะทางแบบนี้” เหย่เหอพยักหน้าเห็นด้วยแล้วถามต่อ “แต่จะให้ไปถามใครดีล่ะ?”
เจ้าสิ่งนี้เป็นโปรเจกต์ลงทุนที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้านเหรียญ ยิ่งในมูลค่าทางอุตสาหกรรมแล้วยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นแสนล้านเหรียญ หรืออาจจะถึงล้านล้านเหรียญเลยด้วยซ้ำ
ถ้าอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้หวังจะแก้ปัญหาของเขตเศรษฐกิจพิเศษก่วงฮั่นจริงๆ แล้วล่ะก็ มันจะกลายเป็นข่าวดีอย่างมากกับเมืองกวงฮั่น ที่เผชิญปัญหานี้มานานเกือบ 30 ปีแล้ว
แต่ถ้าโปรเจกต์นี้ไม่สำเร็จหรือกลายเป็นปัญหาใหญ่หลังจากดำเนินการขึ้นมาแล้วล่ะก็ มันจะกลายเป็นภัยพิบัติของเมืองก่วงฮั่นไปโดยปริยาย…
“มีนักวิชาการหลายคนในสถาบันวิทยาศาสตร์หรือไม่ก็สถาบันวิศวกรรมที่รับผิดชอบงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้ครับ ตราบใดที่พวกเราพยายามเลือกนักวิชาการที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ในเชิงร่วมมือกับอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้ เราก็น่าจะหาคนที่สามารถให้คำแนะนำที่ค่อนข้างเป็นกลางได้ครับว่าโปรเจกต์จะเป็นอย่างไร”
พอฟังคำของเลขาแล้ว เทศมนตรีเหย่ก็ตัดสินใจเด็ดขาดทันที
“โอเค ผมฝากเรื่องนี้คุณด้วยแล้วกัน เดี๋ยวผมจะติดต่ออีสต์เอเชียเอเนอร์จี้แล้วจะพยายามจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
…
ณ สถาบันวิศวกรรมพาน-เอเชียน
สถาบันนิวเคลียร์ฟิสิกส์
นักวิชาการชิวหมิงรุ่ยนั่งอยู่ในออฟฟิศ เขามองจอโฮโลแกรมที่อัดไปด้วยข้อความแน่นเอี๊ยดอย่างไม่พอใจนัก
เมื่อราวสามวันก่อนเขาเขียนงานวิจัยเรื่องการประเมินค่า ‘สนามแม่เหล็กพัลส์’ ในสายงานของฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สองขึ้นมา งานนี้เขียนโดยใช้มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ
เขายอมรับว่ามันก็เป็นไอเดียการออกแบบที่น่าสนใจมากๆ อันหนึ่ง แต่สิ่งที่มันสามารถทำได้จริงๆ ซึ่งถูกเก็บงำไว้ก็คือ การที่มันเป็นอาวุธ EMP ขนาดใหญ่
สิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นสิ่งอันตรายที่ไม่มีค่ากับสังคม แต่ยังก่อปัญหานับไม่ถ้วนให้สังคมด้วย
และนี่คือสาเหตุว่าทำไมเขาจึงต้องเขียนมุมมองโต้กลับออกไป
เขาได้ยินข่าวแปลกๆ มาจากกลุ่มเพื่อนของเขาว่า พอมีแบบจำลองเครื่องให้พลังงานแม่เหล็กพัลส์ที่ลู่โจวปล่อยออกมา บวกกับตัวพรีพรินต์แล้ว ก็ทำให้กองกำลังทหารจากทั่วโลกหลายกลุ่ม รวมไปถึงสถาบันวิจัยหลายแห่งตัดสินใจทำการวิจัยในการออกแบบและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง
เรื่องที่วิจัยกันนั้น ก็เป็นเรื่องอาวุธ EMP อย่างไม่ต้องสงสัย
ชิวหมิงรุ่ยหวังว่างานวิจัยของเขาจะดึงความสนใจใครสักคนมาได้บ้าง แล้วทำให้พวกเขารู้เสียทีว่าเรื่องนี้มันมีข้อผิดพลาด ให้ใครสักคนใช้อำนาจของตัวเองทำสิ่งที่มีประโยชน์ให้กับโลกนี้เสียที
แต่อย่างไรก็ตาม…
ไม่มีใครสนใจเขาเลย
ไม่มีใครสนใจเขาเลยจริงๆ
ถึงงานวิจัยของเขาจะก่อให้เกิดการถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อนในฟอรั่มของ LSPM เพื่อนร่วมงานหลายคนก็เห็นด้วยกับมุมมองของเขา แถมยังลุกขึ้นมาชมเชยเขา หรือไม่ก็เสนอนโยบายสนับสนุน ขนาดนิตยสารวิทยาศาสตร์ของพาน-เอเชียนยังส่งคำเชิญเข้าฟอรั่มมาให้เขาเลย…
แต่ตัวลู่โจวกลับทำเหมือนไม่เห็นงานของเขา ราวกับอีกฝ่ายไม่ได้คิดว่างานของเขาเป็นเรื่องที่น่าใส่ใจอะไร
ชิวหมิงรุ่ยรับไม่ได้กับสิ่งนี้
ต้องบอกว่าการรับผลวิจัยของงานวิจัยต่างๆ ในวงการที่เกี่ยวข้องกับของตัวเอง คือสิ่งที่นักวิจัยวิทยาศาสตร์แต่ละคนต้องทำทุกๆ วันอยู่แล้ว ตราบใดที่ลู่โจวยังรับผิดชอบงานวิจัยฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สองอยู่ เขาก็ต้องเห็นวิจัยที่ชิวหมิงรุ่ยเขียนส่งไปอยู่แล้ว!
ในความเห็นของชิวหมิงรุ่ย เหตุผลที่ลู่โจวไม่ได้ให้ค่ากับงานธีสิสของเขา ก็ล้วนเป็นเพราะลู่โจวกลัวว่าจะต้องตอบคำถามของเขา อีกฝ่ายจึงเลือกที่จะทำเป็นเมินคำพูดของเขาไปเลย
ในฐานะที่ชิวหมิงรุ่ยเป็นนักวิชาการของสถาบันวิศวกรรม แถมยังเป็นคนมีชื่อเสียงใหญ่โตคนหนึ่งในอุตสาหกรรมวิศวกรรมนิวเคลียร์ เขาไม่คิดเลยว่าตัวเองจะได้รับการปฏิบัติแบบนี้!
“น่าอายนักที่เขาเป็นนักวิชาการที่ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์!”
ชิวหมิงรุ่ยขยับนิ้วตัวเองบนแผงปฏิบัติการไปมา เขาเปลี่ยนเนื้อหานิดหน่อยบนเอกสารวิจัยที่เพิ่งจะเขียนใหม่ซึ่งปรากฏอยู่บนหน้าจอโฮโลแกรม
งานวิจัยชิ้นใหม่นี้เป็นงานวิจัยเพิ่มเติมจากงานวิจัยชิ้นที่แล้วของเขา
เมื่อเปรียบเทียบกับงานก่อนหน้า งานชิ้นนี้เรียกได้ว่าใช้คำศัพท์และการบรรยายที่ไม่ได้รื่นหูและสุภาพมากเท่างานก่อน ถ้าลู่โจวยังแสดงท่าทีหยิ่งยโสใส่เขาแบบนี้อยู่ล่ะก็ เขาก็จะเลิกไว้หน้าอีกฝ่ายแล้ว
เขารู้สึกว่าเขาต้องพูดอะไรมากกว่านี้
ตอนนั้นเองก็มีเสียงเคาะประตูดังมาจากข้างนอกออฟฟิศ
ชิวหมิงรุ่ยเหลือบมองไปที่ประตู แล้วเอ่ยขึ้นว่า “เข้ามาได้”
ประตูถูกผลักเปิดออก
นักศึกษาปริญญาเอกวัยสามสิบต้นๆ เดินเข้ามาข้างใน
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของอาจารย์ที่ปรึกษาดูจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก นักศึกษาที่เดินเข้ามาจึงเอ่ยถามอย่างสุภาพว่า
“นักวิชาการชิวครับ…”
ชิวหมิงรุ่ยถามห้วนๆ “อะไรล่ะ?”
นักศึกษาคนนั้นกลัวว่าตัวเองจะไปยั่วโมโหอีกฝ่าย เขากลืนน้ำลายแล้วพูดต่อ “ก่วง…สำนักงานเทศบาลของก่วงฮั่นส่งจดหมายเชิญมาให้คุณครับ”
“จดหมายเชิญเหรอ?” ชิวหมิงรุ่ยขมวดคิ้วแล้วถามต่อ “จดหมายเชิญอะไรกัน?”
เขาไม่เคยเข้าไปแตะเรื่องการเมืองมาก่อน อีกอย่างคือ โปรเจกต์ที่เขาวิจัยมาก็ไม่เกี่ยวอะไรกับดวงจันทร์ด้วย เขาคิดเหตุผลไม่ออกสักข้อว่าทำไมเมืองก่วงฮั่นถึงติดต่อเขามา
“ดูเหมือนว่าเนื่องจากอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้วางแผนเลือกตำแหน่งที่ตั้งเครื่องปฏิกรณ์รุ่นที่สองเป็นที่ของพวกเขาแล้ว…เมืองก่วงฮั่นจึงวางแผนมาขอคำแนะนำเรื่องโปรเจกต์นี้จากผู้เชี่ยวชาญครับ จริงๆ สถานการณ์ที่ว่านี้ก็ไม่ได้ถูกระบุมาในจดหมาย ผมเลยไม่มั่นใจเรื่องนี้มากเท่าไร”
“เลือกตำแหน่งที่ตั้งบนดวงจันทร์เหรอ?”
ชิวหมิงรุ่ยพูดไม่ออก
คุณพระคุณเจ้า…
แปลว่าลู่โจวไม่ได้แค่เมินฉัน เขาตัดสินใจทำตรงกันข้ามกับคำแนะนำฉันเลย
มันจะมีอะไรน่าตลกไปกว่าการสร้างเครื่องปฏิกรณ์ทดลองบนดวงจันทร์อีกไหม?
“ผมจะไปเมืองก่วงฮั่นตอนนี้เลย” ชิวหมิงรุ่ยพูดอย่างเด็ดขาด เขาผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ออฟฟิศ “ช่วยจองเที่ยวบินที่ใกล้ที่สุดไปที่นั่นด้วย!”
นักศึกษาคนนั้นรีบพยักหน้า
“ได้ครับ…”
“อ้อใช่ แล้วก็งานวิจัยนี้น่ะ”
ชิวหมิงรุ่ยมองงานวิจัยที่เขียนเกือบจะเสร็จแล้วบนหน้าจอโฮโลแกรม เขาคิดว่าตัวเองจะต้องยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับลู่โจวอยู่แล้ว จึงบอกกับนักศึกษาคนนั้นว่า “ตรวจดูรูปแบบการเขียนให้หน่อยนะ แล้วก็หาวารสารท้องถิ่นที่อยู่ในอุตสาหกรรมของพวกเรา จากนั้นก็ตีพิมพ์งานนี้ไป ใส่ชื่อตัวเองลงไปนะ แล้วใส่ชื่อผมลงไปเป็นผู้ประพันธ์บรรณกิจ”
นักศึกษาคนนั้นอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบรับอย่างมีความสุขว่า “ได้เลยครับ!”
ชิวหมิงรุ่ยไม่สนใจว่าลูกศิษย์ของเขากำลังคิดอะไรอยู่ในตอนนี้ เขาหันไปมองนอกหน้าต่างด้วยสายตาเย้ยหยัน
แล้วเขาก็พูดออกมาว่า
“แล้วจะได้เห็นกันว่าทีนี้คุณจะเมินผมได้อีกไหม!”