Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1506 หัวใจของวิทยาศาสตร์คือการลองผิดลองถูก
- Home
- Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ
- ตอนที่ 1506 หัวใจของวิทยาศาสตร์คือการลองผิดลองถูก
คำถามสามข้อเหรอ?
ในขณะที่ลู่โจวมองชายสูงวัยที่กำลังเกรี้ยวกราด เขาก็อึ้งไปเล็กน้อย แต่ไม่นานก็เผยรอยยิ้มออกมาพร้อมกับพูดว่า “ไม่เป็นไรครับ ถ้าคุณไม่เข้าใจก็ถามได้ ผมไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว”
พอได้ยินคำว่า “ไม่เข้าใจก็ถามได้” ชิวหมิงรุ่ยแทบจะสำลักน้ำลายตัวเอง ตอนนี้สถานการณ์ฝั่งเขาเริ่มมีน้ำหนักน้อยลงแล้ว ขนาดเทศมนตรีเหย่ที่ยืนอยู่ข้างๆ เขายังอดขำไม่ได้
แต่พอเทศมนตรีเหย่นึกขึ้นได้ว่าเมื่อกี้ลู่โจวก็เพิ่งพูดคำคำนี้ไปหยกๆ เขาเลยกระแอมแก้เขินขึ้นมา แล้วพยายามควบคุมกล้ามเนื้อบนใบหน้าตัวเองให้เลิกยิ้ม
เจ้าไอศกรีมหลงยุคนี่ฝีปากร้ายใช่ย่อย!
ชิวหมิงรุ่ยมองลู่โจว เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด พยายามทำให้ตัวเองใจเย็นลง และคงสีหน้าจริงจังต่อไป
“คุณคือนักวิชาการลู่และยังเป็นประธานของอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้อีกด้วย คุณต้องรู้ว่าทุกแผนการที่คุณทำมา มันไม่ใช่แค่เป็นตัวตัดสินอนาคตของอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้เท่านั้น แต่ยังเป็นตัวตัดสินอนาคตของประชากรชาวดวงจันทร์ 100,000 ชีวิต หรือแม้กระทั่งสหการพาน-เอเชียน! ผมหวังว่าคุณจะไม่ได้มองเรื่องนี้เป็นเกมนะ”
ลู่โจวทวนคำพร้อมกับเผยรอยยิ้มจางๆ “เกมเหรอ? ทั้งผมทั้งคุณก็ไม่มีสิทธิในการประเมินค่าเรื่องนั้นหรอก ถ้าคุณมีคำถามอะไรก็ถามมาเลยครับ”
“คำถามแรก! ผมศึกษาเครื่องปฏิกรณ์สนามแม่เหล็ก A1 ของคุณมาแล้ว สนามแม่เหล็กความเข้มข้นสูงที่มีค่ามากกว่า 10,000 เทสล่านั้นมีค่าเทียบเท่าได้กับดาวนิวตรอนดวงหนึ่งเลย! เรื่องว่าจะสร้างมันขึ้นมาได้ด้วยวิธีไหนนั่นช่างมันก่อน ถ้าเกิดคุณสร้างเจ้าสิ่งนี้ขึ้นมาบนดวงจันทร์จริงๆ ล่ะก็ นอกจากมันจะมีผลกระทบที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้เกิดขึ้นกับสภาพแม่เหล็กของโลกแล้ว มันยังจะเป็นภัยเสี่ยงต่อชีวิตของประชากรชาวดวงจันทร์อีก 100,000 คนอีกด้วย!”
ใบหน้าของนักวิชาการชิวเป็นสีแดงก่ำ เขาแทบจะทนถอดหมวกชุดอวกาศแล้วคุยแบบตัวต่อตัวกับลู่โจวไม่ไหวแล้ว
บางทีเทศมนตรีเหย่อาจจะกังวลว่าความดันโลหิตของเขาอาจจะพุ่งสูงเกินไป เพราะพอเห็นท่าทีอารมณ์ขึ้นของเขา เทศมนตรีเหย่ก็รีบลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า
“เอ่อ…เรื่องว่ามันจะส่งผลกระทบกับสนามแม่เหล็กของโลกหรือเปล่านั้นยังอยู่ในขั้นตอนการอภิปรายกันนะครับ ถ้าพวกเราแค่ใช้สนามแม่เหล็กที่มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้นมาแทน ผมว่ามันก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของชาวเมืองก่วงฮั่นหรอกนะครับ สนามแม่เหล็กของ ILHCRC ก็ไม่ได้อ่อนแอแต่อย่างใด แถมยังสามารถส่งผลกระทบได้แม้ว่าจะอยู่นอกรังสีคอสมิกอีก ถึงอย่างนั้น มันก็ยังไม่ได้ส่งผลอะไรกับสุขภาพมนุษย์ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมาเลย”
เอาจริงๆ แล้วเหย่เหอก็ยังหวังว่าอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้จะตัดสินใจเลือกลงทุนตั้งโปรเจกต์ฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สองในเมืองก่วงฮั่น การที่ลงมือสอบถามผู้เชี่ยวชาญในเรื่องโปรเจกต์ก่อนนั้นก็เพื่อแสดงความรับผิดชอบกับชาวเมืองหนึ่งแสนชีวิต และยังช่วยให้เขาหาวิธีแก้ปัญหาได้หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา
พอได้ยินสิ่งที่นักวิชาการลู่พูดมาก่อนหน้า เขาก็เชื่อว่าถ้าจะยกปัญหานี้ให้อีสต์เอเชียเอเนอร์จี้รับผิดชอบไปก็จะไม่มีปัญหาอะไรตามมาแน่นอน มีอัตราความสำเร็จในการสร้างเครื่องปฏิกรณ์ฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สองอยู่อย่างน้อย 80%
ถึงอย่างนั้น แม้เขาจะบอกตัวเองให้เชื่อใจลู่โจวแล้ว ผู้เชี่ยวชาญที่เขาเชิญมาก็ดันลุกขึ้นมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับไอเดียทั้งหมดแทน
เหย่เหอไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อดี
“นั่นเป็นเพราะว่าระดับของมันยังไม่มากพอ ถึงแม้จะเป็นในท่อตัวเร่ง มันก็มีระดับแค่ 100 เทสล่าเท่านั้นเอง!”
นักวิชาการชิวยังคงพูดต่อด้วยเสียงหนักแน่นและไม่ยอมแพ้
“แต่นี่มัน 10,000 เทสล่า คุณรู้ไหมว่าแนวคิดของเจ้าสิ่งนี้คืออะไร? มันยังเป็นสนามแม่เหล็กความถี่สูงอีกด้วย นี่ยังไม่นับว่ามันยังมีพลังของอาวุธ EMP อีกนะ ถ้าเอาไปใช้กับคน มันสามารถฉีกเซลล์มนุษย์เป็นชิ้นๆ ได้เลยนะ!”
สีหน้าของคนรอบๆ ตัวเปลี่ยนไปในทันที
เทศมนตรีเหย่ถึงกับตะลึงไปชั่วขณะ สีหน้าบนใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจังอย่างรวดเร็ว
“สิ่งที่เขาพูดมา…มันจริงหรือเปล่า นักวิชาการลู่?”
“สิ่งที่คุณกำลังพูดถึงเป็นเรื่องของคุณสมบัติไดอะแมกเนติกของเซลล์ แม้มันจะเป็นความจริง แต่คำถามของคุณก็ยังแปลกมากๆ อยู่ดี”
ลู่โจวมองนักวิชาการชิวที่คิดว่าตัวเองกำลังได้เปรียบด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ ลู่โจวว่าต่อ “พวกเรารู้กันดีว่าคนที่กระโดดลงมาจากตึกสูง 100 เมตรจะต้องตายแน่ๆ อยู่แล้ว อย่างนั้นแปลว่าตึกทุกตึกจะต้องสูงน้อยกว่าความสูงที่สามารถทำให้คนที่กระโดดลงมาตายได้อย่างนั้นเหรอ? ถ้าจะพูดให้มีเหตุผลก็คือ สนามแม่เหล็กขนาด 10,000 เทสล่าจะปรากฏขึ้นที่จุดศูนย์กลางของเครื่องปฏิกรณ์เท่านั้น ตราบใดที่คุณไม่ได้ไปยืนอยู่ตรงกลางเครื่องปฏิกรณ์ คุณก็จะไม่รู้สึกถึงสนามแม่เหล็กที่หลั่งล้นออกมาเลย”
“ประเด็นสำคัญก็คือ สนามแม่เหล็กระดับนี้มันควบคุมไม่ได้เลยแม้แต่น้อย!” นักวิชาการชิวพูดต่ออย่างเกรี้ยวกราด “คุณจะมั่นใจได้อย่างไรว่าสนามแม่เหล็กทั้งหมดจะถูกกักเก็บไว้ในเครื่องปฏิกรณ์? ต่อให้สนามแม่เหล็กที่มีค่าแค่ 1 เทสล่าหลั่งล้นออกมา มันก็สร้างความเสียหายให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้ารอบๆ เครื่องปฏิกรณ์อยู่ดี เป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายมาก!”
ลู่โจว “ปัญหานั่นก็ไม่ได้แก้ยากอะไรนะครับ พวกเราจะตั้งกรงฟาราเดย์ตรงบนรอบนอกของเครื่องปฏิกรณ์เพื่อกักเก็บสนามแม่เหล็กในพื้นที่เล็กๆ ซึ่งในการออกแบบนั้นนับว่าทำได้อย่างสมบูรณ์”
“ส่วนเรื่องเครื่องปฏิกรณ์…” พอพูดถึงตรงนี้ ลู่โจวก็พักหายใจแล้วพูดต่อด้วยรอยยิ้มบางๆ “ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือหุ่นยนต์ ต่อให้ไม่มีสนามแม่เหล็ก ถ้าใครเข้าไปยืนอยู่ข้างในตรงนั้น พวกเขาก็ระเหิดหายไปได้หมดนั่นแหละครับ”
อุณหภูมิหลายพันล้านองศานั้นมีค่าสูงกว่าอุณหภูมิ ณ ใจกลางดวงอาทิตย์เป็นร้อยๆ เท่า!
ลู่โจวคิดไม่ออกเลยว่า คนคนหนึ่งจะถูกสนามแม่เหล็กความเร็วสูงฆ่าตายไปได้อย่างไร เพราะเขาน่าจะต้องระเหิดหายไปจากพลังของพลาสมาอุณหภูมิสูงเสียก่อนแล้ว
หลังจากได้ยินคำอธิบายนั้น สีหน้าของคนที่ยืนอยู่รอบๆ ก็ดูสบายใจขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
โดนเฉพาะเทศมนตรีเหย่ ถึงเขาจะยังมีเรื่องกังวลอยู่บ้าง เขาก็รู้สึกว่าสิ่งที่ลู่โจวพูดฟังดูมีเหตุผล หลังจากที่เขาได้ยินมุมมองของนักวิชาการชิวตั้งแต่ต้นจนจบ ก็พบว่ารากฐานของปัญหาเหมือนจะมาจากการล้นของสนามแม่เหล็กที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่จากมุมมองของคนควบคุม เขาก็บอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ควบคุมได้
ชิวหมิงรุ่ยอ้าปาก พยายามจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เขากลับพูดไม่ออก
เขาไม่เห็นด้วยกับลู่โจว จากมุมมองทางวิศวกรรมแล้ว ดีไซน์ที่แสนจะวุ่นวายนี้ไม่เพียงแต่จะเต็มไปด้วยอันตรายที่แฝงอยู่เท่านั้น แต่มันยังไม่สามารถทำงานได้ตามระดับที่ดีไซน์ทางแม่เหล็กไฟฟ้าของเครื่องปฏิกรณ์ฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สองควรจะทำได้อีกด้วย
อันที่จริงเขาก็ได้เวลาครึ่งชีวิตของเขาในการศึกษาปัญหานี้มาแล้วและยังพยายามค้นคว้าหา ‘ตัวบรรจุที่เหมาะสม’ ซึ่งจะสามารถกักเก็บพลาสมาหลายพันล้านองศาได้ แต่ตอนนี้เจ้าคนยุคเก่าจากเมื่อร้อยปีก่อนดันตื่นขึ้นมา แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าตัวเองแก้ปัญหานี้ได้ในเวลาไม่ถึงครึ่งเดือนเนี่ยนะ เขายอมรับเรื่องนี้ไม่ได้!
แต่ในขณะที่ชิวหมิงรุ่ยกำลังจะพูด ลู่โจวก็หันสายตาไปทางดวงดาวสีฟ้าครามที่ลอยอยู่ในอวกาศ ใบหน้าของเขาดูจะเหมือนคนที่รำลึกความหลังอยู่นิดๆ
“คุณทำให้ผมนึกถึงตาแก่คนหนึ่ง ถึงคุณจะไม่ได้เหมือนเขาไปเสียทุกอย่างก็เถอะ”
ชิวหมิงรุ่ยตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง พอรู้ว่าประโยคของอีกฝ่ายหมายถึงตัวเขา เขาจึงถามว่า
“…ใครกัน?”
“หยวนฮวานหมินครับ แต่คุณไม่รู้จักเขาหรอก”
หยวนฮวานหมิน?
ชิวหมิงรุ่ยขมวดคิ้ว เขานึกย้อนกลับไปถึงทุกส่วนที่ความทรงจำเขามี แต่ก็ไม่มีชื่อนี้ปรากฏขึ้นมาเลย
“ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสได้ทิ้งชื่อตัวเองไปในประวัติศาสตร์หรอก แต่ถึงพวกคุณจะลืมเขาคนนั้นไปได้ แต่ผมก็ยังจำเขาได้อยู่”
ลู่โจวยิ้มแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ยังรำลึกถึงวันวาน “ถึงตาแก่นั่นจะเป็นคนที่เกลียดผมอันดับหนึ่ง แต่อย่างน้อยเขาก็โต้แย้งผมโดยมีมุมมองทางวิชาการที่หนักแน่น การได้โต้เถียงกับเขาก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์ อย่างน้อยผมก็ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างเพิ่มขึ้นมา”
นักวิชาการไม่ใช่นักบุญ
ถึงสุภาพบุรุษชราคนนั้นจะเป็นนักวิชาการที่ทระนงตนนิดหน่อย เขาก็มีเจตนาที่ดี และทางเลือกที่เขาตัดสินใจในตอนท้ายก็พิสูจน์แล้วว่าลู่โจวคิดถูก
หลังจากพูดอย่างนั้นไป ลู่โจวก็มองไปที่นักวิชาการชิวหมิงรุ่ย
“อันที่จริงผมก็ไม่ว่าอะไรนะถ้าคุณจะเกลียดผม อย่างไรผมก็ไม่ใช่คนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่ายอยู่แล้ว คุณอยากจะวิพากษ์วิจารณ์มุมมองทางวิชาการผมอย่างไรก็เชิญได้เลย ถ้าคุณไม่เข้าใจหรือสับสนจริงๆ ผมก็ยินดีที่จะคุยกับคุณ แต่ตั้งแต่ที่ผมเห็นคุณพูดมาเนี่ย ผมเห็นแต่ปัญหาที่มันดูไม่มีเหตุผล”
“ฟังคุณก็มาตั้งนาน ผมยังไม่เข้าใจเลยว่าคุณจะเห็นด้วยกับอะไร หรือเหตุผลที่คุณเห็นด้วย อย่าว่าแต่เรื่องความคิดเห็นที่มีประโยชน์เลย เหมือนคุณไม่ได้พยายามจะแก้ปัญหา แต่คุณแค่อยากจะต่อต้านผมถึงที่สุดเสียมากกว่า คุณคิดว่าที่คุณทำมันเหมาะสมแล้วเหรอครับ?”
ชิวหมิงรุ่ยหน้าแดงไปชั่วขณะ เขาพยายามเค้นคำพูดแต่ละคำออกมาจากปาก
“ผะ…ผมแค่ห่วงว่าคุณจะเสียทรัพยากรทางสังคมไปโดนเปล่าประโยชน์! แถมคุณยังจะสร้างอันตรายอันใหญ่หลวงบนดวงจันทร์อีกด้วย!”
ลู่โจวยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ผมไม่กลัวความผิดพลาดหรอกนะครับ คุณจะมากลัวแทนผมทำไม?
ถ้าผมทำพลาด ผมก็หาป้ายมาติดตรงถนนนี้เพื่อเตือนคนที่มาแถวนี้ทีหลังว่าให้หลีกเลี่ยงทางเส้นนี้ แล้วต่อให้คุณประสบความสำเร็จในการโน้มน้าวให้เทศมนตรีเหย่เชื่อคุณวันนี้ คุณก็ประสบความสำเร็จแค่ในวันนี้วันเดียว อย่างไรการทดลองมันก็ต้องเกิดขึ้นสักวันในอนาคตอยู่ดี”
ใบหน้าของชิวหมิงรุ่ยค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนเป็นความอับอาย
ลู่โจวอธิบายอย่างอ่อนโยน “หัวใจของวิทยาศาสตร์คือการลองผิดลองถูก
พวกคนที่ไม่กล้าทำผิดพลาดนั้น…
ก็ไม่คู่ควรกับการเป็นนักวิชาการเลยแม้แต่น้อย!”