Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ - ตอนที่ 1507 ผมจะต้องเปลี่ยนวิธีคิดตัวเองให้ได้!
- Home
- Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ
- ตอนที่ 1507 ผมจะต้องเปลี่ยนวิธีคิดตัวเองให้ได้!
ไม่คู่ควรกับการเป็นนักวิชาการเหรอ…
ประโยคนี้เหมือนมีคนเอาไม้หน้าสามมาหวดเข้าทั้งกลางหัวทั้งกลางใจชิวหมิงรุ่ยเข้าเต็มๆ
สีหน้าความอับอายบนใบหน้าของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความละอายแก่ใจ
“เหมือนคุณจะถามคำถามมาแค่ข้อเดียวนะครับ ถ้ามีคำถามอะไรอีกก็เชิญถามต่อได้เลย”
“ผม…” หลังจากเงียบไปพักใหญ่ นักวิชาการชิวเอ่ยเสียงเบาเหมือนกระซิบ “ผมถามคำถามที่ต้องการจะถามไปหมดทุกข้อแล้ว”
ลู่โจวไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรกับคำตอบที่ได้ เขาพยักหน้าเล็กๆ
“ถ้ามีคำถามอะไรใหม่ๆ ก็เชิญมาคุยกันได้นะครับ”
ถึงแม้เหย่เหอจะรู้ว่าสองคนตรงหน้าเขามีข้อพิพาทกันอยู่ แต่เขาก็รู้สึกโล่งใจที่เห็นนักวิชาการชิวยอมรับความพ่ายแพ้ของตนเอง เขาเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า “ทุกคนใจเย็นๆ กันก่อนนะครับ ผมเข้าใจถึงความกังวลจากนักวิชาการชิวดี อันที่จริง พอได้ยินเรื่องสนามแม่เหล็กขนาด 10,000 เทสล่า ผมก็เริ่มจะกังวลเอามากๆ แล้ว แต่ผมก็เชื่อมั่นในความสามารถทางวิชาการของนักวิชาการลู่
ผมเชื่อเขาครับ!”
พอพูดจบเทศมนตรีเหย่ก็หันไปมองลู่โจว เขาพูดต่อว่า “พวกเราได้เห็นถึงความสำคัญของเรื่องนี้แล้ว เขตเศรษฐกิจพิเศษก่วงฮั่นจะจัดตั้งทีมตรวจตราพิเศษที่จะหาวิธีลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นต่อความปลอดภัยของฟิวชั่นที่ควบคุมได้ และจะรายงานความคืบหน้าด้านการก่อสร้างและการจัดการทดลองอยู่เป็นระยะๆ”
“ผมหวังว่านักวิชาการลู่จะเข้าใจความกังวลของพวกเรา เพราะไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็ยังต้องรับผิดชอบความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตของชาวเมือง 100,000 คนที่อาศัยอยู่ในเมืองก่วงฮั่น”
ลู่โจวพยักหน้า
“พวกผมก็จะเสนออย่างนั้นเหมือนกัน”
…
นักวิชาการชิวหมิงรุ่ยกลับไปแล้ว
ตอนเขากลับไป เขาไม่แม้แต่จะเอ่ยคำร่ำลา ขนาดคำเชิญทานอาหารกลางวันของเทศมนตรีเหย่ยังถูกเขาปฏิเสธอย่างมีหลักการ
คำพูดตำหนินั้นทำให้ชิวหมิงรุ่ยรู้สึกละอายใจ แต่มันก็ยังเป็นการตบหน้าเขาให้ตื่นอีกด้วย
คนที่ไม่กลัวว่าจะทำพลาด…
ฉันเป็นคนแบบนั้นหรือเปล่านะ?
ตั้งแต่ที่เขาได้มาเป็นนักวิชาการที่มีตำแหน่ง ความคืบหน้าทางวิชาการของเขาก็หยุดชะงัก เขาไม่ได้มีความคืบหน้าอะไร และเขายังไม่มีผลวิจัยอะไรที่โดดเด่นอีกด้วย
ไม่มีใครทำอะไรเขาได้ถ้าเขาไม่สร้างข้อโต้แย้งอะไร นั่นเป็นประสบการณ์ที่เขาสรุปได้จากเวลาหลายสิบปีในงานสายวิชาการและการทำงานต่างๆ ถึงเขาจะแอบเครียดว่าตำแหน่งทางวิชาการของเขาก็ไม่ได้เลื่อนขั้นแม้แต่นิดเดียวมาหลายปีแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยตั้งข้อสงสัยว่าทัศนคติของตัวเองมีอะไรผิดพลาด
แต่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้น เขาจึงรู้สึกตัวในที่สุด…
เขาไม่เสียเวลาอยู่บนดวงจันทร์ต่อแม้แต่วันเดียว เขามาถึงที่ก่วงฮั่นในตอนเช้า แล้วนั่งเครื่องบินกลับโลกในตอนบ่ายวันนั้นเลย
หลังจากเดินทางมาสองวัน เขาก็มาถึงสถาบันวิศวกรรมของพาน-เอเชียในที่สุด พอเข้าไปนั่งในออฟฟิศ ดวงตาเขาก็เหลือบขึ้นไปมองบนภาพวาดที่แขวนอยู่บนกำแพงโดยไม่รู้ตัว แล้วเขาก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้
“อาจารย์ครับ ผมจะต้องเปลี่ยนวิธีคิดตัวเองให้ได้!”
ในขณะที่ลูกศิษย์ของเขากำลังมองศาสตราจารย์ของตัวเองที่ดูจะเปลี่ยนทัศนคติไปแล้ว เขายืนตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามอย่างสับสนว่า “ศาสตราจารย์ครับ?”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่รู้สึกอินเฉยๆ น่ะ” หลังจากนิ่งไป ชิวหมิงรุ่ยก็เอ่ยขึ้นเบาๆ เป็นประโยคที่เปี่ยมไปด้วยคำชม “ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเขาถึงเป็นนักวิชาการอันดับหนึ่งของศตวรรษที่ 21! ตอนเห็นหน้าเขาในภาพยนตร์ ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรเขาเลย ไม่คิดเลยว่าเขาจะโผล่มาในยุคนี้แล้วมาสอนบทเรียนให้”
ชิวหมิงรุ่ยหันไปมองลูกศิษย์ที่กำลังตกตะลึง แล้วเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เลยถามอีกฝ่ายต่อ “จะว่าไป ไม่ต้องตีพิมพ์งานวิจัยนั่นแล้วนะ”
ลูกศิษย์ของเขาเงียบกริบ เขามองอาจารย์ของเขาด้วยท่าทีสั่นๆ ไม่กล้าพูดอะไรออกมา
พอเห็นสีหน้าของลูกศิษย์ ชิวหมิงรุ่ยก็เป็นฝ่ายตะลึงเล็กๆ บ้าง
เขาพอจะเดาสิ่งที่เกิดขึ้นได้รางๆ แล้ว แต่ยังไม่แน่ใจนัก เขาจึงถามออกไปด้วยเสียงลังเล “นาย…ตีพิมพ์ไปแล้วเหรอ?”
ลูกศิษย์ของเขาพยักหน้าอย่างตื่นตระหนก เขากระซิบ “วันที่คุณสั่งให้ผมตีพิมพ์งานวิจัยนั่น ผมก็จัดระเบียบรายละเอียดในงาน แล้วส่งมันเข้าไปใน ‘ความคืบหน้าในการวิจัยฟิวชั่นที่ควบคุมได้’ ผมได้รับอีเมลจากออฟฟิศของบรรณาธิการมาเมื่อวานว่างานวิจัยนั้นผ่านขั้นพิชญพิจารณ์ไปแล้ว เข้าสู่ขั้นตอนเตรียมตีพิมพ์…”
พอได้ยินคำพูดเหล่านั้น ชิวหมิงรุ่ยก็ช็อก ดวงตาของเขาแทบจะถลนออกมาจากเบ้า
“เวรเอ๊ย พอตอนสั่งให้นายทำพวกการบ้าน นายก็ผัดวันประกันพรุ่งอยู่ตั้งครึ่งเดือน ทีคราวนี้ล่ะเร็วยิ่งกว่ากระต่ายเสียอีกนะ!”
‘ความคืบหน้าในการวิจัยฟิวชั่นที่ควบคุมได้’ เป็นวารสารชั้นนำเสียด้วย!
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในจุดที่ถือเทคโนโลยีฟิวชั่นที่ควบคุมได้ถือกำเนิดขึ้นมาทำให้วารสารนี้มีอิทธิพลต่อฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สองอย่างเห็นได้ชัด!
พอคิดว่างานวิจัยกำลังจะตีพิมพ์ในเวลาเร็วๆ นี้แล้ว ชิวหมิงรุ่ยก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังเข้าสู่สิ่งที่เรียกว่าความฉิบหาย เขาเริ่มเหงื่อตก
“โทรหาแผนกบรรณาธิการเดี๋ยวนี้เลย! บอกเขาว่าผมขอให้พวกเขาเอางานวิจัยนั่นออกจากการตีพิมพ์! โทรหาพวกเขาตอนนี้เลย เร็วเข้า!”
ถึงลูกศิษย์จะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นบนดวงจันทร์กันแน่ที่ทำให้ศาสตราจารย์ของเขากระวนกระวายขนาดนี้ เขาก็ยังพยักหน้าเชื่อฟังคำสั่งของอาจารย์อย่างเคร่งครัดและละล่ำละลักรับคำ “ได้ครับ ได้ครับ! ผมจะติดต่อไปเดี๋ยวนี้นี่แหละ!”
…
หลังจากที่อีสต์เอเชียเอเนอร์จี้ตกลงร่วมมือกับเขตเศรษฐกิจพิเศษก่วงฮั่นแล้ว ลู่โจวก็เทศมนตรีเหย่ก็เซ็นบันทึกข้อตกลงและเอกสารความร่วมมืออื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จากนั้นพวกเขาก็กล่าวอำลากัน
พอลู่โจวกลับมาที่กลุ่มเมืองสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซีเกียง ทีมวิจัยที่จะไปดวงจันทร์ก็ออกเดินทางไปเรียบร้อยแล้ว
ทีมก่อสร้างมืออาชีพก็ออกเดินทางไปแล้วเช่นกัน
ถึงจะยังไม่ได้มีการออกแบบเครื่องปฏิกรณ์บนดวงจันทร์เพื่อใช้ทำแม่เหล็กไฟฟ้า แต่พวกเขาก็ต้องสร้างศูนย์วิจัยขึ้นมาก่อนอยู่ดี
ในเมื่อสภาพแวดล้อมของโลกนั้นแตกต่างจากบนดวงจันทร์โดยสิ้นเชิง เพื่อจะป้องกันข้อผิดพลาด ลู่โจวจึงตัดสินใจแบ่งโปรเจกต์ฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สองออกเป็นทีมใหญ่สองทีม พวกเขาจะแบ่งไปทำงานบนดวงจันทร์และบนโลกแบบแยกกัน
ทีมที่อยู่บนโลกจะมีหน้าที่รับผิดชอบหลักๆ ที่การวิเคราะห์เชิงทฤษฎีและการออกแบบ ส่วนทีมที่อยู่บนดวงจันทร์จะรับผิดชอบการวิเคราะห์เชิงทดลองและการตรวจสอบผลออกแบบอย่างรวดเร็ว
พอคิดว่ามันจำเป็นต้องทำการทดลองหลายต่อหลายครั้ง บวกกับการที่อีสต์เอเชียเอเนอร์จี้แทบไม่มีธุรกิจอะไรบนดวงจันทร์เลย ลู่โจวจึงต้องยอมรับให้ใช้งบประมาณแต้มเครดิต 100 ล้านในการสร้างฐานทดลองที่นั่น
บางทีอาจจะเพราะว่าเกิดการปฏิรูปแล็บวิจัยแม่เหล็กไฟฟ้าก็ได้ ทำให้หน่วยงานวิจัยหลักๆ ที่อยู่ภายใต้อีสต์เอเชียเอเนอร์จี้เลยเหมือนจะยอมสวามิภักดิ์แต่โดยดี ไม่มีใครกล้ามาขอข้อต่อรองอะไรทั้งนั้น พวกเขาทำตามคำสั่งของลู่โจวอย่างเคร่งครัดอย่างไม่มีข้อยกเว้น
เครื่องจักรอายุมากที่มีชื่อว่าอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้ ตอนนี้ราวกับว่ามันถูกชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ พวกมันเริ่มขยับ
ทุกฟันเฟืองทำงานกันอย่างเต็มที่
…
หลังจากเวลาทำงาน ณ ชั้นล่างของตึก
ลู่โจวอยากจะไปหาอะไรดื่มให้เมาเสียเหลือเกิน แต่ก็ยังติดต่อผู้อำนวยการหลี่ไม่ได้เสียที เขาบังเอิญเจอเข้ากับผู้อำนวยการถังที่กำลังเลิกงานพอดี เขาจึงพาอีกฝ่ายไปร้านเนื้อย่างเสียบไม้ที่อยู่ใกล้ๆ
หลิงเป็นฝ่ายที่รับหน้าที่ทำเนื้อเสียบไม้เอง
ถึงแม้ว่าในฐานะบอดี้การ์ด หน้าที่ของเขาจะเป็นการปกป้องลู่โจว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ลู่โจวใช้เขาทำอย่างอื่นนอกจากงานหลักเขาแต่อย่างใด
หลังจากดื่มไปหลายแก้ว ลู่โจวที่กำลังพูดเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนดวงจันทร์ก็เอียงคอเล็กน้อย แล้วคำพูดประโยคหนึ่งก็หลุดออกมาจากปากเขา
“เอาจริงๆ นะ ผมก็อยากแพ้สักครั้งมั่ง”
ถังอวิ๋นเกอที่กำลังดื่มเบียร์อยู่นั้นแทบจะสำลักเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว หลังจากส่งเสียงไอค่อกแค่ก เขาก็วางแก้วเบียร์ลงแล้วหันไปมองลู่โจว
“คุณช่วย…อย่าพูดคำนี้อีกรอบได้ไหมครับ ผมอยากชนะนะ ไม่อยากแพ้หรอก”
ลู่โจวยิ้มกว้างแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ผมก็แค่พูดเล่นๆ น่า อย่าจริงจังมากเลย”
เขาแกว่งแก้วในมือไปมาแล้วว่าต่อ
“ก็มีคนว่ากันว่าไว้นี่นา ชีวิตที่ไม่มีความผิดพลาดนั้นถือว่าไม่สมบูรณ์แบบ อย่างน้อยก็ในวงการวิชาการน่ะนะ…ผมรู้สึกมาตลอดเลยว่างานทางวิชาการของผมมันมีอะไรขาดๆ หายๆ ไปสักอย่าง”
ถังอวิ๋นเกอ “…”
ขาดๆ หายๆ ไปเหรอ…
ไม่รู้ว่าควรจะโต้ตอบกับคำอวดที่แฝงมาในความสุภาพนี่อย่างไรดี
ถังอวิ๋นเกอที่ดื่มอย่างเงียบๆ ตัดสินใจว่าจะทำเป็นว่าเขาไม่ได้ยินลู่โจวพูดอะไรทั้งนั้น
จะให้พูดอะไรได้ล่ะ?
ช่างเถอะ อยู่เงียบๆ ไว้ดีกว่า